จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 117
ในค่ำคืนอันมืดมิด โลกได้คืนความสงบกลับมา
เมิ่งฝานอีตื่นตาตื่นใจจนแทบอ้าปากเหวอ เขาเดินวนรอบตัวฉินเทียนพลางสํารวจขึ้นลงเที่ยวแล้วเที่ยวเล่า ในใจยังตกตะลึงไม่หาย ปากของเขาพึมพําออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ถูกบุรุษจับจ้องทุกซอกทุกมุมเช่นนี้ ฉินเทียนก็สยิวกายขึ้นมา ในใจครุ่นคิด พี่ชาย เจ้ามองข้าแบบนี้หมายความว่าไง?”
ระดับห้าขั้นกลั่นวิญญาณปลิดปลงสังหารระดับสุดยอดขั้นกลั่นวิญญาณในกระบวนท่าเดียว
ยิ่งกว่านั้นอีกฝ่ายยังเป็นผู้อาวุโสสายนอกของนิกายจิงซิน
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกแห่งการบ่มเพาะของเมิงฝานอื่นับว่าเกิดการพลิกผันอย่างใหญ่หลวง นี่เป็นเรื่องที่บ้าคลั่งมาก เป็นผู้ที่มีความสามารถท้าทายสวรรค์โดยแท้ในใจเริ่มครุ่นคิดว่าฉินเทียนนั้นแท้จริงแล้วใช่เป็นผู้บ่มเพาะระดับห้าขั้นกลั่นวิญญาณจริงๆหรือไม่ หรือเขาจะมีทักษะที่สามารถอําพรางระดับ?
ไม่อย่างนั้นเขาจะสามารถสังหารหลิวซินในหนึ่งท่าได้อย่างไร?
“เจ้า… ” เมิ่งฝานอีเอ่ยปากอย่างตื่นเต้นพลางยื่นหน้ามามองใกล้ๆ ”เจ้าอยู่ระดับห้าขั้นกลั่นวิญญาณจริงๆ?”
ถูกอีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาใกล้ชิดแบบนี้ ฉินเทียนก็ขนลุกซู่ หากไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายอดทนอย่างขมขื่นเป็นสิบปีเพื่อสตรีนางหนึ่งแล้วล่ะก็ ฉินเทียนคงสงสัยว่าเมิ่งฝานอีจะเป็นไม้ปาเดียวกัน มีอย่างที่ไหนผู้ชายจ้องผู้ชายอีกคนอย่างหลงใหลได้ปลื้ม กระทั่งแววตายังดูเป็นประกายแบบนั้น
“ใช่” ฉินเทียนตอบพลางก้าวถอยหลัง
ไม่นานเมิ่งฝานอีก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่พิกล เขารีบถอนแววตาที่เป็นประกายกลับมาพลางฝืนยิ้ม ในใจคิดขึ้นว่า “ช่างแข็งแกร่งจริงๆ เพียงกระบวนท่าเดียวก็สังหารหลิวซินได้แล้ว เจ้านี่เป็นปีศาจชัดๆ เกรงว่ากระทั่งหลิวชวงหานก็ทําไม่ได้”
เขาจมอยู่ในความมืดมาสิบปี ก่อนที่จะได้รับการกระตุ้นเตือนจากฉินเทียน
ความกระตือรือร้นที่จะแข็งแกร่งของฉินเทียนได้ทําให้จิตวิญญาณของเขากลับมาลุกโชนอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากอยู่โดดเดี่ยวลําพังที่นิกายจิงซินมาสิบปี
หลังผ่านค่ำคืนอันเงียบสงบ ยามเช้าของวันรุ่งขึ้นก็มาถึง
ท้องฟ้าเริ่มสว่าง ดอกบัวขาวที่เปล่งแสงนุ่มนวลก็ลอยผ่านหมอกบนภูเขาลงมา
บนฐานดอกบัวนั้นมีฉินเหลียนนั่งอยู่ ดวงตาของนางชุ่มชื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ ดวงตาของนางกระพริบคราหนึ่งหยดน้ำเล็กๆที่หางตาก็ไหลลงมา ไม่แน่ใจว่าเป็นน้ำตาหรือน้ำค้าง
ขณะที่นางกําลังจะไปถึงหน้าประตูทางเข้า นางก็ปาดเช็ดหยดน้ำบนใบหน้า ปั้นยิ้มพลางกระแอม
” ท่านน้า…”
เมื่อเห็นว่าเป็นฉินเหลียน เขาก็รีบลุกขึ้นวิ่งเข้าไปหานาง
ฉินเหลียนหัวเราะพลางยกมือจัดแต่งทรงผมที่ยุ่งเหยิงให้ฉินเทียน น้าสบายดี”
น้ำเสียงของนางยังคงสั่นแม้จะพยายามปกปิดอย่างสุดความสามารถ มองไปที่ใบหน้าอันมุ่งมั่นและแน่วแน่ของเขา นางคิดขึ้นในใจ เทียนน้อยโตเป็นหนุ่มแล้ว เขาดูแลตัวเองได้แล้ว
ฉินเทียนชะงัก เขารู้สึกได้ว่าเรื่องราวคงไม่เรียบง่ายดังเช่นที่ฉินเหลียนกล่าว นางจะต้องมีเรื่องที่ปิดบังเขาเอาไว้ แต่เขาก็ทราบดีว่าหากเอ่ยถามออกไป นางก็คงจะไม่ยอมตอบ ฉินเหลียนให้ความสําคัญกับเขาเหนือสิ่งอื่นใด ความรักความใส่ใจนี้ ฉินเทียนสาบานจะไม่ลืมเลือน
หลังจากจัดแต่งทรงผมให้ฉินเทียนจนเรียบร้อย ฉินเหลียนก็เปิดปากกล่าว ”ท่านประมุขรับปากจะช่วยเหลืออวิ๋นม่านแล้ว แต่มันก็จําต้องใช้เวลาสักพัก นิกายจิงซินเป็นสถานที่อันเงียบสงบ เหมาะแก่การพักฟื้นที่สุด ดังนั้นนางจึงหวังว่าออิ่นม่าจะอยู่ที่นี่ต่อ”
ฉินเทียนกล่าวตอบโดยไม่ต้องคิด ”มอบให้ท่านน้าตัดสินใจ”
มือที่ยื่นอกไปของฉินเหลียนสั่นเบาๆ ในใจรู้สึกเจ็บปวดราวถูกมีดกรีด กระนั้นนางก็ยังคงรักษาสีหน้าสงบนิ่งเอาไว้เพื่อไม่ให้ฉินเทียนพบเห็น
ประมุขนิกายรับปากจะช่วยอวิ๋นม่าน
เงื่อนไขก็คือนางจะต้องไม่พบกับฉินเทียนอีก อวิ๋นม่านก็เช่นกัน และเรื่องที่นางหลบหนีออกจากนิกายก็จะได้รับการละเว้น
หากนางไม่ตอบตกลง ไม่เพียงแต่อวิ๋นม่านจะไม่ได้รับการช่วยเหลือ กระทั่งฉินเทียนก็ต้องตาย
ตัวตนเช่นผู้บ่มเพาะขั้นจักรวาลนั้นยึดกุมอํานาจไว้มหาศาล เพียงอาศัยความคิดก็สามารถสังหารฉินเทียนตายเป็นพันๆครั้ง ฉินเทียนที่ออยู่เพียงขั้นกลั่นวิญญาณหรือจะต่อต้านได้?
สําหรับฉินเหลียนแล้ว การที่จะไม่ได้พบกับฉินเทียนอีกก็ไม่ต่างอะไรจากโทษตาย
แต่เพื่อที่จะปกป้องเขาแล้ว นางก็ยินยอม
ตลอดคืนที่ผ่านมา นางรู้สึกราวกับมีโลหิตหยดซึมจากหัวใจ นางต้องการจะกรีดร้องระบาย ความอัดอั้นนี้ออกไป
นางใคร่ครวญอยู่เนินนานก่อนที่จะร้องขอประมุขนิกายอนุญาตให้นางพบหน้าฉินเทียนเป็นครั้งสุดท้าย นางกังวล กังวลว่าเขาจะกระทําเรื่องวุ่มบ่ามหากไม่ได้พบกับนาง
ที่นี่คือนิกายจิงซิน ไม่ใช่เมืองขอบนภา ผู้บ่มเพาะที่อยู่ในขั้นกลั่นวิญญาณ กระทั่งค่ายกลคุ้มครองนิกายก็สู้ไม่ได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงขุมกําลังของนิกาย
ฉินเทียนฝึกฝนเต๋าแห่งการฆ่า ฉินเหลียนย่อมทราบดังนั้นจึงเกิดความกังวล
ถึงอย่างนั้นฉินเทียนก็ไม่ได้โง่ มีหรือที่จะไม่ทราบถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของฉินเหลียน? แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เงื่อนไขที่ประมุขนิกายยื่นให้แน่นอนว่าต้องโหดร้ายอย่างมาก เขาย่อมทราบว่าจะต้องมีเงื่อนไขที่เกี่ยวพันกับชีวิตของเขา
นึกถึงสิ่งที่เขาพูดกับเมิ่งผ่านอีเมื่อวันก่อน ฉินเทียนก็แต่ได้ยิ้มเจื่อน
เขาอาจจะไม่มีพลัง แต่เขาสามารถอดทนอดกลั้น จะต้องมีสักวันที่ปลาหลีข้ามประตูมังกร กลายเป็นมังกรที่แท้จริง
อารมณ์ของเขาเปลี่ยนไป แรงกดดันก็พลันลดลง
แม้เงื่อนไขอาจจะโหดร้าย แต่ฉินเหลียนและอวิ๋นม่านก็สามารถใช้ชีวิตต่อ นี่นับเป็นข่าวดีสําหรับเขาแล้ว ขั้นจักรวาลหรือ รอข้าก่อนเถอะ
“ผู้ที่กล้าแตะต้องสตรีของบิดาล้วนต้องตาย”
ฉินเทียนลอบสาบานพลางกําหมัดแนบแน่น
“เทียนน้อยไม่ต้องกังวลเกี่ยวของน้า น้าจะดูแลตัวเองและอวิ๋นม่านให้เอง” รู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของเขา ฉินเหลียนก็เริ่มสึกกังวล
ฉินเทียนขมวดคิ้วก่อนจะเก็บซ่อนอารมณ์ของตน “ท่านน้า ท่านเองก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับข้า ข้าจะดูแลตัวเองอย่างดี ข้าจะต้องกลับมารับท่านแน่ ขอให้รอข้า”
ฉินเทียนจ้องฉินเหลียนอย่างจริงจังก่อนจะยกมือขึ้นลูบปรางแก้มของนางอย่างอ่อนโยน เขาขบริมฝีปากแน่น ก่อนจะหันหลังไป ” พี่เมิ่ง พวกเราไป!”
เมิ่งฝานอีกระแอมไอก่อนจะเงยหน้ามองฟ้าพลางถอนหายใจออกมา
บุรุษทั้งสองเดินเคียงกันไปขณะที่ฉินเหลียนมองส่งทั้งสองเงียบๆ
เมื่อมองส่งจนลับสายตาแล้ว นางก็ยกมือกุมหน้าขณะที่ทรุดตัวลงร้องไห้ออกมา
นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองคนได้พบกัน…………..
“เจ้าช่างเป็นลูกผู้ชายจริงๆน้องฉิน เฮ้อ”
ทั้งสองเดินทางอย่างเงียบเชียบ เมิ่งฝานอีรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่หดหูของฉินเทียน และรู้ว่าถ้าอารมณ์นั้นปะทุออกมา กระทั่งเขาก็รับไว้ไม่ไหว เมื่อสิบปีที่แล้ว ตัวเขาก็มีความรู้สึกเฉกเช่นเดียวกัน
“ฟู่…..”
ฉินเทียนระบายลมหายใจยาว เขากัดปากแน่นจนเลือดไหล เขาหันกลับไปมองภูเขาลูกใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง “สักวันข้าจะกลับมา”
“ผู้ที่กล้าหยุดยั้งข้า ข้าจะตามจองล้างจองผลาญไม่ให้ยุดให้เกิดเลย!” ขณะที่กล่าวถ้อยคําเหล่านี้ ปราณเพลิงสีม่วงที่แฝงไว้ด้วยจิตสังหารอยู่อย่างเต็มเปี่ยมก็ระเบิดออกมา
เขายกมือชี้ท้องฟ้าก่อนจะตะโกนออกมา ” บิดาจะกระทําตามที่ลั่นวาจาไว้!”