ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
กาลเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ระยะเวลาสองเดือนผ่านไปแล้ว
ตอนนี้ล่วงเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง อากาศค่อนข้างเย็นเล็กน้อย ฉินเทียนอาศัยการฆ่าสัตว์ที่โรงฆ่าสัตว์จนมาถึงระดับที่ 5 ซึ่งเทียบได้กับผู้ฝึกตนขั้นที่ 5 ความรวดเร็วในการบ่มเพาะเช่นนี้ กระทั่งเหล่าอัจฉริยะยังต้องร่ำไห้
ทว่าสำหรับเขา นี่ไม่คู่ควรให้กล่าวถึง
ในยามเที่ยง ตามปกติแล้วเขาสมควรวิ่งวุ่นอยู่ภายในเหลาอาหารฟุหลง
จางต้าฟู่ไม่เคยเห็นฉินเทียนเป็นคนผู้หนึ่ง เขาเห็นฉินเทียนเป็นเด็กรับใช้ที่เทียบได้กับคน 5 คนหรือจนกว่าจะทำให้ฉินเทียนหมดสิ้นเรี่ยวแรง
ฉินเทียนเองก็ไม่เคยตัดพ้อต่อว่า นั่นยิ่งทำให้จางต้าฟู่หงุดหงิด เขากำลังเฝ้ารอให้ฉินเทียนตอบโต้เขา เขาจะได้สามารถลงมือทุบตีฉินเทียนได้ แล้วจากนั้นจะได้เป็นข้ออ้างในการขับไล่ฉินเทียนออกไป เมื่อนั้นเขาก็จะหมดสิ้นเสี้ยนหนาม ไม่จำเป็นต้องหวาดวิตกว่าจะถูกท่านประมุขตำหนิอีก
ภายในห้องอาหารส่วนตัว
ฉินเทียนค้อมตัวก้มศีรษะไปตามหน้าที่ปกติ ฉินคุนก็กล่าวดูถูกเหยียดหยาม เขาทั้งไม่ประจบเอาใจและวางก้ามเขื่องโข[1]
สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดให้เห็นจนชินตา การถูกดูถูกเหยียดหยามทุกวันไม่ได้ทำให้ฉินเทียนเศร้าสลดหดหู่แต่อย่างใด กลับกันเขากำลังรอคอยให้เทศกาลล่าสัตว์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของตระกูลฉินมาถึง
ตระกูลฉินจะจัดเทศกาลล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงขึ้นทุกปี เทศกาลนี้เป็นการแข่งขันที่สำคัญยิ่งภายในตระกูลฉิน เป็นโอกาศให้เหล่าผู้เยาว์อันโดดเด่นได้มีเวทีแสดงฝีมือ
สามอันดับแรกที่สามารถล่าสัตว์ปีศาจอันแข็งแกร่งในงานได้จะไม่เพียงได้เข้าหอตำราเป็นเวลาสามวัน ทว่ายังได้รับการยอมรับจากประมุขของตระกูลซึ่งจะมีของขวัญมอบให้อีกสิ่งหนึ่ง
ภายในตระกูลฉิน ตราบใดที่มีอายุไม่เกิน 20 ปีและเป็นผู้ฝึกตนขั้นที่ห้าขึ้นไป โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นคนจากตระกูลหลักหรือตระกูลสาขา ทั้งหมดต่างมีสิทธิ์เข้าร่วม
แม้ว่าฉินเทียนจะถูกขับไล่ไป ทว่าเขาก็ยังมีมีสิทธิ์เข้าร่วม
เขาเฝ้ารอให้ถึงวันนี้มาเนิ่นนาน ประการแรกเขาต้องศึกษาทำความเข้าใจเทือกเขาคุนหลุน จากนั้นเขาจะสร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนในตระกูล สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเหยียบฉินคุนไว้ใต้ฝ่าเท้า
ทว่าตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขายังไม่อาจเทียบได้กับฉินคุน ฉินคุนเป็นผู้ฝึกตนขั้นที่เจ็ด พลังปราณอยู่ในขอบเขตชั้นที่หก
ดังนั้นฉินเทียนจึงรอคอยอย่างอดทน
อีกเพียงสิบวันเทศกาลล่าสัตว์ก็จะเริ่มต้นขึ้น….
เมื่อฉินเทียนเตรียมตัวจะออกไป ฉินคุนก็หยุดยั้งเขาไว้ กล่าวว่า “นี่เจ้าสวะ อย่าเพิ่งมุดรูหนีไป วันนี้ข้าจะแนะนำเจ้าต่อคนผู้หนึ่ง คนผู้นี้มีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับเจ้า”
ฉินเทียนหยุดฝีเท้าลง ยืนนิ่งขณะครุ่นคิดขึ้นในใจ “คนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับข้างั้นหรือ? คนที่ใกล้ชิดกับข้าเพียงหนึ่งเดียวในตระกูลก็คือท่านน้าที่อยู่ข้างนอกตลอดปี หรือนางจะกลับมาแล้ว?”
“แน่นอนว่าไม่ ท่านน้าสมควรอยู่ที่นิกายจิงซิน”
สำหรับท่านน้าผู้นี้ ฉินเทียนได้รับข้อมูลจากความทรงจำภายในร่าง ที่ตระกูลฉินรุ่งเรืองเช่นนี้ก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นผลงานของฉินเหลียน
นางได้เข้าร่วมกับสำนักจิงซินตั้งแต่อายุสิบสามปีเนื่องเพราะมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา การร่ำเรียนอยู่ที่สำนักจิงซินตลอดสิบปีมานี้ทำให้นางบรรลุถึงขอบเขตชั้นหลอมรวม นับเป็นอัจฉริยะที่สำนักจิงซินเฝ้าทะนุถนอม
นิกายจิงซินเรียกได้ว่าเป็นสำนักระดับกลาง ทั้งนิกายล้วนเป็นอิสตรี ทอดตามองทั่วโลกแล้ว มีเพียงนิกายจิงซินแห่งนี้ที่รับเฉพาะสตรี
เนื่องเพราะตระกูลฉินและนิกายจิงซินมีความสัมพันธ์กันอยู่ ที่ฐานะของตระกูลฉินภายในเมืองชิงเหอไม่ตกต่ำลงในหลายปีมานี้ก็เพราะเหตุผลข้อนี้
ฉินเทียนทำเพียงยืนขบคิด ขณะที่ฉินคุนและพรรคพวกต่างพูดคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป บางครั้งฉินเทียนยังหันมาจ้องมองฉินเทียนอย่างเย็นชา ราวกับกลัวว่าฉินเทียนจะเตลิดหนีไป
ไม่นานประตูก็เปิดออก มีสตรีที่งดงามราวเทพธิดาก้าวเดินเข้ามา
หญิงสาวนางนี้ผิวพรรณขาวนวลเนียน ทั้งมีรูปโฉมอันงดงาม ทว่าท่าทีกลับเย็นชาและหยิ่งยโส ด้วยท่าทีการแสดงออกเช่นนี้จึงทำให้ผู้คนอยากหลบลี้หนีหน้าไปให้ไกล
หญิงสาวนางนี้ก้าวเข้ามาภายในห้อง ดูราวกับว่าไม่ได้แยแสสนใจผู้ใด
ฉินคุนเมื่อเห็นหญิงสาวนางนี้ผลักเปิดประตูเข้ามาอย่างเสียมารยาทก็ไม่โกรธเคืองแต่อย่างใด เขารีบลุกขึ้นกล่าวทักทายนางด้วยรอยยิ้ม “น้องหยูเชียน เจ้ามาแล้ว”
หญิงสาวนางนี้คือ เสี่ยวหยูเชียน น้องสาวของเสี่ยวหยูเฟิง ฉินเทียนลอบชำเลืองมองเล็กน้อย หัวใจของเขาพลันจมลง
เมื่อห้าปีก่อน ช่วงที่ฉินเทียนยังรุ่งโรจน์ เป็นอัจฉริยะที่ถูกเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีของตระกูลฉิน การบ่มเพาะของเขาได้มาถึงผู้ฝึกตนขั้นที่หก ชื่อเสียงของเขาในตอนนั้นเทียบได้กับอัจฉริยะคนปัจจุบันของเมืองชิงเหอ เสี่ยวหยูเฟิง
ในตอนนั้น ตระกูลเสี่ยวได้พยายามที่จะประจบเอาใจตระกูลฉิน พวกเขาต้องการจัดงานแต่งงานระหว่างเสี่ยวหยูเชียนกับฉินเทียนขึ้น กระทั่งได้ทำหนังสือพันธสัญญาหมั้นหมายกันเอาไว้
ทว่าในคืนก่อนจะถึงวันหมั้นหมายนั้นเอง ฉินเทียนพลันล้มป่วยอย่างหนัก เมื่อค่อยๆฟื้นตัวจากพิษไข้ เขาก็พบว่าการไหลเวียนของพลังลมปราณทั่วร่างได้หายไป และสุดท้ายทุกคนก็พบว่าจุดตันเถียนของฉินเทียนได้รับความเสียหาย
สถานะของฉินเทียนภายในตระกูลฉินนับวันรังแต่จะตกต่ำลง กระทั่งบ่าวรับใช้ภายในตระกูลที่เคยเคารพเทิดทูนเขากลับมองเขาอย่างเหยียดหยาม นับแต่นั้นการหมั้นหมายของทั้งสองคนก็ไม่ถูกกล่าวถึงอีก
หากว่าจุดตันเถียนของฉินเทียนไม่เสียหาย เช่นนั้นเสี่ยวหยูเชียนคงกลายเป็นภรรยาของเขาไปแล้ว
ทว่าตอนนี้เสี่ยวหยูเชียนกลายเป็นคู่หมั้นของฉินคุนซึ่งเพิ่งได้หมั้นหมายไปไม่นานและการแต่งงานจะถูกจัดขึ้นหลังช่วงเทศกาลล่าสัตว์ของตระกูล
ฉินเทียนไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับเสี่ยวหยูเชียนมากนัก เพียงเห็นว่านางน่ารักเล็กน้อย ทว่าการแสดงออกทางอารมณ์ของนางกลับตรงกันข้ามลิบลับ
เสี่ยวหยูเชียนยิ้มอย่างไม่สนใจ ค้อมตัวลงเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “พี่ฉินคุน ขออภัยที่ทำให้ท่านต้องรอนาน”
น้ำเสียงที่ไม่ค่อยแยแสสนใจ ฉินเทียนเมื่อได้ฟังก็รู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียนอย่างช่วยไม่ได้
เสี่ยวหยูเชียนเมื่อเข้าภายในห้องทักทายกับอีกฝ่ายแล้วก็มองเห็นฉินเทียน นางจ้องมองฉินเทียนอย่างเย็นชาและกล่าวออกมา “โอ..นี่ไม่ใช่ยอดอัจฉริยะของตระกูลฉินหรือ?”
เป็นน้ำเสียงเสียดสีอย่างรุนแรง
ฉินเทียนเพียงปั้นยิ้มไม่ถือสา ทั้งไม่ได้ตอบคำ แม้ว่าตัวเขาจะไม่ใช่ฉินเทียนคนก่อน แต่เมื่อต้องมาฟังน้ำเสียงแดกดันเช่นนี้ของเสี่ยวหยูเชียนก็อดรู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาไม่ได้
ฉินคุนเดินเข้าไปข้างกายของเสี่ยวหยูเชียน หัวเราะและกล่าวออกมา “ตอนนี้มันกลายเป็นยอดเศษสวะไปแล้ว ฮ่าฮ่า”
“แต่งงานกับมันหรือ แน่นอนว่าข้าย่อมไม่ยินยอม เดิมทีก็เป็นเพราะบิดาของข้าหุนหันจัดการอยู่แล้ว…..” เมื่อนางกล่าวเช่นนี้ สีหน้าของฉินคุนก็แปรเปลี่ยนเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ปิดปากลง ไม่เอ่ยวาจาต่อ
ฉินเทียนเมื่อได้ยินก็พลันรู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ จากความคิดของขา การล้มป่วยอย่างหนักเมื่อห้าปีก่อนจะต้องไม่ใช่เหตุบังเอิญ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกี่ยวข้องกับประมุขตระกูล
“มีงานที่ชั้นล่างซึ่งข้ายังต้องไปทำอีกมาก คุณหนู คุณชาย ขอให้เพลิดเพลินกับมื้ออาหาร”
ฉินเทียนค้อมตัวอย่างสุภาพตระเตรียมจากไป
ทว่าตอนนี้เอง ฉินคุนพลันเข้ามาตบแก้มของฉินเทียนดัง “เพี๊ยะ” ขณะกล่าวด้วยความโกรธ “บิดาบอกให้เจ้าไสหัวไปแล้วหรือ?”
“พี่ฉินคุน นี่มันเหลือเชื่อจริงๆ”
เสี่ยวหยูเชียนมองดูฉินคุนอย่างหลงใหล นางปรบมือให้อย่างมีความสุข
นางกระทำราวกับเป็นบทละครที่ถูกเขียนเอาไว้ จากนั้นฉินคุนจึงยกมือตบไปที่แก้มอีกข้างของฉินเทียนเสียงดัง
ความเจ็บปวดเริ่มทำให้จิตใจของเขาคุกรุ่นขึ้น
มีรอยฝ่ามือประทับอยู่บนแก้มของฉินเทียนอย่างเด่นชัด ซึ่งอันที่จริงเขาสามารถหลบหลีกได้ทั้งสองครั้ง ทว่าเขาไม่ได้หลบ เขาไม่ต้องการแหวกหญ้าให้งูตื่น อย่างน้อยที่สุดก็ในตอนนี้
เขาทราบว่าหากเปิดเผยพลังฝีมือออกไปตอนนี้ ทุกคนภายในตระกูลฉินจะต้องทราบเรื่อง ตอนนี้เขาไม่มีใครให้พึ่งพิง โดดเดี่ยวลำพัง เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนในตระกูลฉินยื่นมือเข้าช่วย มีเพียงการสร้างความตื่นตะลึงในเทศกาลล่าสัตว์ มีเพียงเทศกาลนั้นที่คนตระกูลฉินจะไม่อาจลงมืออย่างโจ่งแจ้งได้
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉินเทียนสะกดอดกลั้นต่อความเจ็บปวด เขากัดฟันแน่น ก้มศีรษะลงต่ำ มีเลือดไหลซึมออกมา….
“สวะก็เป็นได้แค่สวะ ตบไปสองครั้งก็ยังไม่ส่งเสียง ท่านพ่อยกข้าให้แต่งงานกับสวะเช่นนี้ได้อย่างไร?”
เสี่ยวหยุเชียนกล่าวเหยียดหยาม ฉินคุนรู้สึกภูมิใจยิ่ง
“ปึง ปึง ปึง….”
ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบ ฉินเทียนพลันทราบทันทีว่าผู้ที่กำลังมาก็คือเมิ่งเล่ยผู้ซื่อสัตย์ เขาไม่สนใจสิ่งใดอีก พลันหมุนตัวเดินออกจากห้องไป ปิดประตูลงอย่างนุ่มนวล
ในสายตาของฉินคุน ฉินเทียนยิ่งมายิ่งกลายเป็นสวะ เขาย่อมหมดความสนใจในตัวสวะเช่นนี้ เมื่อฉินเทียนออกไป เขาก็ไม่ได้หยุดเอาไว้ ตอนนี้เขากำลังจดจ้องเรือนร่างของเสี่ยวหยูเชียน ย่อมไม่ใส่ใจต่อสวะผู้หนึ่ง
“นายน้อย ปล่อยข้า!…”
“ต่อให้ต้องตายวันนี้ ข้าจะเอาเลือดหัวเจ้าสารเลวนั่นออกมา!”
“นายน้อยท่าน….”
………………………………………
ในใจของเมิ่งเล่ยมีความปรารถนาอยู่สามประการ
ประการแรกคือ ทุบตีจางต้าฟู่
ประการที่สองคือ สังหารฉินคุน
ประการที่สามคือ ดื่มกินให้สมใจ
ช่างเป็นความปรารถนาที่……งี่เง่า โง่เขลาจริงๆ
[1]不卑不亢 (bù bēi bù kàng): ทั้งไม่ประจบเอาใจและวางก้ามเขื่องโข