“ถ้าเจ้าไม่รังเกียจ ข้าถามได้ไหมว่าเจ้าได้รับคำสาปมาได้อย่างไร?” จู่ๆหยวนก็ถามเฟิงยู่เชียง
เมื่อได้ยินคำถามของเขา และนึกถึงประวัติของเธอเฟิงยู่เชียงก็ถอนหายใจด้วยความหดหู่ก่อนที่จะพูดว่า
“มันอาจจะฟังดูโง่ แต่พวกเราฟีนิกซ์เกิดมาพร้อมกับความหยิ่งผยอง บางครั้งความภาคภูมิใจนั้นก็กลายเป็นความเย่อหยิ่ง และด้วยความเย่อหยิ่งนั้นจึงทำให้เกิดเรื่อง ย้อนกลับไปตอนนั้นข้าเป็นฟีนิกซ์ตัวน้อยที่เย่อหยิ่งและเผลอไปทำร้ายคนที่ข้าไม่ควรจะทำเข้า คนๆนั้นจึงสาปให้สายเลือดของข้าถูกผนึกพลังและทำให้ข้ากลายเป็นเช่นนี้”
หยวนจ้องมองเธอด้วยสีหน้าตกตะลึง เธอถูกปิดผนึกพลังของเธอ และสายเลือดของเธอถูกสาปเพียงเพราะเธอทำให้ใครบางคนขุ่นเคือง? เธอทำให้คนประเภทไหนขุ่นเคือง? และคนๆนี้ต้องมีพลังแค่ไหนถึงสาปสายเลือดของฟีนิกซ์ได้?
“อย่างน้อยเจ้าก็เป็นคนซื่อสัตย์” จู่ๆหยูรู่ก็เดินเข้ามาหาพวกเขาและพูด
“พี่จะทำอะไรกับเลือดของฟีนิกซ์พี่ชาย?” จากนั้นเธอก็ถามเขา
“พี่จะกินมัน” เขากล่าว
“เอ๊ะทำไมพี่หยวน…?” เสี่ยวฮัวก็เดินเข้ามาหาพวกเขา และมองไปที่หยวนด้วยใบหน้างงงวย
“พี่บาดเจ็บหรือป่วยที่ไหนหรอ พี่หยวน”
“ไม่ๆไม่ได้ป่วยอะไร” หยวนรีบส่ายหัว
“แล้วทำไมพี่ถึงต้องการเลือดนกฟีนิกซ์ล่ะพี่หยวน?” เสี่ยวฮัวเอียงศีรษะด้วยท่าทางงงงวย
“ถ้าพี่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ก็เป็นการเพิ่มอายุขัยของพี่…อย่างไรก็ตามพี่หยวนยังเด็กมาก และยังไม่ใกล้ถึงขีดจำกัด พี่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เพื่อเพิ่มอายุให้ยืนยาว”
ในมุมมองของเสี่ยวฮัวมีเพียงผู้ฝึกพลังที่มีอายุยืนยาวถึงขีดจำกัด ของการเติบโตเท่านั้นที่จะต้องมีชีวิตยืนยาวจากสมบัติเพราะนั่นเป็นวิธีเดียวที่พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
“อืม…มันเป็นเรื่องซับซ้อนหนะ…” หยวนพูดพร้อมกับรอยยิ้มที่น่าอึดอัดบนใบหน้าของเขา ไม่ใช่ว่าเขาจะบอกพวกเขาได้ว่าเขาต้องการดูว่าเลือดของนกฟีนิกซ์สามารถรักษาร่างกายของเขาในโลกแห่งความเป็นจริงได้หรือเปล่า เพราะนั่นจะทำให้เขาดูเหมือนคนบ้า
“ยังไงก็ตามนายน้อย ข้าสงสัยอยู่ว่าท่านมีสายเลือดอะไรกันแน่ ถ้าเลือดของท่านสามารถทำให้คำสาปของคนนั้นอ่อนลงได้ ท่านต้องมาจากตระกูลที่แข็งแกร่งซึ่งมีพลังมากกว่าคนๆนั่นใช่ไหม?” จู่ๆเฟิงยู่เชียงก็ถามเขา
“สายเลือด…? แต่ข้าไม่ได้มีสายเลือดพิเศษอะไร” หยวนกล่าวอย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่สถานะของเขาบอก
หยวนก็เปิดสถานะของเขา
<สายเลือด: ไม่มี>
หรือจริงๆแล้วเขามีสายเลือดที่ในระบบไม่มี
“เป็นไปไม่ได้เลยนายน้อย ถ้าท่านไม่มีสายเลือดที่ทรงพลัง เลือดธรรมดาจะไม่ดึงดูดเทพอสูรเช่นข้าได้ และนี่ก็ยังเป็นคำสาปจากผู้ฝึกพลังที่ทรงพลังในสวรรค์ชั้นบน” เฟิงยู่เชียงพูดกับเขาพร้อมกับหน้างงงวย
“ข้าไม่รู้จะพูดอะไรอีก เพราะข้าไม่มีสายเลือดพิเศษจริงๆ และข้าก็ไม่ได้มาจากตระกูลที่มีอำนาจ” หยวนกล่าว
เฟิงยู่เชียง นิ่งเงียบพร้อมกับสีหน้าครุ่นคิดบนใบหน้าของเธอ ไม่กี่อึดใจต่อมาเธอพูดว่า
“แม้ว่าข้าจะไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่เลือดฟีนิกซ์ของข้าก็มีความสามารถในการปลุกสายเลือดด้วย อันที่จริงเทพอสูรทั้งหมดมีความสามารถเช่นนี้ ถ้าท่านดื่มเลือดของข้าบางทีท่านอาจจะได้รู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสายเลือดของท่าน แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะถูกสายเลือดจะถูกปลุกขึ้นมา บางคนต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือต้องการความช่วยเหลือจากของวิเศษเพื่อปลุกสายเลือดของพวกเขา”
“จริงหรอ?” หยวนเลิกคิ้ว บางทีนั่นอาจเป็นสาเหตุที่ระบบไม่สามารถจดจำสายเลือดของเขาได้เนื่องจากมันยังไม่ตื่นขึ้น
“อย่างไรก็ตามเราจะรู้ว่าข้ามีสายเลือดหรือไม่หลังจากที่ข้ากินเลือดของฟีนิกซ์เข้าไป ข้าแค่ต้องทำลายใบหยกใช่มั้ย?” หยวนถามเฟิงยู่เชียง
“ให้ข้าช่วยนายน้อย”
หยวนพยักหน้าและยื่นใบหยกให้เธอ
เฟิงยู่เชียงวางใบหยกไว้เหนือศีรษะของหยวนและพูดว่า
“เปิดปากของท่าน นายน้อย“
หยวนเงยหน้าขึ้นและอ้าปาก
จากนั้น เฟิงยู่เชียงก็หักใบหยกลงครึ่งหนึ่ง และเลือดสีทองหยดเดียวก็หลุดรอดออกมาจากใบหยกตกลงไปที่ลำคอของหยวน
ไม่กี่วินาทีต่อมา
<คุณได้ใช้เลือดของฟินิกซ์สีเลือดหนึ่งหยด>
<คุณมีอายุยืนยาวถึง 50,000 ปีจากการกินเลือดของฟินิกซ์สีเลือด>
<อาการบาดเจ็บและความเจ็บป่วยทั้งหมดของคุณหายขาดแล้ว>
<เลือดของฟินิกซ์สีเลือดกำลังตอบสนองต่อสายเลือดของคุณ>
<ความพยายามในการปลุกสายเลือด>
<…>
<…>
<…>
<ล้มเหลว>
<พยายามปลุกสายเลือดอีกครั้ง>
<…>
<…>
<…>
<ล้มเหลว>
<ความพยายามครั้งสุดท้ายในการปลุกสายเลือด>
<…>
<…>
<…>
<ล้มเหลว>
<เลือดของฟินิกส์สีเลือดอ่อนแอเกินไปที่จะปลุกสายเลือดของคุณ>
<เปิดใช้งานร่างกายกลั่นสวรรค์>
<เลือดของฟินิกส์สีเลือดได้รับการขัดเกลา>
<คุณได้รับทักษะ ‘การฟื้นฟูขั้นสูง’ จากการปรับแต่ง เลือดของฟินิกส์สีเลือด>
<การฟื้นฟูขั้นสูง>
<ระดับ: สวรรค์>
<คำอธิบาย: ปรับปรุงความสามารถในการฟื้นฟูทั้งหมดของคุณขึ้นอย่างมาก>
“เอ่อ…” หยวนมองไปที่เฟิงยู่เชียงและกล่าวว่า
“ข้าคิดว่าเลือดของฟินิกส์สีเลือดอ่อนแอเกินไปที่จะปลุกสายเลือดของข้านะ”
“อะไรนะ! เลือดของข้าอ่อนแอเกินไป?!” เฟิงยู่เชียงอุทานด้วยน้ำเสียงตกใจ
“นั่นมันเกินไปแล้วเลือดของข้ามีความสามารถในการปลุกสายเลือดทั้งหมดที่ต่ำกว่าระดับเทพ!”
อย่างไรก็ตามเฟิงยู่เชียงก็เงียบไปทันใด และเธอก็พูดต่อในเวลาต่อมา
“ที่จริงมันก็สมเหตุสมผลแล้วเพราะเลือดของท่านสามารถทำให้คำสาปของคนๆนั้นอ่อนแอลงได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องไกลเกินกว่าที่จะพูดได้ว่าสายเลือดของท่านนั้นสูงกว่าระดับเทพ …”
เฟิงยู่เชียงมองไปที่หยวนด้วยสายตาชื่นชม และผสมไปด้วยความกลัวในดวงตาของเธอ ผู้ที่เกิดมาพร้อมสายเลือดที่สูงกว่าระดับเทพนั้นอยู่ห่างไกล และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น มีเพียงตระกูลที่มีอำนาจมากในสวรรค์ชั้นบนเท่านั้นที่มีความสามารถในการให้กำเนิดคนที่มีสายเลือดที่ทรงพลังเช่นนี้ หยวนคือใคร? เขามาจากตระกูลการฝึกพลังที่ทรงพลังแบบไหน?
“พี่หยวนมีสายเลือดที่สูงกว่าระดับเทพ?” เสี่ยวฮัวยังมองหยวนด้วยดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เป็นเวลานานแล้วที่เธอไม่ได้รู้สึกแบบนี้ อาจจะไม่เคยเป็นมาก่อนตั้งแต่หลังจากที่เธอได้หยวนกินแกนมอนเตอร์เป็นครั้งแรก
ในขณะที่เฟิงยู่เชียงและเสี่ยวฮัวจ้องมองหยวนด้วยสีหน้างุนงง หยูรู่พูดขึ้น
“สายเลือดมีกี่ระดับยังงั้นหรอ แม้ว่าข้าจะจินตนาการได้แล้วว่าระดับเทพนั้นทรงพลังเพียงขนาดไหนตามชื่อของมัน…”
“สายเลือดมีหลายระดับ ระดับต่ำสุดจะเป็นระดับราชา จากนั้นก็ระดับจักรพรรดิราชัน และสุดท้ายคือระดับเทพ แน่นอนว่ายังมีสายเลือดที่ทรงพลังกว่านี้อีกมากที่อยู่เหนือระดับเทพ เช่น ระดับเก่าแก่ แต่เจ้าจะเห็นเฉพาะคนที่มีสายเลือดแบบนั้นในสวรรค์ชั้นบน ไม่ใช่สถานที่เล็กๆ เช่นสวรรค์ชั้นล่าง” เฟิงยู่เชียง อธิบาย
“และเนื่องจากเลือดฟีนิกซ์สีเลือดของข้าไม่สามารถปลุกสายเลือดของนายน้อยได้นั่นหมายความว่าสายเลือดของเขานั้นสูงกว่าระดับเทพ และมีพลังมากเกินกว่าที่เลือดของข้าจะทำอะไรได้”
“แล้วอะไรจะปลุกสายเลือดของข้าได้?” หยวนถามเธอด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“อืม…มีเทพอสูรมากมายที่สามารถปลุกสายเลือดเหนือระดับเทพได้ เช่นมังกรสวรรค์ และเต่าแห่งดวงดาว แต่ท่านจะไม่พบพวกมันในสวรรค์ชั้นล่าง เพราะพวกมันอาศัยอยู่ในสวรรค์ชั้นบนเท่านั้น” เฟิงยู่เชียง กล่าว
“สวรรค์ชั้นบนหรอ” หยวนพึมพำ
“ท่านแน่ใจหรือไม่ว่าท่านไม่ได้มาจากตระกูลฝึกพลังที่ทรงพลังจากสวรรค์เบื้องบน ไม่มีทางที่ผู้ฝึกพลังธรรมดาจะมีสายเลือดที่ทรงพลังเช่นนี้ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกก็ตาม” เฟิงยู่เชียงถามเขาอีกครั้ง
“ใช่ ข้าแน่ใจ” หยวนพยักหน้า
“อืม…”
เฟิงยู่เชียงหรี่ตาของเธอที่เขา แน่นอนว่าเธอไม่เชื่อเขาอย่างเต็มที่ แต่เนื่องจากหยวนไม่อยากบอกเธอ เธอจึงไม่ถามต่อเพราะเธอกลัวว่ามันจะทำให้เขาโกรธ
“ยังไงก็ตามข้ายังคงต้องปิดร้านนี้ก่อนที่ข้าจะออกไปจากที่นี่ ได้โปรดช่วยรอข้าสักสองสามชั่วโมงได้ไหม” เธอถามเขา
“เอาเลย เราจะรออยู่ที่นี่” หยวนพยักหน้า
“ขอบคุณ! ถ้าอย่างนั้นข้าจะพยายามปิดให้เร็วที่สุด!” เฟิงยู่เชียงออกจากห้องและเริ่มปิดร้าน
ในขณะเดียวกันหยวนก็พูดกับหยูรู่ว่า
“หยูรู่วันนี้เธอไม่มีเรียนเปียโนใช่มั้ย”
หยูรู่ส่ายหัวและพูดว่า
“ไม่ วันนี้วันอาทิตย์ไม่มีเรียน หนูยังต้องทำอาหารเช้าให้พี่ ดังนั้นหนูจะออกไปทำตอนนี้”
“ตกลง” หยวนพยักหน้า
หลังจากที่หยูรู่ออกจากระบบเพื่อเตรียมอาหารเช้า จู่ๆเสี่ยวฮัวก็พูดขึ้น
“พี่หยวนเราจะเชื่อใจผู้หญิงคนนั้นได้จริงๆเหรอ?”
“เฟิงเฟิงหรอ พี่คิดว่าเชื่อได้นะ” เขาพยักหน้าด้วยสีหน้าสงบ
“ทำไมละเสี่ยวฮัวไม่เชื่อใจเธอหรอ?”
“อืม…เธอได้ทำสิ่งที่ไม่ค่อยดีนัก…” เสี่ยวฮัวกล่าว
“พี่เดาว่าความประทับใจครั้งแรกของเฟิงเฟิงไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก แต่พี่ก็รู้สึกได้ว่าเธอไม่ใช่คนเลว หัวใจของเฟิงเฟิงเป็นแบบเดียวกับเธอเสี่ยวฮัว” หยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาทำให้เธอหน้าแดง
“เหมือนเสี่ยวฮัวเหรอ” เธอพึมพำ
“ถูกต้อง มันยากที่จะอธิบาย แต่พี่สามารถบอกได้ว่าใครเป็นคนดีหรือคนเลว เพียงแค่ออร่าของพวกเขา มันเป็นสิ่งที่อยู่กับพี่มาตั้งแต่พี่ยังเด็ก ในขณะที่พี่ไม่ได้อยู่ใกล้ๆกับผู้คนมาเป็นเวลาหลายปีแล้วความสามารถของพี่ยังคงอยู่ “หยวนกล่าว
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเสี่ยวฮัวก็พยักหน้าและกล่าวว่า
“เนื่องจากพี่หยวนเชื่อใจ เสี่ยวฮัวก็จะเชื่อในตัวเธอเช่นกัน สำหรับสายเลือดของพี่หยวน เสี่ยวฮัวจะคิดหาวิธีเพื่อทำอะไรบางอย่างดู”
“ขอบคุณนะเสี่ยวฮัว” หยวนพูดกับเธอและเขาพูดต่อว่า
“ยังไงก็ตามตอนนี้พี่ก็จะออกจากระบบไปก่อน ถ้าเฟิงเฟิงกลับมาก่อนพี่ก็บอกให้เธอรู้ว่าพี่จะกลับมาในภายหลัง”
เสี่ยวฮัวพยักหน้าและหยวนก็ออกจากระบบในวินาทีถัดไปพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงด้วยความตื่นเต้น เพราะเขาต้องการที่จะดูว่าเลือดของฟีนิกซ์สีเลือดส่งผลกระทบต่อร่างกายของเขาในโลกแห่งความจริงเช่นเดียวกับน้ำค้างโปร่งแสงไร้มลทินหรือเปล่า