จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 121
จิ่วโยวลี่กุ่ยหวงแห่งวังจิ่วโยวหมิง ระดับหกขั้นกลั่นวิญญาณ มีความอันตรายไม่เบา
หลังจากรับภารกิจมา อวี้เฉิงก็เริ่มสํานึกเสียใจ ตอนอยู่ที่หอภารกิจตัวเขาคุยโวโอ้อวดจนลืมประเมินความสามารถของตน ตอนนี้เขาไม่ทราบควรทําอย่างไรแล้ว
เขาเดินออกจากหอภารกิจด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่น
รับภารกิจมาแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะยกเลิก
“นายน้อย หรือพวกเราจะลองไปขอความช่วยเหลือจากศิษย์ประตูเทียนคนอื่นๆ?” เอ้อโกวจื่อกล่าวแนะนํา
ได้ยินแบบนั้นอเฉิงก็ยิ้มออก ”คือไม่ถึงว่าบ่าวสุนัขอย่างเจ้าจะมีมันสมองอยู่บ้าง ไม่เลว ไม่เลว”
เขาหัวเราะด้วยเสียงอันดังพลางมุ่งหน้าไปยังประเทียน
ปีศาจระดับหกขั้นกลั่นวิญญาณยังไม่อยู่ในสายตาของฉินเทียน หลังจากรับภารกิจมาแล้ว เขาก็มุ่งตรงไปยังวังจิ่วโยวหมิงทันที
ที่ตั้งของวังจิ่วโยวหมิงนั้นอยู่ห่างออกไปราวหนึ่งพันล้ำจากสํานักเทียนจี๋ หากเร่งเดินทางก็จะใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน
เขาไม่ได้เลือกภารกิจนี้มาส่งๆ ฉินเทียนตั้งใจเลือกลี่กุ่ยหวงเสียเป็นการซ้อมมือ เป็นการประเมินความเสี่ยงของภารกิจนี้เพื่อปูทางไปยังภารกิจที่ระดับความยากสูงกว่า
หลังจากเร่งเดินทางเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน
สัมผัสได้ถึงวังจิ่วโยวหมิงที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ฉินเทียนก็พักฟื้นฟูอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพุ่งเข่นฆ่าเข้าไป
วังจิ่วโยวหมิงจริงแล้วเป็นเพียงกลุ่มที่ก่อตั้งโดยพวกที่กระทําการชั่วร้าย พวกมันสร้างความเดือดร้อนให้กับเมืองโดยรอบอยู่ตลอด อาณาจักรต้าหลี่ไม่มีทางเลือกนอกจากทุ่มเงินรางวัลตั้งภารกิจนี้ส่งให้สํานักเทียนจี๋
ผู้ที่ฉินเทียนเข่นฆ่าไประหว่างทางเป็นเพียงผู้บ่มเพาะปีศาจที่อยู่ในขั้นรวบรวมวิญญาณ
ค่าประสบการณ์ที่ได้รับยังไม่เลว แต่ที่สําคัญคือมันเรียบง่ายทั้งยังสามารถได้รับค่าบาป
นับตั้งแต่ที่เขาได้รับโหมดปีศาจที่สามารถเปลี่ยนเป็นปีศาจสวรรค์ เขาก็หันมาให้ความสําคัญกับค่าบาปมากขึ้น สําหรับคนที่สมควรฆ่า ฉินเทียนก็จะไม่ปล่อยให้รอดไปได้
เสียงกรีดร้องอันน่าสลดดังขึ้นขณะที่ผู้บ่มเพาะปีศาจนับร้อยคนถูกปลิดปลงศีรษะ ฉินเทียนคล้ายกับปีศาจร้ายที่จู่ๆก็ผุดโผล่ออกมา ผู้บ่มเพาะปีศาจต่างก็หวาดกลัวจนตัวสั่นเทา ต้านรับได้ไม่นานก็เริ่มหันหลังวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต
“สํานักเทียนจี๋ยังชอบยุ่งเรื่องคนอื่นไม่เปลี่ยน” จิ่วโยวลี่กุ่ยหวงคํารามพลางปราฏกร่างออกมา สายตาของมันจ้องมองฉินเทียนอย่างดุร้ายก่อนจะแค่นเสียง “ระดับห้าขั้นกลั่นวิญญาณก็กล้ามาก่อเรื่องที่นี่ หรือคิดว่าวังจิ่วโยวหมิงเป็นบ้านของเจ้า?”
พร้อมกับเสียงคําราม จิ่วโยวลี่กุ่ยหวงก็ประกบสองมือสร้างพลังชั่วร้ายโอบล้อมร่างฉินเทียน
ฉินเทียนเผยยิ้มบางอย่างไม่สะทกสะท้าน จากนั้นปราณเพลิงสีม่วงก็ลุกพรึบ ร่างจําแลงของเทพโบราณอันดุร้ายที่สองมือถือเคียวพลันปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง
ฉินเทียนไม่รีรอ เขาพลันพุ่งออกไปจู่โจมราวสายฟ้าแลบ
บึ้ม………….
เกิดเสียงระเบิดขึ้นคราหนึ่งก่อนที่จิ่วโยวลี่กุ่ยหวงจะลอยกระเด็นไป ในแววตาของมันปรากฏความหวาดกลัวขึ้นเป็นครั้งแรก มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉินเทียนลงมือตอนไหน ระดับห้าขั้นกลั่นวิญญาณจะแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร?
จิ่วโยวลี่กุ่ยหวงที่ทรุดร่างอยู่บนพื้นรู้สึกไม่อาจยอมรับ สายตาของมันเหม่อมองขึ้นฟ้า ความเจ็บปวดที่บริเวรหน้าอกยิ่งมายิ่งรุนแรง การหายใจของมันเริ่มย่ำแย่ขณะที่มันพยายามกล่าวออกมา ” จะ…จะ…เจ้าเจ้าฆ่าข้าไม่ได้…ขะข้าข้าเป็น.เป็นศิษย์ของราชันปีศาจเสียโหมว เจ้าไม่อาจ……”
ฉึก!
ฉินเทียนสร้างหอกปราณขึ้นมาก่อนจะแทงไปยังหน้าอกของจิ่วโยวลี่กุ่ยหวงพลางแค่นเสียง ” หากมีโอกาสข้าจะส่งอาจารย์ตายไปเป็นเพื่อนเจ้า”
“ ง่ายซะจนหมดคําพูดจริงๆ” ฉินเทียนบ่นอย่างรําคาญ นับได้ว่าตอนนี้เขาพอจะประเมินความอันตรายของภารกิจได้บ้างแล้ว นึกถึงคําว่า ‘ อันตราย” ที่อธิบายในภารกิจแล้วเขาก็รู้สึกมันน่าตลกจริงๆ
ตัวเขากลับไม่เคยคิดว่าตัวเขาเองนั่นแหละที่ผิดปกติเกินไป
ขณะที่เขากําลังจะเก็บศพของจิ่วโยวลี่กุ่ยหวง เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ”ช้าก่อน!”
ฉินเทียนหันไปมองอี้เฉิงที่วางท่าทางหยิ่งยโส ในใจรู้สึกขบขันขณะที่ปากกล่าวถามออกไป “เจ้าต้องการอะไร?”
เห็นฉินเทียนมีท่าทางอ่อนแอ อวี้เฉิงก็ยิ่งได้ใจ
ศิษย์ที่ติดตามอยู่ด้านหลังอวี้เฉิงต่างส่งเสียงหัวเราะออกมา
ดูเหมือนพวกเขาจะลืมเลือนไปแล้วว่าจิ่วโยวลี่กุ่ยหวงตกตายภายใต้การโจมตีเพียงครั้งเดียวจากฉินเทียน ในสายตาของพวกเขา จิ่วโยวลี่กุ่ยหวงอ่อนแอเกินไป การกําหนดระดับความอันตรายจะต้องมีปัญหาเป็นแน่ มิเช่นนั้นแล้วศิษย์จากประตูหวงจะสังหารโดยลําพังได้อย่างไร?
“หม อะไรงั้นรึ?” อวี้เฉิงก้าวขึ้นหน้าพลางชี้มือไปยังศพของจิ่วโยวลี่กุ่ยหวง “ทิ้งศพเอาไว้ เจ้าไปได้”
ฉินเทียนหัวเราะแต่ไม่ได้กล่าวตอบใดๆ
“ศิษย์พ่อ เขากําลังหัวเราะเยาะท่าน ศิษย์ประตูหวงกําลังหัวเราะเยาะท่าน” ศิษย์ที่อยู่ด้านหลังอวี้เฉิงคนหนึ่งกล่าวออกมาก่อนจะหัวเราะ
ใบหน้าของอวี้เฉิงพลันเปลี่ยนเป็นถมึงทึง เขาตะโกนออกมาอย่างโมโห ” หาที่ตาย!”
กล่าวจบก็ปลดปล่อยปราณมังกรออกมา เขาพลันลงมืออย่างไร้ความปราณีและโหดเหี้ยม
ร่างของฉินเทียนสั่นไหววูบหนึ่งหลบการโจมตีของอวี้เฉิง จากนั้นจึงพึมพําขึ้นว่า “ฆ่าคนเพื่อป้องกันตัวคงไม่โดนลงโทษหรอกกระมัง?”
ได้ยินแบบนั้นกลุ่มของอวี้เฉิงก็ชะงักก่อนจะโมโหขึ้นมา
อเฉิงยังโมโหยิ่งกว่า เขาคํารามก่อนจะปลดปล่อยพลังปราณออกมามากกว่าเดิม ความคิดต้องการสังหารฉินเทียนพุ่งทะยานขึ้นสูง
“เฮ้อ ช่างไม่เจียมตัว”
ฉินเทียนปลดปล่อยกลิ่นอายนักล่าออกมา ภายในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรนี้ไม่มีผู้ใดอีกนอกจากพวกเขา ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็อย่าปล่อยเหยื่อหลุดมือเลย..
“บ้าคลั่งขั้นที่หนึ่ง!”
แสงสีขาวระเบิดออก ปรากฏกลิ่นอายอันทรงพลังขึ้น อวี้เฉิงพลันแตกตื่น ในใจเกิดความรู้สึกไม่สงบขึ้นมา เขาควบแน่นปราณกลายเป็นกระบี่ก่อนจะฟันออกไป
” หาที่ตาย!” ฉินเทียนกํามือขวาต่อยออกไป
ผัวะ!
ร่างของอเฉิงลอยละลิ่ว ขณะที่ร่างกําลังจะตกลงพื้น ฉินเทียนก็ปรากฏตัวขึ้นเหนือร่างของเขาก่อนจะตวัดเท้าเตะออกไป บังเกิดเสียง แคร็ก ดังขึ้นคราหนึ่งพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนของอวี้เฉิง
ร่างของอเฉิงร่วงลงกระแทกพื้นก่อนแน่นิ่งจบชีวิตไป
เพียงลงมืออย่างเรียบง่าย ระดับสามขั้นกลั่นวิญญาณอย่างอวี้เฉิงก็ตกตายโดยรับไว้ไม่ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว
“เจ้ากล้าสังหารศิษย์ประตูเทียน……………”
” หรือไม่กลัวการลงโทษจากหอคุมกฏ? เจ้าจะต้องถูกทรมานจนตายแน่”
ใบหน้าของคนทั้งกลุ่มฉายแววตกตะลึง ขระที่ความโกรธแค้นปะทุขึ้นมา
ฉินเทียนเพียงยิ้มบาง “ฆ่าคนเพื่อป้องกันตัวนับว่าไม่มีความผิดไม่ใช่หรือ?”
” ต่อให้ฆ่าเขาแล้วเป็นไร? ยังจะมีผู้ใดรู้หากพวกเจ้าต่างตกตายกันทั้งหมด?” ฉินเทียนแค่นเสียงพลางย่างสามขุมเข้าหากลุ่มศิษย์ที่เหลือ “แต่ละวันต่างก็มีศิษย์ของสํานักตกตายอยู่แล้ว สําหรับสํานักเทียนจี๋ที่มีศิษย์จํานวนหลายแสนคนแล้ว ตายไปไม่กี่คนก็คงไม่กระทบอะไร”
วาจาอันน่าขนลุกของฉินเทียนทําให้กลุ่มศิษย์พลันรู้สึกหนาวจับขั้นหัวใจ ในใจหลงเหลือเพียงความคิดเดียว “หนี!”
“เปล่าประโยชน์” เสียงอันเย็นยะเยือกของฉินเทียนดังขึ้น
กล่าวจบฉินเทียนก็เก็บศพจิ่วโยวลี่กุ่ยหวงเข้าแหวนมิติ จากนั้นจึงเรียกใช้ค่ายกลเจ็ดสังหาร “ตอนนี้ก็ตายได้แล้ว”
ครืน…………………..
ร่างของศิษย์ทั้งหมดกลายเป็นฝุ่นผงลอยหายไปในอากาศ
ฉินเทียนลอยตัวลงพลางยิ้มกล่าวออกมา “ช่างอ่อนแอกันจริงๆ”