จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Up – ตอนที่ 68

ตอนที่ 68

จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 68 มาวมาวผู้แข็งแกร่ง!
ประกายสายฟ้าแลบผ่านท้องฟ้า ในหมู่เมฆมีเสียงฟ้าร้องดังครืนๆ
เป็นบรรยากาศที่ทำให้ผู้คนกระวนกระวาย และทำให้เหล่าสัตว์อสูรพากันคึกคัก ท่ามกลางความมืดมีนัยน์ตาสีเขียวที่ดูกระหายเลือดจับจ้องมองมา
สัตว์อสูรยิ่งมายิ่งพลุกพล่าน หลินหยานและกลุ่มของเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากงัดสรรพกำลังออกมาต่อกร
กลิ่นเลือดของสัตว์อสูรที่ลอยตลบอบอวนอยู่ในอากาศยิ่งกระตุ้นให้สัตว์อสูรตัวอื่นๆติดตามมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากลิ่นเลือดสดๆเหล่านี้นั้นหอมหวนเพียงใดสำหรับสัตว์อสูรที่หิวกระหาย ยิ่งเวลาผ่านไปสัตว์อสูรที่ปรากฏตัวขึ้นก็ยิ่งแข็งแกร่ง
ขณะที่สัตว์อสูรตัวแล้วตัวเล่าถูกปลิดปลง โลหิตก็สาดกระเซ็นลงบนพื้นจนแทบจะกลายเป็นแอ่งโลหิต แน่นอนว่าขณะเดียวกันก็ทำให้กลิ่นเลือดเข้มข้นขึ้น……
เดิมทียังสังหารได้อย่างไม่กินแรง แต่ตอนนี้เริ่มตึงมือบ้างแล้ว หลินหยานเร่งคิดอ่านวางแผน พวกเขาต้องหาสถานที่ปลอดภัยสำหรับพักผ่อนก่อน หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปพวกเขาคงทนทานรับไม่ไหว
เทือกเขาคุนหลุนประกอบด้วยสัตว์อสูรน้อยใหญ่อย่างน้อยหลายสิบหมื่นชีวิต ประกอบกับที่ขณะนี้เป็นตอนกลางคืน ต่อให้เป็นกลุ่มผู้บ่มเพาะขั้นกลั่นวิญญาณ พวกเขาก็คงไม่รอดเมื่อเผชิญหน้ากองทัพสัตว์อสูร
แม้ว่าสัตว์อสูรระดับสี่จะไม่ถือว่าแข็งแกร่งมากนัก แต่หากมันอยู่กันเป็นฝูงก็ย่อมต้องมีช่วงเวลาหนึ่งที่มนุษย์จะหมดแรงลง สู้ตั้งแต่ตกเย็นจนถึงดึกดื่น เหมือนว่ากลุ่มของพวกเขาใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว
“แย่แล้ว!”
แววตาของยี่เชียนหานแปรเปลี่ยน นางพลันกระโดดขึ้นไปบนยอดไม้ก่อนที่นางจะหน้าซีดเผือด “สัตว์อสูรระดับห้า!”
เพิ่งสิ้นเสียงของนางก็พลันมีเสียงตะโกนดังมาจากข้างล่าง “เชียนหานหนีเร็ว!”
ทั้งกลุ่มต่างหน้าเปลี่ยนสี พวกเขาเข่นฆ่ามาตลอดคืนจนตอนนี้เหนื่อยล้าทั้งกายใจ เรี่ยวแรงของพวกเขามาถึงขีดจำกัดแล้ว การปรากฏตัวของสัตว์อสูรระดับห้าเวลานี้ พวกเขาย่อมไร้หนทางต่อกร หลินหยานพลันตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวพร้อมสั่งให้ทุกคนรีบหลบหนี ช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว
เมื่อยี่เชียนหานสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสัตว์อสูรระดับห้า หลินหยานเองก็สัมผัสได้เช่นกัน เหล่าสัตว์อสูรระดับต่ำเองก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตรายจากสัตว์อสูรตัวนั้น หากประสาทสัมผัสของพวกมันย่อมเฉียบคมกว่า สัตว์อสูรตัวนั้นไม่ใช่ระดับห้า แต่เป็นระดับหกหรือกระทั่งระดับเจ็ด….
จิตใจของหลินหยานสั่นสะท้าน เขาสูดหายใจเข้าปอดอย่างหนาวเหน็บขณะที่ร่างกายเริ่มสั่นเทา สัตว์อสูรระดับห้าแข็งแกร่งยิ่ง หากเป็นระดับหกพวกเขาย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ ต่อให้สมมุติว่าพวกเขาทั้งห้ามีความแข็งแกร่งในขั้นกลั่นวิญญาณก็ตาม
ภายใต้คำสั่งของหลินหยาน ฟางขุยและเสวี่ยติงซานรีบหลบหนีขณะมีฉางเฟิงตามติดไป หลินหยานยังคงยืนอยู่ตำแหน่งเดิมด้วยเหงื่อเต็มแผ่นหลัง เขาเงยหน้าขึ้นพลางตะโกนอีกครั้ง “เชียนหาน หนี!”
ครืน……….
ซ่า……………..
ฝนห่าใหญ่เทกระหน่ำพร้อมพายุโหม ยี่เชียนหานไม่ได้ยินเสียงของหลินหยาน นางจึงยังคงยืนอยู่บนยอดไม้พลางเงยหน้าขึ้นจ้องท้องฟ้า มือของนางกำแน่นพลางสั่นเบาๆ ดวงตาของนางทั้งคู่ปรากฏแววเดือดดาล ในตอนนั้นเองกระบี่ที่อยู่ในมือก็พลันพุ่งออกก่อนจะกลายเป็นเงากระบี่หลายร้อยเล่มเต็มท้องฟ้า “ไป!”
เงากระบี่หลายร้อยเล่มกรีดผ่านอากาศจนเกิดเป็นแสงสีเงินสะท้อนวิบวับ กระบี่ทุกเล่มห่อหุ้มไว้ด้วยพลังปราณจนเกิดเป็นภาพตระการตา
ที่ปรากฏออกมาจากดงไม้คืองูเขียวตัวมหึมา ดวงตาสีเขียวเข้มทั้งคู่ของมันราวกับโคมไฟขนาดใหญ่สองดวงส่องสว่างท่ามกลางความมืด เมื่อเห็นเงากระบี่หลายร้อยเล่มพุ่งเข้าหา มันก็สะบัดหางคราหนึ่ง…..
เคร้ง เคร้ง เคร้ง……………
เสียงโลหะกระทบกันดังถี่รัว กระบี่ทุกเล่มกลับกลายเป็นเศษซาก ขณะที่ลำตัวของสัตว์อสูรปราศจากรอยขีดข่วน นี่แสดงให้เห็นว่าพลังป้องกันสูงเยี่ยมเพียงใด
ชี่ ชี่ ชี่…….
งูยักษ์กวาดหางออกอีกครั้ง ต้นไม้ใหญ่ราวสี่ห้าต้นพลันถูกรวบไว้ในหางจนดูคล้ายค้อนที่สามารถทุบทะลวงผ่านสวรรค์ ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี เสียงร้องคำรามของมันดังกึกก้อง ยี่เชียนหานจ้องมองภาพเบื้องหน้าด้วยดวงตาไร้ประกาย นางนิ่งตะลึงต่อหน้าพลังอันแข็งแกร่งของงูยักษ์จนลืมกระทั่งความคิดหลบหนี
สายฟ้าในพายุแลบแปลบปลาบสะท้อนร่างของงูยักษ์ให้เห็นลางๆ บนหัวของมันมีเขาขนาดใหญ่งอกเงยอยู่ ต้นไม้ที่ถูกหางมันขดพันไว้พลันพุ่งฝ่าอากาศลงมา……..
“มาวมาว!…”
“ร่างต่อสู้!”
เงาดำสายหนึ่งวิ่งฝ่าดงไม้มาพร้อมเสียง ‘ฟึบ’ ก่อนจะค้วาร่างของยี่เชียนหานกระโดดหลบไป เงาร่างนั้นยังคงวิ่งต่อโดยไม่หยุดพัก เมื่อถอยออกมาได้ระยะหนึ่ง เงาร่างนั้นก็หยุดฝีเท้าก่อนจะปล่อยยี่เชียนหานลง
กรร!………………
ราชสีห์เนตรโลหิตระดับหกกำลังยืนประจันหน้ากับงูยักษ์อย่างองอาจ วินาทีถัดมาทั้งสองฝ่ายก็พุ่งเข้าโรมรันกันจนพื้นที่โดยรอบพังพินาศ ผืนป่าในเทือกเขาคุนหลุนพลันถูกทำลายอย่างบ้าคลั่ง…..
งูยักษ์ใช้ร่างกายของมันรัดพันมาวมาวไว้ก่อนจะพยายามบีบรัด มาวมาวเองก็ใช้อุ้งเท้าหน้าจับหัวของงูยักษ์เอาไว้ และใช้อุ้งเท้าอีกข้างล้วงเข้าไปในปากของงูยักษ์ก่อนจะกระชากถอนเขี้ยวพิษอย่างดุดัน!
กรี๊ซซซซซซซ…………………………
เมื่อเขี้ยวถูกถอน งูยักษ์ก็ร้องด้วยความเจ็บปวด มันอ้าปากก่อนจะงับไปที่คอมาวมาวเพื่อแก้แค้น
โฮก…………………………
มาวมาวร้องอย่างเจ็บปวด ผิวหนังบริเวณที่ถูกกัดพลันเปลี่ยนเป็นสีดำ มาวมาวใช้เขี้ยววายุด้วยความโกรธ เขี้ยววายุได้พุ่งใส่ดวงตาของงูยักษ์เข้าอย่างจัง ครู่ถัดมามาวมาวก็ใช้อุ้งเท้ากอดหัวของงูยักษ์ไว้ก่อนจะกระแทกใส่พื้นอย่างรุนแรง…..
ตึง……………….
กรี๊ซซซซซซซ…………………………
ต้นไม้ต้นแล้วต้นเล่าล้มลงระเนระนาด สภาพพื้นที่กลายเป็นซากไม้โค่นล้มเกลื่อนกลาด สัตว์อสูรระดับต่ำราวกับมุสิกพบเจอแมว พวกมันต่างวิ่งหนีกันอุตลุด
“เวลาใกล้หมดแล้ว…..”
ฉินเทียนปล่อยร่างของยี่เชียนหานลง เขามองไปยังหน้าต่างระบบที่แสดงระยะเวลาที่เหลือของร่างต่อสู้อย่างเป็นกังวล ตอนนี้เป็นเวลาหลังเที่ยงคืน นับเป็นวันใหม่ มาวมาวจึงสามารถใช้ร่างต่อสู้อีกครั้ง ถึงอย่างนั้นมันก็คงอยู่ได้แค่หนึ่งนาที และตอนนี้มันก็ผ่านไปสี่สิบวินาทีแล้ว เหลืออีกเพียงยี่สิบวินาทีมาวมาวก็กลับเป็นร่างกระจิ๋วหลิ๋วเช่นเดิม และถึงตอนนั้นก็คงไม่อาจรอดจากการโจมตีของงูยักษ์!
“พลังมังกรพิสุทธ์”
“บ้าคลั่ง”
ภายในตันเถียนของเขา มังกรฟ้าครามและคชสารก็ปรากฏกายพร้อมกลิ่นอายยุคบรรพกาล พลังอันหมาศาลหลั่งไหลไปทั่วร่างของเขา พลังปราณของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ควบคู่ไปกับการใช้บ้าคลั่งแล้วก็เสมือนราดน้ำมันลงบนกองไฟ ค่าพลังปราณของเขาจึงพุ่งทะยานราวกติดปีก
ฉินเทียนกระโดดขึ้นฟ้า ด้วยแรงส่งทำให้ตัวเขาลอยข้ามผ่านระยะทางหลายร้อยเมตร สายตาของเขาจับจ้องงูยักษ์ที่กำลังต่อสู้กับมาวมาวอยู่ เส้นเลือดบนแขนเริ่มปรากฏให้เห็นเด่นชัด เขาบังคับพลังปราณหมุนวนรอบกระบี่กระดูกเพื่อเสริมอานุภาพการโจมตี โดยไม่เสียเวลาขบคิด ฉินเทียนพุ่งโจมตีเข้าใส่งูยักษ์ด้วยกำลังทั้งหมด….
ภายใต้สายฝนที่เทกระหน่ำ ร่างของฉินเทียนพุ่งฝ่าอากาศราวกับวิชชุสายหนึ่ง กระบี่ถูกฟันลงด้วยพละกำลังทั้งหมด ก่อเกิดเป็นรังสีกระบี่ที่มีอานุภาพสุดเปรียบปาน
หมื่นมังกรโจนทะยาน พันคชสารย่ำเหยียบปฐพี
ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ……….
คมกระบี่กรีดผ่านเนื้อหนังจนโลหิตสาดกระเซ็น ภายใต้ความเจ็บปวดอย่างรุนแรง งูยักษ์พลันปล่อยมาวมาวก่อนจะสะบัดหางเปะปะ หางที่กวัดแกว่งมานั้นเร็วเกินไป ฉินเทียนไม่มีเวลาตอบสนองมากนัก ดังนั้นจึงยกกระบี่คู่ในมือขึ้นเบื้องหน้าเป็นการป้องกัน
พลั่ก พลั่ก พลั่ก
แถบพลังชีวิตของฉินเทียนลดลงอย่างรวดเร็ว เขาเจ็บปวดราวกับกระดูกหักทั่วร่าง สัตว์อสูรระดับหกช่างแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
ฉินเทียนร่วงกระแทกพื้นอย่างรุนแรง เขาพยายามล้วงหยิบเม็ดยาที่สะสมไว้ออกมาอย่างเร่งรีบก่อนจะกรอกพวกมันเข้าปาก แถบพลังชีวิตเขาค่อยๆฟื้นฟูขึ้นมา
ฉินเทียนลุกขึ้นพรวดก่อนจะรีบตะโกนเตือน “มาวมาว! ร่างต่อสู้เจ้าหมดเวลาแล้ว…”
พวกฉินเทียนพลันตกอยู่ในความกดดัน เป็นสถานการณ์ที่กดดันเหลือประมาณ……

จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Up

จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Up

Status: Ongoing

ฉินเทียน ชายหนุ่มผู้จับผลัดจับผลูถูกย้ายวิญญาณมายังร่างที่อมโรคในอีกโลกหนึ่ง เขากลายเป็นเจ้าของร่างที่จุดตันเถียนไม่อาจใช้การได้ ทำให้เขาไร้ซึ่งพลังลมปราณ กระนั้นสวรรค์ก็ยังไม่ทอดทิ้งเขา พระเจ้าได้มอบระบบเลเวลมาให้ด้วย! ชายผู้ไร้ค่างั้นเหรอ? กำลังภายใน#ต่างโลก#ระบบเกมนั่นมันเจ้าของร่างคนก่อนต่างหาก ต้องก้มหน้าก้มตาฝึกฝนพลังลมปราณงั้นเหรอ? เหอะ เขาสามารถเพิ่มเลเวลผ่านการฆ่าสัตว์อสูรได้ กระจอกน่า! เลเวลจะเพิ่มขึ้นเมื่อเขาฆ่าสัตว์อสูร ฆ่าผู้คน ถล่มตระกูลที่ทุกคนบอกว่าแข็งแกร่ง บอกเลยว่าข้านี่ล่ะบอสใหญ่! ด้วยระบบเลเวลนี้ เขาจะไม่ต้องเผชิญกับปัญหาคอขวดด้านการฝึกปรือดังเช่นอัจฉริยะคนอื่นๆ ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็เพียงแค่ ฆ่า! เพื่อชีวิตที่ดีกว่า! ฝ่าฟันมุ่งหน้าเพื่อกลายเป็นจ้าวยุทธ์! วะฮะฮ่า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท