ตอนที่ 1613 คลั่งไคล้ยา (3)
“ไม่ยอมให้ข้าเรียกอาจารย์แต่ดันเรียกตัวเองว่า ‘อาจารย์’ เนี่ยนะ……” เทียนเจ๋ออดบ่นไม่ได้
ชายชราตัวเล็กหยิบฟืนข้างตัวเขาขึ้นมาเขวี้ยงใส่เทียนเจ๋อเทียนเจ๋อหลบได้แบบเฉียดฉิว
“เจ้าศิษย์อกตัญญู!สะเออะมาทำอะไรที่นี่? มาทำให้ข้าหงุดหงิดเรอะ!” ชายชราโวยวายอย่างหัวเสีย
เทียนเจ๋อรู้สึกจนปัญญา“อาจารย์ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้น แต่ยาที่ท่านปรุงมัน……” จะทำคนตายเอานะ!
“เจ้าลองพูดอีกคำดูซิเชื่อไหมว่าข้าจะโยนเจ้าเข้าเตาเดี๋ยวนี้แหละ! บังอาจสงสัยความสามารถในการปรุงยาของอาจารย์! อย่าลืมซิ! อาจารย์คือหมอนะ!!” ชายชราตัวเล็กยังคงส่งเสียงประท้วง
เทียนเจ๋อแอบยิ้มหมออะไร ไม่ใช่ว่าท่านไปล่อลวงข่มขู่เอามาหรอกหรือ ได้ชื่อว่าหมอเพราะไปทุบตีคนจนต้องคลานหาฟันที่พื้นเนี่ยนะ?
“ข้าโกรธแล้วนะ!เดี๋ยวข้าจะทำยาที่สุดยอดไร้ที่เปรียบมาให้เจ้าดู!” ชายชรายิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ
เทียนเจ๋อทำสีหน้าสิ้นหวัง
“ยืนบื้ออะไรอยู่ได้?ไม่มีอะไรทำก็มาพัดไฟให้ข้า!” ชายชราโยนพัดในมือใส่หน้าเทียนเจ๋อ
เทียนเจ๋อทำได้แค่ยอมรับชะตากรรมของตัวเองถือพัดเดินไปแทนที่ชายชราตัวเล็ก แล้วนั่งยองๆลงข้างเตาเพื่อพัดไฟ
ในที่สุดชายชราก็ว่างแล้วเขาไม่สนใจความทุกข์ทรมานของศิษย์ตัวเอง และลากเอาม้านั่งตัวเล็กออกมานั่งพร้อมกับคอยกระตุ้นเทียนเจ๋อให้ขยันขันแข็งขึ้นอีก
เทียนเจ๋อได้แต่ปฏิบัติตามอย่างเชื่อฟังพอนึกถึงจุดประสงค์ที่มาที่นี่ตั้งแต่แรกขึ้นมาได้ เขาก็พูดขึ้นพร้อมกับพัดต่อไปว่า “อาจารย์ กู่อิ่งกลับไปแล้ว”
“ไปก็ไปซิอยู่ในสำนักแล้วเจ้าดูหงุดหงิด ไปซะจะได้หมดปัญหา” เห็นได้ชัดว่าชายชราไม่ได้สนใจเลยว่ากู่อิ่งจะอยู่หรือไป สิ่งที่เขาสนใจคือยาในเตาจะออกมาดีหรือไม่
ครั้งนี้เขาทำตามทุกขั้นตอนที่เขียนไว้บนใบสั่งยาที่ได้มาจากจวินอู๋เสียผลที่จะออกมานั้น ชายชรารู้สึกมั่นใจมาก!
อีกไม่นานเขาก็จะได้ใช้“ความสามารถ” พิสูจน์ให้เห็นพรสวรรค์ในการปรุงยาของเขา!
เทียนเจ๋อนิ่งงันกับคำพูดของชายชราสิ่งที่เขาจะอยากพูดล้วนถูกกลืนกลับลงไปในคอ ไม่มีแม้แต่โอกาสจะเปล่งเสียงออกมา
ด้วยเหตุนี้หนึ่งแก่หนึ่งหนุ่มจึงพากันนั่งยองๆอยู่ในห้องและทำงานกับเตาปรุงยาต่อไป
ยามค่ำคืนมาเยือนอย่างเงียบงันความมืดปกคลุมทั่วทั้งสำนักธาราเมฆ ดวงจันทราลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า เหล่าผู้เยาว์ที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันได้ลากร่างกายและจิตใจอันอ่อนล้าของตัวเองกลับไปพักผ่อนที่ห้อง
จวินอู๋เสียกลับเข้ามาในห้องและยืดเส้นคลายกล้ามเนื้อเล็กน้อยนางไม่ลืมว่าระหว่างที่เดินกลับมาที่นี่ นางเห็นหลินเฮ่าอวี่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดและจ้องเขม็งมาที่นางด้วยสายตาชั่วร้ายน่ากลัว
สำหรับพวกตัวประกอบแบบหลินเฮ่าอวี่นางไม่คิดจะเสียเวลากับเขา
“คุณหนู”เย่ฉากับเย่กูปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าจวินอู๋เสียอย่างเงียบๆ พวกเขาไปแจ้งพวกเฉียวฉู่ตามคำสั่งของคุณหนูแล้ว จากนั้นก็มาคอยปกป้องความปลอดภัยของจวินอู๋เสียอยู่ในเงามืด ป้องกันไม่ให้กู่อิ่งลงมือได้
“หืม?”จวินอู๋เสียนั่งลงบนเก้าอี้ ท่านแบะแบะกับกระต่ายโลหิตพากันกระโดดออกจากอ้อมแขนของเย่ฉาและเย่กู แล้ววิ่งมากระโดดดึ๋งๆอยู่ตรงเท้าของจวินอู๋เสีย ทำตัวออดอ้อนออเซาะกันตัวละข้าง จวินอู๋เสียก็ช่างเป็นคนดี เรียกบัวน้อยออกมาเพื่อเอาใบบัวมาให้สัตว์อสูรทั้งสองตัว พอเห็นสองตัวนั้นกินใบบัวอย่างมีความสุข แววตาของนางก็อ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย
“กู่อิ่งออกจากสำนักธาราเมฆแล้วขอรับ”เย่ฉาพูด
ตอนที่เทียนเจ๋อส่งกู่อิ่งออกไปเขากับเย่กูซ่อนตัวอยู่ในเงามืด และเห็นกับตาว่ากู่อิ่งเดินออกจากประตูของสำนักธาราเมฆไปแล้ว
ตอนที่ 1614 อันตรายในค่ำคืนที่มืดมิด (1)
“กู่อิ่งออกจากสำนักธาราเมฆแล้วขอรับ”เย่ฉาพูด
ตอนที่เทียนเจ๋อส่งกู่อิ่งออกไปเขากับเย่กูซ่อนตัวอยู่ในเงามืด และเห็นกับตาว่ากู่อิ่งเดินออกจากประตูของสำนักธาราเมฆไปแล้ว
“ออกไปแล้ว?”จวินอู๋เสียหรี่ตาลงเล็กน้อย [กู่อิ่งไปง่ายๆแบบนี้เลยหรือ?]
เมื่อได้เจอกู่อิ่งอีกครั้งจวินอู๋เสียอดรู้สึกไม่ได้ว่าเรื่องมันง่ายเกินไป ตั้งแต่ตอนที่กู่อิ่งปรากฏตัวจนกระทั่งจากไป ทุกอย่างปกติมากจนรู้สึกแปลกๆ มันไม่เหมือนนิสัยของเขาเลย ในความคิดของจวินอู๋เสีย ทุกครั้งที่เจอกู่อิ่ง มันมักจะมาพร้อมกับเลือดและความตายเสมอ แต่ครั้งนี้ทุกอย่างสงบสุขมาก มันไม่เพียงไม่ทำให้นางสบายใจ แต่กลับทำให้นางรู้สึกเครียดมากขึ้น
“มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นหลังจากเขากลับไปรึเปล่า?”จวินอู๋เสียถาม
เย่ฉาส่ายหน้า“เราตามเขาไปแค่ที่ประตูเท่านั้นขอรับ ไม่ได้ตามต่อหลังจากนั้น”
เป้าหมายหลักของเย่ฉาและเย่กูคือดูแลความปลอดภัยของจวินอู๋เสียคนในสำนักธาราเมฆไม่ได้มีแค่คนจากสิบสองวิหาร ยังมีศิษย์ของเก้าอารามจากรุ่นก่อนๆอยู่จำนวนหนึ่งด้วย พวกเขาไม่กล้าอยู่ห่างจากจวินอู๋เสียมากเกินไป จึงตัดสินใจที่จะไม่ตามกู่อิ่งต่อ
จวินอู๋เสียก้มหน้าคิดการปรากฏตัวของกู่อิ่งทำให้นางรู้สึกว่าเรื่องจะไม่จบง่ายๆ
เย่กูเอาแต่ยืนเงียบอยู่ด้านข้างโดยไม่พูดอะไรสักคำแต่จู่ๆก็ดูเหมือนเขาจะตรวจจับอะไรบางอย่างได้ สายตาของเขาหันไปมองนอกหน้าต่างทันที
“เย่กู?”จวินอู๋เสียสังเกตเห็นปฏิกิริยาที่ผิดปกติของเย่กู
เย่กูเลิกคิ้วและพูดว่า“มีผู้บุกรุก”
“ใคร?”จวินอู๋เสียถามทันที
“ยังไม่รู้แน่ชัดแต่แน่ใจอยู่อย่างหนึ่ง พวกนั้นไม่ใช่คนของสำนักธาราเมฆ ตอนที่คุณหนูเข้าสำนักธาราเมฆ ข้ากับเย่ฉาได้สัมผัสปราณของทุกคนที่นี่แล้ว แต่ตอนนี้ที่นี่มีปราณแปลกๆที่ไม่คุ้นเคยอยู่เป็นจำนวนมาก” เย่กูหรี่ตา มีพลังวิญญาณที่ไม่คุ้นเคยอยู่หลายคน แต่ไม่ได้รวมอยู่ที่เดียวกัน การปรากฏตัวอย่างกระทันหันของคนจำนวนมากในสำนักธาราเมฆทำให้เขารู้สึกระแวงขึ้นมา
จวินอู๋เสียเองก็รู้สึกได้ว่ามีสิ่งผิดปกติเช่นกัน“พวกนั้นแข็งแกร่งแค่ไหน?”
เย่กูเงียบลงและส่งสัมผัสรับรู้ออกไปจากนั้นก็พูดว่า “ทุกคนคือผู้ใช้พลังวิญญาณสีม่วงขั้นสามขึ้นไป มีประมาณ 20 กว่าคน สองสามคนในนั้นไปถึงขั้นพลังวิญญาณสีเงินแล้ว”
พลังของเย่กูแข็งแกร่งกว่าเย่ฉามากนั่นคือเหตุผลที่เย่กูสัมผัสถึงผู้บุกรุกได้ก่อนเย่ฉานั่นเอง
“พลังวิญญาณสีเงิน?”จวินอู๋เสียตกใจเล็กน้อย นางคิดว่ามีความเป็นไปได้มากที่ผู้บุกรุกพวกนี้จะเกี่ยวข้องกับกู่อิ่ง แต่เย่กูบอกว่ามีผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีเงินอยู่ในหมู่คนพวกนั้นด้วยงั้นหรือ?
ทั่วทั้งสิบสองวิหารมีเพียงประมุขของวิหารต่างๆเท่านั้นที่สามารถไปถึงขั้นพลังวิญญาณสีเงิน และประมุขวิหารคงไม่เอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงแบบนี้แน่
กู่อิ่งเป็นเพียงสมาชิกคนหนึ่งของวิหารมารโลหิตต่อให้เขาอยากลงมือทำอะไร แต่เขาจะสามารถโน้มน้าวให้ผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีเงินทำตามคำสั่งเขาได้อย่างไร? และจากที่เย่กูพูด คนกลุ่มนี้มีผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีเงินมากกว่าหนึ่งคน ถ้าวิหารมารโลหิตมีผู้ใช้พลังวิญญาณสีเงินอยู่มากกว่าสองคน ทำไมพวกเขาต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับวิหารปีศาจเพลิงมานานหลายปีและยังไม่มีผู้ชนะที่ชัดเจนแบบนี้?
ยิ่งกว่านั้นพลังวิญญาณสีม่วงขั้นสาม สำหรับวิหารไหนก็ตามล้วนมีค่าสูงถึงขั้นได้เป็นระดับผู้อาวุโส หากไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน คงไม่มีวิหารไหนในสิบสองวิหารจะส่งผู้ที่มีพลังระดับนี้ออกมาในครั้งเดียวเช่นนี้ มันน่ากลัวเกินไป!
นี่มันน่าจะเป็นพลังเกือบทั้งหมดของพวกเขาเลยทำไมจู่ๆวิหารมารโลหิตถึงอยากทำอะไรที่รุนแรงเช่นนี้?
ข้อมูลที่เย่กูบอกจวินอู๋เสียทำให้นางไม่สามารถระบุตัวตนหรือที่มาของคนกลุ่มนี้ได้