ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
ฉินเทียนออกวิ่งไม่หยุด ในที่สุดเขาก็มาถึงถ้ำแห่งหนึ่งตอนกลางดึก
ภายในถ้ำ ฉินเทียนสงบจิตใจลงฟังเสียง เสียงที่ทำให้เขารู้สึกกระสับกระส่ายตลอดทั้งคืนได้เงียบหายไปแล้ว เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่ง
สัตว์ปีศาจตัวนั้นได้วิ่งออกมาจากป่าในสภาพที่ดูเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง หากว่าเขาวิ่งหนีได้ไม่เร็วพอ เช่นนั้นเขาก็คงกลายเป็นมื้อดึกของมันไปแล้ว
‘ทำไมถึงมีสัตว์ปีศาจแบบนั้นวิ่งออกมาจากอาณาเขตเขาคุนหลุน? เรายังอยู่ด้านนอกอยู่เลย มันคงไม่ใช่สัตว์ปีศาจระดับที่ห้าหรอกมั้ง? เสียงโหยหวนที่ได้ยินคงเพราะมีคนไปพบกับมันเข้า หากว่าเป็นเช่นนั้นก็คงมีกลุ่มขนาดเล็กออกล่าอยู่แถวนั้น ถ้าเป็นจริงก็คงน่าสนุกไม่น้อย’
ทันใดนั้น เสียงร้องก็พลันหายไป สัตว์ปีศาจตัวนั้นที่วิ่งออกมาจากอาณาเขตภูเขาคุนหลุนเป็นสัตว์ปีศาจระดับที่ห้า กอลิล่าดุร้าย มันไม่เพียงแต่มีแก่นปีศาจแล้ว หากแต่ยังมีทักษะศักดิ์สิทธิ์ คลุ้มคลั่ง
เมื่อมันอยู่ในโหมดคลุ้มคลั่ง ทั้งพละกำลัง ความเร็วและพลังป้องกันจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ยิ่งไปกว่านั้นมันยังคงมีสติรับรู้อยู่ แต่มันก็สามารถใช้ต่อเนื่องได้เพียงแค่สามครั้งเท่านั้น ทั้งดุดันและเกรี้ยวกราด ร่างกายของมันก็ราวกับภูเขาขนาดย่อม ฉากที่ปรากฏออกมาจึงน่าสะพรึงอย่างที่สุด
ทักษะศักดิ์สิทธิ์เป็นทักษะพิเศษโดดเด่นเหนือทักษะทั่วไป อย่างไรก็ตาม มันยังคงมีเงื่อนไขและข้อจำกัดอยู่ในตัว สามารถศึกษาหรือสร้างมันขึ้นมาจากความสามารถของตนเองโดยการรู้แจ้ง นั่นจึงทำให้มันกลายเป็นทักษะที่ทรงพลัง มันมีเอกลักษณ์ที่พิเศษจำเพาะ การที่จะฝึกฝนมันจนถึงระดับสูงสุดได้จึงเป็นเรื่องที่ยากอย่างมาก กระทั่งเหล่าผู้ที่อยู่ในขั้นสรรพสิ่งหรือขั้นไร้ขอบเขตก็อาจจะไม่สามารถสร้างมันขึ้นมาได้แม้แต่ทักษะเดียว นี่จึงแสดงให้เห็นถึงความยากในการจะสร้างมันขึ้นมา
เมื่อเทียบกับทักษะทั่วไปแล้ว ทักษะศักดิ์สิทธิ์นั้นฝึกฝนได้ยากกว่าหลายเท่า การที่จะบรรลุได้นั้นยังต้องพึ่งพาโชควาสนาไม่น้อย
ที่กอลิล่าดุร้ายมีทักษะศักดิ์สิทธิ์ได้นั่นก็เพราะว่า ยามที่มันเพาะสร้างความแข็งแกร่งของกายเนื้อขึ้นมา มันสามารถทำความเข้าใจทักษะศักดิ์สิทธิ์ได้ระหว่างการบ่มเพาะกายเนื้อนั้นเอง กระนั้นทักษะศักดิ์สิทธิ์คลุ้มคลั่งก็ยังถือว่าเป็นทักษะศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำ
ทักษะศักดิ์สิทธิ์คลุ้มคลั่งเพียงอนุญาติให้มันมีความแข็งแกร่งขึ้นเป็นสองเท่า หากแต่นั่นก็เพียงพอที่ทำให้มันสามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นรวบรวมวิญญาณได้อย่างสูสีแล้ว
ฉินเทียนนั่งลงขัดสมาธิ หลังจากที่เขาไม่ได้นอนมาตลอดคืน ด้วยความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวัน มันทำให้เขาเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
“อ๊าาาาาา….” ในช่วงสาย เสียงกรีดร้องที่บาดแก้วหูจนทำให้หูหนวกไปชั่วครู่ก็ดังขึ้น เสียงของมันดังสะท้อนไปทั่วทั้งถ้ำ
ฉินเทียนพลันลืมตาขึ้นและมองไปยังอวิ๋นม่านที่กำลังยืนอยู่ที่ส่วนลึกของถ้ำ มองดูใบหน้าที่หวาดกลัวของนางแล้ว เขาก็รู้สึกเคืองขึ้นมาเล็กน้อย “ไฉนเจ้าจึงกรีดร้องเสียงดังนัก?”
“เจ้า….เจ้า….ร่างกายของเจ้า! ไฉนจึงเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด!?” อวิ๋นม่านกล่าวไม่เป็นภาษาขณะจ้องมองไปที่ฉินเทียน
ฉินเทียนก้มลงมองดูคราบเลือดสีดำตามเสื้อผ้า เขาสัมผัสหน้าอกและคิดขึ้น ‘ดูเหมือนว่าเมื่อวานจะวิ่งหนีจนลืมล้างตัวไปแฮะ’
เมื่อวานเขาได้ตัดหัวของสัตว์ปีศาจนับร้อยหัว ด้วยเหตุนี้ทั่วร่างของเขาจึงเประเปื้อนไปด้วยคราบเลือดแห้งกรัง เมื่อวาน ด้วยความเหนื่อยล้าทำให้เขาเผลอหลับไปในท่านั่งขัดสมาธิ ตอนนี้ร่างกายของเขาเริ่มมีกลิ่นตุๆแล้ว เขาอดคิดไม่ได้ว่ากลิ่นของเขาตอนนี้คงเลวร้ายอย่างมาก ฉินเทียนขมวดคิ้วก่อนจะกล่าวออกมา “เป็นเพียงเลือดของสัตว์ปีศาจ ข้าจะไปล้างตัวแล้ว”
ฉินเทียนลุกขึ้นออกจากถ้ำเพื่อไปสำรวจพื้นที่ เมื่อไม่มีสัญญาณการดำรงอยู่ของพวกสัตว์ปีศาจ เขาก็เตรียมตัวจะไปที่ลำธารด้านล่างภูเขาเพื่อชำระร่างกาย ทว่าเมื่อเดินออกมาจากถ้ำได้เพียงไม่กี่ก้าว อวิ๋นม่านก็รีบวิ่งติดตามเขามาทันที กระนั้นนางก็ยังคงเว้นระยะห่างออกไปราวกับว่าเขาเป็นสัตว์ปีศาจตัวหนึ่ง
ฉินเทียนหันไปมองอวิ๋นม่านแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจต่อสายตาของนาง เขายังคงเดินลงภูเขาไป
ห่างออกไปไม่ไกล อวิ๋นม่านก็ยังคงเดินตามมาต้อยๆ นางจ้องมองแผ่นหลังของเขา ขณะพึมพำกับตนเองด้วยเสียงที่เบาราวกับยุง
เมื่อมาถึงตีนเขา ฉินเทียนก็เริ่มวักน้ำขึ้นมาล้างตัว เขาบอกให้อวิ๋นม่านอย่าได้อยู่ห่างออกไปมากนัก “ไปล้างหน้าเถอะ ยัยคนขี้ขลาด”
“เจ้าน่ะสิที่เป็นคนขลาด!” อวิ๋นม่านตอบกลับอย่างบึ้งตึง จากนั้นจึงก้มลงมองคราบสกปรกบนเสื้อผ้าของนาง นางถลึงตาใส่ฉินเทียนก่อนจะเดินตรงไปลำธาร
เมื่อนึกย้อนกลับไปยังตอนที่นางหวาดกลัวจนเป็นลมไป ฉินเทียนก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ เขายังตะโกนถามออกมา “เจ้าทราบหรือไม่ว่าเมื่อวานนี้มีคนกลัวจนเป็นลมไปด้วย”
“เจ้าน่ะสิ! ขะ…ข้า…ข้าไม่เคยเป็นลม!” ใบหน้าของอวิ๋นม่านพลันแดงแจ๋ราวกับลูกตำลึงสุก นางทำตัวกลบเกลื่อนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพื่อปิดบังความอาย อย่างไรก็ตาม เมื่อนางนึกย้อนกลับไปยังฉากที่ฉินหยางลงมือสังหารฉินซาน ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือดไร้สีเลือด
ในฐานะผู้ฝึกตนแล้ว การฆ่าฟันกันย่อมเป็นเรื่องปกติสามัญ ผู้เข้มแข็งกลืนกินผู้อ่อนแอ ปลาใหญ่กลืนกินปลาเล็ก อวิ๋นม่านยังคงไม่กล้าที่จะสังหารผู้ใด ยิ่งไปกว่านั้นนางยังกระทั่งเป็นลมสลบเหมือดเมื่อเห็นฉากนองเลือด
ฉินเทียนล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว น้ำในลำธารที่เย็นเฉียบทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่า เขานั่งลงบนก้อนหินและมองดูอวิ๋นม่าน
นางนั่งย่อตัวอยู่ในลำธารจนแผ่นหลังโค้งงอขณะที่ใช้มือเล็กๆกวักน้ำขึ้นมาล้างใบหน้า แสงแดดอันอบอุ่นสาดต้องร่างนางขณะที่หยดน้ำเล็กๆเกราะพรมราวกับคริสตัสใส ส่องสะท้อนเกิดเป็นแสงขึ้นลางๆ นั่นทำให้นางดูคล้ายกับเทพธิดา
นางกระทั่งยังบริสุทธิ์สดใสยิ่งกว่าสายน้ำ ฉินเทียนกระทั่งไม่เคยพบเห็นฆญิงสาวที่งดงามผุดผ่องเช่นนี้มาก่อน นางงดงามจนทำให้เขารู้สึกคันที่หัวใจยากจะเกา
อวิ๋นม่านเงยหน้าขึ้นและเห็นฉินเทียนกำลังจ้องมองนางเขม็ง หัวใจของนางพลันเต้นรัวขึ้นมา ใบหน้าถูกย้อมไปด้วยสีแดง นางกล่าวออกมาอย่างโกรธเคือง “นี่! เจ้ามองอะไรอยู่กันฮะ!”
“ในเมื่อเจ้าขี้ขลาดเสียขนาดนั้น ไฉนยังเข้าร่วมเทศกาลล่าสัตว์อีกเล่า?”
“ข้าไม่ได้ขี้ขลาด! ข้าอวิ๋นม่าน ผู้ที่ไม่เกรงกลัวทั้งสวรรค์และปฐพี!”
“ด้านหลังเจ้ามีอสรพิษเลื้อยมา”
“อ๊าาา…ไหน มันอยู่ไหน?” อวิ๋นม่านกรีดร้องบาดแก้วหูขณะที่กระโดดลงไปในลำธาร เมื่อนางหันกลับไปมองที่ด้านหลังก่อนจะพบว่าไม่มีงูอยู่ นางก็คิดได้ว่าตนถูกหลอกแล้ว แก้มของนางป่องอย่างแง่งอนขณะที่ยกมือเท้าเอว นางถลึงตามองฉินเทียนอย่างโกรธเคืองและแค่นเสียงออกมา ตอนนี้ความโกรธของนางต่อฉินเทียนได้ฝังลึกลงไปถึงแก่นแล้ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า…..” ฉินเทียนหัวเราะออกมาอย่างอดกลั้นไว้ไม่อยู่ นับเป็นครั้งแรกที่เขาได้หัวเราะเช่นนี้ มันทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก
อวิ๋นม่านที่ยืนอยู่ในลำธาร ขณะที่แสงตกกระทบจากทางด้านหลัง เส้นผมที่เกี่ยวพันกันจนยุ่งเหยิงแนบสนิทไปกับใบหน้าจนนางต้องใช้มือขึ้นมาเขี่ยมันออก นี่ทำให้นางงดงามดุจเทพธิดาจุติลงมากลางหมู่มวลมนุษย์ เมื่อเหม่อมองดูนางแล้ว ฉินเทียนก็รู้สึกราวกับต้องมนต์สะกด
ดวงตาของฉินเทียนลุกโชนขณะที่มองลงไปยังลำธารเบื้องล่างและหัวเราะออกมา “ได้อาหารเช้าอยู่ที่นี่แล้ว”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ที่ว่า ‘อยู่ที่นี่’?” อวิ๋นม่านเอ่ยถามอย่างสงสัย
“อย่าขยับ” ฉินเทียนลุกขึ้นและวิ่งตรงไปที่นาง มองดูเรียวขาที่งดงามราวกับหยกชั้นดีแล้ว ใบหน้าของเขาก็แสดงให้เห็นถึงความประหลาดใจ
อวิ๋นม่านไม่กล้าขยับเคลื่อนไหวหลังจากถูกทำให้กลัวโดยฉินเทียน นางรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างกำลังแหวกว่ายอยู่ที่บริเวณข้อเท้าของนาง มันลื่นไหลและทำให้นางรู้สึกจั๊กจี้ขึ้นมา นางอดรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้ ‘มันคืออะไร? อะไรอยู่ที่เท้าของข้า?’
“อย่าก้มไปมอง อย่า….” ฉินเทียนกลัวว่าหากอวิ๋นม่านก้มลงไปมองดูแล้วเห็นปลาดุกตัวใหญ่ นางจะกลัวและกระโดดทำให้ปลาแตกตื่นหนีไป “เพื่ออาหารมื้อเช้า อย่าได้ขยับ…”
มองดูการแสดงออกบนใบหน้าของฉินเทียนแล้ว อวิ๋นม่านก็เริ่มตัวสั่นเทา นางแน่ใจแล้วว่ากำลังมีตัวอะไรบางอย่างแหวกว่ายอยู่ที่เท้าของนาง และตัวของมันก็ไม่เล็กเลย นางรู้สึกว่ากำลังมีตัวอะไรเลื้อยอยู่ที่เท้าของนาง คล้ายกับงู…..
เมื่อนึกถึงงูแล้ว ใบหน้าของอวิ๋นม่านก็พลันซีดเผือด นางพลันกล่าวออกมาอย่างติดขัด “ม..มัน…มันไม่ใช่…งู…”
ในตอนนั้นเอง ฉินเทียนก็มาถึงลำธารอย่างระมัดระวัง เขากระทั่งไม่สนใจอวิ๋นม่าน มองดูร่างกายที่สั่นระริกของนาง เขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดขึ้นในใจ ‘ช่างขี้ขลาดเสียจริง’
ฝ่ามือที่เคลื่อนไหวดุจดั่งสายฟ้าของเขาพุ่งไปที่บริเวณเท้าของนาง…..
“อ๊าาา!” อวิ๋นม่านกรีดร้องออกมา นางกระโดดขึ้นขี่หลังเขาและเกาะไว้แน่นราวกับปลาหมึก ลำแขนของนางโอบรอบคอของเขาจนรู้สึกอึดอัดขึ้นมา
ฉินเทียนรู้สึกถึงภูเขาสองลูกที่กดทับลงมาบนแผ่นหลังของเขา ขาของเขาพลันทรุดลง กระนั้นก็ยังคงประคองตัวเอาไว้ได้ เขาคว้ามือออกไปจับปลาเอาไว้ก่อนจะโยนมันไปบนฝั่ง เมื่อลงมือประสบผลเขาก็ถอนหายใจออกมา เขายกมือตีก้นน้อยๆของอวิ๋นม่าน
“ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว ยัยขี้ขลาด”
อวิ๋นม่านมองไปยังปลาที่กำลังดิ้นอยู่บนพื้นดินก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างไรก็ตาม นางรู้สึกตัวได้ว่ากำลังเกาะอยู่บนหลังของฉินเทียนและใช้สองแขนรัดคอของเขาอยู่ และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่เคยเกิดขึ้นต่อนาง ก้นของนางถูกอีกฝ่ายตี ใบหน้าของนางพลันแดงแจ๋อีกครั้ง
เป็นครั้งแรกที่นางใกล้ชิดกับเพศตรงข้ามถึงเพียงนี้ ใบหน้าของนางถูกย้อมไปด้วยสีแดงด้วยความเขินอาย นางลงจากหลังของเขาและไม่กล้าที่จะหันไปมองดูเขาอีก
ฉินเทียนเองก็ขี้เกียจที่จะไปเอ่ยถึง ตอนนี้กระเพาะของเขากำลังเรียกร้องหาอาหาร เขาตัดสินใจที่จะเติมเต็มกระเพาะเสียก่อน มองดูปลาดุกตัวใหญ่ที่จับมาได้แล้ว น้ำลายของเขาก็แทบจะไหลยอ้ยออกมา
ปลาดุกถูกย่างด้วยกรรมวิธีอันพิเศษเฉพาะของเขา ในโลกก่อน ฉินเทียนเคยอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ทั้งขึ้นภูเขาและลงแม่น้ำ ไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้
อย่างรวดเร็ว ปลาดุกโชคร้ายถูกเขาสังหารทิ้งไป เขาออกไปหากิ่งไม้เพื่อมาก่อไฟ ไม่นานกลิ่นหอมก็ลอยตลบอบอวล
แม้ว่านางจะยืนกระดากอายอยู่ด้านข้าง แต่เมื่อมองดูฉินเทียนที่วุ่นอยู่กับการเตรียมอาหารและกลิ่นหอมที่ลอยออกมาแล้ว ท้องของนางก็อดส่งเสียง ‘โครกคราก’ ออกมาไม่ได้ โดยที่ไม่รู้ตัวน้ำลายเริ่มไหลออกมาจากมุมปากของนาง
“มานี่ กินซะถ้าเจ้าหิว” ฉินเทียนกล่าวก่อนจะย่อตัวลงนั่งโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา
อวิ๋นม่านสลัดทุกสิ่งทิ้งไป นางเดินเข้าหาฉินเทียนและถามว่า “มันกินได้หรือยัง?”
“อีกไม่นาน”
“กลิ่นมันหอมมาก”
“นั่นส่วนของเจ้า”
“เจ้าออกไปจับมาอีกตัวสิ ตัวนี้ยกให้ข้า”
ฉินเทียนจ้องมองอวิ๋นเทียนด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและคิดขึ้นในใจ ‘นางช่างกล้าไปแล้ว’
“นี่! อย่ามองผู้อื่นเช่นนั้นสิ มันทำให้รู้สึกเขิน”
ฉินเทียนพูดไม่ออก
“ก็ได้ เจ้ากินส่วนหัวและหาง ลำตัวเป็นของข้า ฮี่ฮี่ เอาแบบนี้แหละ….”
ทันใดนั้น ฉินเทียนก็นึกถึงปัญหาสำคัญประการหนึ่งขึ้นมาได้ เขาลืมไปว่าที่นั่นอยู่ในอาณาเขตภูเขาคุนหลุน และสัตว์ปีศาจก็อาจจะเดินมาป้วนเปี้ยนแถวนี้
ฉับพลันเขาก็รู้สึกได้ถึงอันตรายอย่างใหญ่หลวง