ตอนที่ 1559 ดาบนั้นคืนสนอง (2)
กู่ซินเยียนหยุดมือแล้วมองจวินอู๋เสีย
“แล้วยังไงต่อ?”นางไม่เข้าใจจริงๆว่าจวินอู๋เสียต้องการอะไร
จวินอู๋เสียถามว่า“แตะได้ไหม?”
“……….”ดูไม่พอ ยังอยากแตะด้วยหรือ? แม้กู่ซินเยียนจะบ่นพึมพำอยู่ในใจ แต่นางก็ยังพยักหน้า และยังเตือนจวินอู๋เสียด้วยว่า “แส้คมมากนะ ระวังอย่าให้เจ็บตัวล่ะ”
ไม่ใช่ว่ากู่ซินเยียนดูถูกจวินอู๋เสียแต่เป็นเพราะอาวุธวิญญาณจะคมกว่าอาวุธทั่วไป ใช้คำว่าตัดเหล็กกล้าได้เหมือนตัดโคลนก็ไม่ใช่คำที่เกินจริงเลย
เมื่อได้รับอนุญาตจากกู่ซินเยียนจวินอู๋เสียจึงแตะแส้ที่คมกริบนั้น ตัวแส้เย็นและรู้สึกได้ถึงพลังแปลกๆที่ไหลเวียนอยู่
ความรู้สึกนี้จวินอู๋เสียไม่เคยสัมผัสมาก่อนแม้ว่านางจะรู้จักคนหลายคนที่ครอบครองภูติประเภทอาวุธ เช่น โม่เฉี่ยนเยวียนก็เป็นหนึ่งในนั้น นางเคยสัมผัสภูติอาวุธของเขามาก่อน แต่ก็แค่รู้สึกว่ามันเย็นและไม่ได้แตกต่างจากอาวุธทั่วไปมากนัก
แต่ตอนนี้นางสามารถสัมผัสได้รางๆถึงพลังบนภูติอาวุธนี้
นี่คืออะไร?
จวินอู๋เสียไม่รู้
ภายใต้สายตาของกู่ซินเยียนจวินอู๋เสียหยิบเอาขวดน้ำและพู่กันออกมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองกู่ซินเยียน
“เผ่าจ้าววิญญาณมีความสามารถในการเสริมวิญญาณแต่ข้าไม่ค่อยรู้จักคนที่ครอบครองภูติอาวุธ ข้าไม่เคยลองว่าวิชาเสริมวิญญาณจะใช้ได้กับภูติอาวุธรึเปล่า เจ้าจะยอมให้ข้าลองไหม?” จวินอู๋เสียถามด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ
แต่กู่ซินเยียนไม่สามารถสงบใจได้เมื่อได้ยินเช่นนั้น
นางเคยได้ยินเรื่องวิชาเสริมวิญญาณของจวินอู๋เสียแต่จวินอู๋เสียแค่ใช้ในการแข่งพรสวรรค์แต่กำเนิดเท่านั้น ถ้าไม่ใช่คนที่อยู่ที่นั่นตอนนั้น คนอื่นต่างไม่มีโอกาสได้เห็น กู่ซินเยียนอยู่ที่สนามแข่งภูติประจำตัว จะเข้าสนามแข่งได้ก็ต้องเป็นผู้ที่เข้าแข่งขันในสนามนั้น ดังนั้นกู่ซินเยียนจึงไม่เคยเห็นว่าวิชาเสริมวิญญาณนั้นเป็นอย่างไร
สำหรับวิชาเสริมวิญญาณนั้นกู่ซินเยียนเคยได้ฟังมามาก และรู้แค่ว่ามันเป็นปรากฏการณ์ที่น่าอัศจรรย์ ทำให้นางรู้สึกสนใจไม่น้อย
นางคิดไม่ถึงเลยว่าจวินอู๋เสียตั้งใจจะใช้วิชาเสริมวิญญาณกับภูติประจำตัวของนางจริงๆ
กู่ซินเยียนยืนตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตกลง
“ได้ซิ!”
การที่คนจากเผ่าพิเศษจะยอมแสดงความสามารถของเขาต่อหน้าคนอื่นเป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก คำพูดของจวินอู๋เสียไม่เพียงทำให้กู่ซินเยียนได้มีโอกาสเห็นวิชาเสริมวิญญาณเท่านั้น ยังทำให้กู่ซินเยียนรู้สึกว่าจวินอู๋เสียเปลี่ยนไป หรือนี่คือสัญญาณว่าจวินอู๋เสียใจอ่อนแล้ว?
ในสำนักธาราเมฆจวินอู๋เสียไม่เคยคุยกับคนอื่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไปเข้าพวกเป็นมิตรกับคนอื่นเลย วันนี้จวินอู๋เสียไม่เพียงชวนนางมาเดินเล่นในสำนักเท่านั้น แต่จะแสดงวิชาเสริมวิญญาณให้นางดูอีกด้วย
การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่ทำให้กู่ซินเยียนตื่นเต้นได้อย่างไร?
ดูเหมือนว่าวิธีการของหลินเฮ่าอวี่จะได้ผลจวินอู๋ไม่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว
ในใจกู่ซินเยียนแอบดีใจแต่ก็ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย ใบหน้าของนางยังคงดูเป็นมิตรและจริงใจเช่นเดิม
เมื่อกู่ซินเยียนตกลงแล้วจวินอู๋เสียก็ไม่เสียเวลาอีกต่อไป นางเขียนอักษรเสริมวิญญาณลงบนภูติอาวุธของกู่ซินเยียนทันที
ทันทีที่จวินอู๋เสียลากเส้นสุดท้ายเสร็จเปลวไฟก็ลุกพรึ่บขึ้นลามไปตลอดความยาวของแส้ เปลวไฟสีแดงเพลิงห่อหุ้มแส้สีเงินไว้ทั้งหมด! ส่งคลื่นความร้อนรุนแรงออกมา!
ตอนที่เห็นเปลวไฟกู่ซินเยียนตกใจจนเกือบปล่อยแส้ที่ถืออยู่ในมือ แต่เมื่อเปลวไฟไปถึงด้ามจับและสัมผัสกับมือของนาง กู่ซินเยียนก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดจากการถูกไฟไหม้เลยแม้แต่น้อย
ตอนที่ 1560 ดาบนั้นคืนสนอง (3)
ไม่เจ็บไม่ร้อนเลย
กู่ซินเยียนมองเปลวไฟที่ลุกโชนอยู่ติดกับตัวเองแล้วแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็นเลย
นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความร้อนสูงจากเปลวไฟแต่มันไม่ได้แผดเผานางเลยสักนิด
[น่าทึ่งเกินไปแล้ว!]
[นี่น่ะหรือวิชาเสริมวิญญาณ?]
กู่ซินเยียนยังคงตกใจอยู่ข้อมือนางสั่น มือทั้งสองข้างถือแส้เอาไว้ จากนั้นแส้ก็สว่างวาบขึ้นมาและเปลี่ยนรูปร่างไปเป็นดาบคู่ทันที!
เปลวไฟร้อนแรงห่อหุ้มใบมีดทั้งสองกู่ซินเยียนอดใจไม่ให้รำดาบไม่ไหว เปลวไฟร้อนแรงทิ้งภาพติดตาไว้ในอากาศตามการเคลื่อนไหวของนาง
ครู่ต่อมาเปลวไฟก็สลายไป ดาบคู่ในมือนางกลับคืนสู่สภาพเดิมของมัน
มันเป็นการเปลี่ยนแปลงแค่ช่วงสั้นๆแต่ทิ้งร่องรอยที่ไม่อาจลบเลือนได้ไว้ในใจของกู่ซินเยียน นางมองไปที่ดาบคู่ในมืออยู่เป็นเวลานานและไม่รู้จะพูดอะไรดี
ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าทำไมในตอนที่นางเข้าสำนักธาราเมฆผู้อาวุโสจึงสั่งให้นางพยายามทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อดึงจวินอู๋เข้าสู่วิหารมารโลหิต
ความสามารถของวิชาเสริมวิญญาณได้พลิกทุกสิ่งที่นางคิดว่าตัวเองรู้ไปจนหมดสิ้น
แม้ว่ามันจะมีผลแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆแต่ใครจะแน่ใจได้ว่ามันจะขยายเวลาให้นานขึ้นไม่ได้? ถ้าคุณสมบัติต่างๆเหล่านี้สามารถเพิ่มลงบนภูติประจำตัวได้ มันก็เท่ากับการเพิ่มพลังในการต่อสู้ของภูติประจำตัวขึ้นอีกหลายเท่าทีเดียว!
การเปลี่ยนแปลงที่ทรงพลังเช่นนี้แม้แต่ช่างหลอมแหวนที่เก่งที่สุดก็คงทำไม่ได้!
“นี่คือวิชาเสริมวิญญาณของเผ่าจ้าววิญญาณหรือ?”กู่ซินเยียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาทอประกายตื่นเต้นโดยไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ นางประหลาดใจกับผลของการเสริมวิญญาณจริงๆ
จวินอู๋เสียพยักหน้าเทียบกับความตื่นเต้นของกู่ซินเยียน ปฏิกิริยาของจวินอู๋เสียสงบกว่ามาก ดูเหมือนนางกำลังคิดอะไรบางอย่าง แล้วพูดขึ้นขณะมองไปที่ดาบคู่ในมือของกู่ซินเยียนว่า “ดูเหมือนว่าวิชาเสริมวิญญาณสามารถใช้กับภูติอาวุธได้ด้วย แต่ไม่รู้ว่าการเสริมวิญญาณจะได้ผลทุกแบบรึเปล่า……”
“เจ้าค่อยๆลองทดสอบได้นะ!”กู่ซินเยียนพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
ผลของวิชาเสริมวิญญาณทำให้นางตกใจและทำให้นางยิ่งมุ่งมั่นที่จะดึงจวินอู๋เสียเข้าวิหารมารโลหิตให้ได้ ถ้านางเอาชนะใจจวินอู๋ได้สำเร็จ เวลาที่วิหารมารโลหิตกับวิหารปีศาจเพลิงแข่งขันกันเพื่อเป็นที่หนึ่งในสิบสองวิหาร มันจะเป็นการเพิ่มพลังให้พวกเขาได้อย่างมาก!
กู่ซินเยียนเต็มไปด้วยความคาดหวังต่อวิชาเสริมวิญญาณนางดีใจมากที่ได้ช่วยจวินอู๋เสีย นี่ไม่เพียงทำให้นางเข้าใจเกี่ยวกับวิชาเสริมวิญญาณได้ดีขึ้น แต่ยังสร้างโอกาสที่จะทำให้นางกับจวินอู๋เสียได้ใช้เวลาร่วมกันเพิ่มมากขึ้น ทำให้นางสนิทกับจวินอู๋เสียได้ง่ายขึ้น
เป็นผลดีด้วยกันทั้งสองฝ่ายทำไมจะไม่ทำล่ะ?
“ไม่รบกวนหรือ?”จวินอู๋เสียไม่ได้ปฏิเสธทันที แต่มองกู่ซินเยียนอย่างเกรงใจเล็กน้อย
กู่ซินเยียนส่ายหัวทันควัน“ไม่รบกวนเลย! เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือ?” กู่ซินเยียนยิ้มอย่างสดใส นางดีใจมากที่ตัดสินใจถูก ถ้าไม่ใช่เพราะนางเริ่มติดต่อกับจวินอู๋เสียตั้งแต่แรก จวินอู๋เสียคงไม่คิดจะมาขอให้นางช่วยทดสอบวิชาเสริมวิญญาณ และถ้าไม่ใช่เพราะหลินเฮ่าอวี่ทำให้จวินอู๋เสียโดดเดี่ยวได้อย่างสมบูรณ์ นางก็คงไม่มีโอกาสนี้!
เป็นครั้งแรกที่กู่ซินเยียนรู้สึกว่าหลินเฮ่าอวี่ก็ฉลาดอยู่บ้างเหมือนกัน
เมื่อเห็นความกระตือรือร้นของกู่ซินเยียนจวินอู๋เสียก็ตกลงด้วยท่าทางเกรงใจ
ขณะที่กู่ซินเยียนคิดว่าในที่สุดนางก็หาช่องเจาะเข้าไปได้แล้วและใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มนางไม่ได้สังเกตเห็นประกายเย็นเยียบในดวงตาของจวินอู๋เสียเลย