จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 114
บนเทือกเขาอุ่ยซินที่เขียวชอุ่มและเต็มไปด้วยพลังชีวิตราวกับแดนสวรรค์ในโลกมนุษย์
นิกายจิงซินตั้งอยู่ในเทือกเขากุยซินนี้เอง
ที่หน้าประตูทางเข้าของนิกายมีชายหนุ่มที่ถือสองเล่มกระบี่ด้วยสีหน้ามุ่งมั่นกําลังยืนพิงเสาหินอยู่ ดวงตาทั้งสองจับจ้องไปที่ประตูนิกายอย่างเฝ้ารอคอย
“เจ้าควรจะกลับไปเสียดีกว่า ศิษย์พ่อ ถึงไม่มีทางมาพบเจ้าแน่ เจ้ารอมาเป็นสิบปี รอแล้วได้อะไร?” ศิษย์สตรีที่เฝ้าประตูทางเข้ากล่าวอย่างเห็นใจ
ชายหนุ่มมีนามว่าเมิ่งฝานอี ศิษย์ของสํานักเทียนจี้
เมื่อสิบปีก่อนในงานชุมนุมนิกายอมตะ เขาได้ตกหลุมรักศิษย์สตรีของนิกายจิงซิน เย่อวี้ถึง
หลังจากตามขอความรักมาอย่างยาวนาน ถูกขัดขวางครั้งแล้วครั้งเล่า นับแต่นั้นเขาก้รอคอยที่หน้าประตูทางเข้านิกายจิงซินมาตลอดสิบปี ในระหว่างสิบปีนี้เย่อวี้ถึงได้ออกมาพบกับเขาสามครั้ง เกลี้ยกล่อมให้เขาจากไป
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นเมิ่งฝานอีก็ยังคงไม่ถอดใจ เขายังคงรอคอยต่อไป
เขาเชื่อว่าสักวันหนึ่งเมฆหมอกที่บดบังฟ้าจะสลายหายไปจนเห็นแสงตะวัน เขาเชื่อว่าสักวันหนึ่งเย่อวี้ถึงจะตอบรับความรักของเขา ประมุขนิกายจิงซินจะยอมรับเขา ทั้งหมดนี้ก็คือความปรารถนาของเขา
ตัวเขาได้ถลําลึกลงไปในบ่วงรัก ถลําลึกจนยากจะถอนตัว
ความมุ่งมั่นของเขาไม่เคยสั่นคลอนมาตลอดสิบปี
เมิ่งฝานอีเผยยิ้มบาง หากแต่เป็นรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความเศร้า กระนั้นก็ยังเป็นยิ้มที่มีเสน่ห์ เพราะรอยยิ้มนี้ได้ทําให้ศิษย์สตรีที่เฝ้าประตูอยู่ถึงกับเหม่อลอยก่อนใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นสีแดง
หากแต่วินาทีถัดมา ใบหน้าของนางก้กลับไปเย็นชาดังเดิมราวกับไม่เคยเปลี่ยนสีหน้ามาก่อน
ไม่มีศิษย์คนใดกล้าแต่งงานโดยไม่ได้รับการยินยอมจากประมุขนิกาย กรณีของเย่อวี้ถึงก็เช่นกัน
หลังจากเขาเฝ้ารอมาสิบปี ไม่ว่าน้ําแข็งจะเย็นชาสักเพียงใด มันก็ยังมีวันละลาย ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเย่อวี้ถึงที่มีหัวใจดังเช่นหญิงสาวผู้หนึ่ง มีหรือที่นางจะไม่สั่นไหว? แต่ในเรื่องนี้นางเองก็ทําอะไรไม่ได้ ในสามครั้งที่นางออกมาพอบเขา นางล้วนแสดงท่าทางโมโหและด่าทอเขา หวังให้เขาจากไปโดยเร็ว
“เซียนน้อยไม่ต้องเกลี้ยมกล่อมแล้ว ฝานอีจะไม่จากไป” เมิ่งฝานอีกล่าวอย่างหนักแน่น
ศิษย์สตรีนั้นส่ายหน้าพลางถอนหายใจออกมา ตัดสินใจว่าจะไม่กล่าวอะไรอีก
เมิ่งฝานอีหลับตาก่อนนั่งลงทําการบ่มเพาะพลังปราณ
สิบปีอาจจะไม่ใช่เวลาที่ยาวนานสําหรับผู้ฝึกตน แต่มันก็ไม่สั้นเช่นกัน นอกจากพลังปราณของเขาจะเพิ่มพูนขึ้นแล้ว ระดับการบ่มเพาะของเขาก็ไม่กระเตื้องขึ้นเลย เขายังคงอยู่ในระดับเดียวกับเมื่อสิบปีก่อน ระดับเก้าขั้นกลั่นวิญญาณ
ครั้งหนึ่งเขาเคยอยู่ในร้อยอันดับแรกศิษย์สายในแห่งสํานักเทียนจี่ แต่ตอนนี้อาจจะไม่ใช่อีกแล้ว
เรื่องเหล่านี้เขาย่อมไม่ใส่ใจ สําหรับเขาแล้ว การได้ครองคู่อยู่ร่วมกับคนที่ตัวเองรักเป็นสิ่งที่สําคัญที่สุด ได้เฝ้ารอเย่อวี้ถึงฝึกฝนอยู่เงียบๆเขาก็พอใจแล้ว
นี่ก็คือสิ่งที่เขาเชื่อมั่น
ทุกๆวันศิษย์ที่เดินผ่านไปผ่านมาล้วนแต่เรียกเขาว่าเจ้าโง่ เขาก็ได้แต่หัวเราะออกมา
“นี่ก็สิบปีแล้ว รอต่อไปแล้วได้อะไร? ท่านประมุขย่อมไม่มีวันเห็นด้วยกับเขาแน่”
“เมื่อปีที่แล้ว ศิษย์พี่อถึงก็เคยหยิบยกเรื่องนี้มาพูดกับท่านประมุข และนางก็ถูกลงโทษ”
“เฮ้อ ข้าล่ะสงสารเขาจริงๆ ทําไมเขาต้องดื้อรั้นขนาดนี้ด้วย?”
ศิษย์สตรีที่เฝ้าประตูอยู่หันไปซุบซิบคุยกัน พวกนางมองเมิ่งฝานอีก่อนจะส่ายหน้าพลางถอนหายใจยังมีบุคคลที่ดื้อรั้นเช่นนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ?
“ถึงแล้ว!” เมื่อได้เห็นอักษร “สํานักจิงซิน” บนป้ายหน้าประตู ฉินเหลียนก็เริ่มตึงเครียด นางกําลังจะแยกทางกับฉินเทียนแล้ว หลายวันที่ใช้เวลาอยู่ร่วมกับเขา เป็นวันเวลาที่นางมีความสุขมากที่สุดในรอบสิบกว่าปี
มองดูประตูบานใหญ่ที่เบื้องหน้า ฉินเทียนก็ได้เห็นแสงลอยวนเวียนอยู่รอบประตูบานนั้น นี่เป็นแสงจากค่ายกลที่ทําหน้าที่ปกป้องนิกายแห่งนี้อยู่ เขาขมวดคิ้วก่อนจะเดินตามฉินเหลียนไป
ขณะที่เดินผ่านเมิ่งฝานอี ฉินเทียนเหลือบมองเขาคราหนึ่ง ในใจก็คิดขึ้นอย่างแปลกใจ ไฉนจึงมีบุรุษอยู่ที่นี่?”
” เมิ่งฝานอี ทั้งหมดนี้คุ้มค่าหรือ? เสียเวลาบ่มเพาะไปสิบปี กลับสํานักเทียนจี๋ของเจ้าไปเถอะ บางที่อาจยังสามารถเรียกคืนสิ่งที่สูญเสียไป” ฉินเหลียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวแนะนําออกมาประโยคหนึ่ง
เมิ่งฝานอีเปิดเปลือกตาก่อนจะยิ้มบาง “นางเซียนฉินเหลียนนี่เอง”
สายตาหันไปมองฉินเทียนอย่างอิจฉาก่อนจะกล่าวว่า “นางเซียนฝ่าฝืนกฏก็เพราะเขา นี่คุ้มค่าหรือ?”
เขาย่อมทราบว่าฉินเหลียนหลบหนีออกไป ทั้งยังรู้สึกอิจฉาบุรุษที่ทําให้นางถึงกับทําเช่นนั้น ยิ่งได้เห็นแบบนี้ จิตใจของเขาก็มุ่งมั่น เขาเชื่อมั่นจะต้องคุ้มค่าในการรอคอย
ใบหน้าของฉินเหลียนไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง โดยเฉพาะยามที่ฉินเทียนหันมามอง นางไม่กล้าสบตาแม้สักแวบ จากนั้นนางก็ถึงช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมา และจู่ๆก็เข้าใจถึงการตัดสินใจของเมิ่งฝานอี ไม่ใช่ว่าตัวนางเองก็โง่งมเหมือนกับเขาหรอกหรือ?
ฉินเทียนตกใจ “เป็นว่าที่ฉินเหลียนหนีออกมาก็เพราะเรา? ฉินเทียนเอ้ยฉินเทียน เจ้างั่งเอ๊ย!” เขาด่าทอตัวเองอยู่ในใจ มองดูสีหน้าของฉินเหลียนแล้วในใจก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
“ศิษย์พี่ฉินเหลียนกลับมาแล้ว รีบแจ้งผู้อาวุโสหลิว…” ศิษย์ที่เฝ้าประตูอยู่ตกตะลึงเมื่อพบเห็นฉินเหลียน จากนั้นจึงรีบบอกให้ศิษย์ที่เฝ้าประตูอีกคนไปแจ้งเรื่องนี้กับผู้อาวุโส
และแน่นอนว่าการแอบหนีออกไปจากนิกายนั้นเป็นการทําผิดกฎของนิกาย นางคงไม่แคล้วถูกลงโทษเป็นแน่
ฉินเหลียนคว้ามือฉินเหลียนมากุมไว้พลางกล่าวออกมา “ท่านน้า พวกเราไปกันเถอะ”
แม้เขาไม่รู้ว่าการลงโทษจะเป็นอย่างไร แต่แน่นอนว่าคงไม่เบาเป็นแน่ เขาไม่ต้องการให้นางพบเจอกับความทรมาณ ต้องการพานางจากไปและไม่หวนกลับมาที่นิกายจิงซินอีก
ฉินเหลียนยิ้มบางก่อนจะกล่าวตอบอย่างสงบ “เทียนน้อยไม่ต้องกังวล ท่านประมุขจะไม่ลงโทษข้าหรอก”
“ไม่ลงโทษ? เหอะ แอบหลบหนีลงจากเขา ทราบหรือไม่ว่าเจ้าจะได้รับโทษแบบใด? ต้องโดนทัณฑ์หมื่นแมลงเป็นเวลาเจ็ดวัน!” สตรีวัยกลายคนที่แต่งกายเช่นนักพรตเดินออกมาพลางจ้องมองฉินเหลียน ในแววตาเจือไว้ด้วยโทสะ
ผู้อาวุโสสายนอก หลิวซิน
ตอนที่ฉินเหลียนหลบหนีออกไป นางก็ถูกลงโทษโดยผู้พิทักษ์ประตูอย่างสาหัส ตอนนี้เมื่อได้พบเห็นฉินเหลียน ความโกรธเกลียดก็เข้าครอบงําจิตใจ น้ําเสียงที่กล่าวออกมาจึงแฝงไว้ด้วยความมุ่งร้าย
“ทัณฑ์หมื่นแมลงเป็นเวลาเจ็ดวัน?” ฉินเทียนเบิกตากว้างด้วยความโมโห เขาจ้องหลินซินเขม็งขณะที่หางตากระตุกขึ้นมา จากนั้นจึงจับมือฉินเหลียนแน่นขึ้น ” ท่านน้า พวกเราไปเถอะ ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีกแล้ว”
“เหอะ จับมือถือแขนกัน ไร้ยางอายจริงๆ” หลินซินแค่นเสียง
ฉินเทียนโกรธแล้ว ขณะที่กําลังจะลงมือ เขาก็ถูกฉินเหลียนห้ามปรามเอาไว้ นางปล่อยมือของเขาก่อนจะก้าวออกไปข้างหน้า จากนั้นจึงค้อมกายลงแสดงความเคารพ “ศิษย์ของให้ผู้อาวุโสหลิวซินแจ้งต่อท่านประมุข ศิษย์เต็มใจจะรับโทษ
“อะไรนะ?” ฉินเทียนโพล่งออกมาอย่างตกใจก่อนจะรีบก้าวตามมา ” ท่านน้า ข้าจะไม่ยอมให้ท่านต้องรับโทษใดๆทั้งนั้น ต่อให้เป็นราชันสวรรค์มาเองก็ไม่ให้!”
“ช่างเป็นคําพูดที่อวดดีจริงๆ หรือไม่รู้ว่าตัวเองกําลังอยู่ที่ใด? ที่นี่ใช่เป็นสถานที่ที่ให้คนธรรมดาอย่างเจ้ามาเอะอะโวยวายหรือ?” หลิวซินตะคอกอย่างโมโห นางพลันหุบฝ่ามือและพลังปราณที่ถูกควบแน่นก็พุ่งออกมา
ฉินเทียนตระเตรียมจะลงมือ เตรียมจะมอบบทเรียนให้กับนาง
ตอนนั้นเอง เมิ่งฝานอีก็ก้าวออกมา กระบี่ของเขายังคงอยู่ในฝัก แต่จิตกระบี่ของเขาได้เปลี่ยนเป็นปราณอันทรงพลังสลายพลังปราณที่หลิวซินปล่อยออกมา เขาก้าวเดินต่อพลางยิ้มบาง “ผู้อาวุโสหลิว ใยต้องมีโทสะด้วย?”
หลิวซินอยู่ในระดับเก้าช่วงปลายขั้นกลั่นวิญญาณ ขณะที่ฉินเทียนเพียงอยู่ในระดับห้าขั้นกลั่นวิญญาณ เมิ่งฝานอีกลัวว่าฉินเทียนจะได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นเขาจึงยื่นมือช่วยเหลือ
“อะไร เมิ่งฝานอี เจ้าต้องการจะสอดมืองั้นรึ?” หลิวซินกล่าววางท่า ความไม่พอใจฉายชัดในแววตา นางจ้องเมิ่งฝานอีก่อนจะที่จะกํามือ ส่งการโจมตีที่แข็งแกร่งกว่าครั้งก่อนออกไป
เมิ่งฝานอีก้าวขึ้นหน้าและต้านรับการโจมตีให้กับฉินเทียน “ผู้อาวุโสหลิว ใยจึงต้องลงมือกับผู้เยาว์ด้วย นี่มีแต่จะทําลายชื่อเสียงของท่านเสียเปล่าๆ”
หลิวซินขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจคิดว่าสิ่งที่เมิ่งฝานอีกล่าวมาก็ถูก นางไม่ควรเอาชื่อเสียงมาแลกกับเด็กคนหนึ่ง คิดได้ดังนั้นนางก็แค่นเสียงออกมา “เหอะ”
ในใจของฉินเทียนเต็มไปด้วยความโกรธ หากไม่ใช่เพราะฉินเหลียนอยู่ด้านข้าง เขาคงจะต่อยหน้าอีกฝ่ายไปแล้ว ระดับเก้าแล้วอย่างไร ตัวเขาหาเกรงกลัวไม่ ขอเพียงไม่ใช่ผู้บ่มเพาะขั้นสวรรค์ขึ้นไป เขามั่นใจว่าจะสามารถสังหารอีกฝ่ายได้แน่
เห็นหลิวซินเก็บรั้งพลังกลับไป เมิ่งฝานอีก็ถอยไปอยู่ด้านข้างพลางส่งยิ้มให้ฉินเทียน
“ขอบคุณ” ฉินเทียนกล่าวอย่างจริงใจ
เมิ่งฝานอีหัวเราะก่อนจะนั่งลงหลับตาบ่มเพาะพลังต่อ
” ล้วนมาที่นี่ จับกุมฉินเหลียนให้กับข้า” หลิวซินพลันออกคําสั่ง
ฉินเหลียนขมวดคิ้วก่อนจะกล่าวอย่างโกรธเคือง ” ผู้อาวุโสหลิว ท่านเป็นเพียงแค่ผู้อาวุโสสายนอก ดูเหมือนว่าเรื่องของข้าจะอยู่นอกเหนือหน้าที่ของผู้อาวุโสท่าน ผู้อาวุโสสายนอกต้องการจะ จัดการเรื่องราวของศิษย์สายใน นี่ไม่ใช่อยู่นอกเหนือหน้าที่ของท่านหรอกหรือ?”
สิ่งที่ฉินเหลียนกล่าวได้จี้ใจดําหลิวซินเข้าอย่างจัง
ฉินเหลียนเป็นศิษย์สายใน และแน่นอนว่าหลิวซินยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะจัดการนาง แต่การที่นางถูกลงโทษครั้งล่าสุดนั้นมีต้นเหตุมาจากฉินเหลียน ดังนั้นหากครั้งนี้ไม่ฉวยโอกาสชําระแค้น โทสะของนางก็ยากจะคลี่คลาย
หลิวซินชักสีหน้าพลางคํารามออกมา ”นางสารเลว!”
มือทั้งสองประสานเป็นท่าดอกบัว เกิดเป็นดอกบัวสีดําพุ่งออกไป
“บัดซบ บิดาไว้หน้าเจ้าแล้วเจ้าพานไม่รับ” ฉินเทียนไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป เขาก้าวออกมาข้างหน้า พลังลมปราณโหมกระหน่ํา เผยจิตสังหารออกมา