ตอนที่ 1699 เจตนาร้าย (7)
เยว่อี้อยากจะสับจูเก๋ออินให้เป็นหมื่นๆชิ้นใจจะขาดแต่เขาก็ต้องทนข่มกลั้นความเกลียดชังเอาไว้
เขาจะปล่อยให้จูเก๋ออินพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมาไม่ได้แม้แต่คำเดียวไม่งั้น……น้องสาวของเขาจบสิ้นแน่
หากเรื่องถูกเปิดเผยออกมาผู้อาวุโสเยว่จะต้องฆ่าคนปิดปาก และฆ่าน้องสาวของเขาอย่างแน่นอน
“เช่นนั้นข้าคงต้องขอบคุณ……สำหรับความหวังดีของประมุขน้อยจูเก๋อ……”เยว่อี้สูดหายใจเข้าลึกและเงยหน้าขึ้นช้าๆ ผมที่ชุ่มเหงื่อของเขาแนบติดกับใบหน้าด้านข้าง เป็นโครงร่างใบหน้าที่หล่อเหลาของเด็กหนุ่ม
ทันใดนั้นเขาก็ยกมือที่สั่นเทาขึ้นมาและออกแรงฟาดไปที่กระดูกสะบักไหล่ที่หักของเขา!
แท้จริงแล้วเขาใช้พลังวิญญาณของตัวเองบังคับให้เส้นเอ็นบริเวณนั้นฉีกออกเพื่อจะได้คลายความเจ็บปวดลงสักเล็กน้อย
วิธีการที่เด็ดขาดเช่นนี้ทำให้จูเก๋ออินตกตะลึงไปชั่วขณะเมื่อเห็นประกายตามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวในดวงตาสีอ่อนของเยว่อี้ จูเก๋ออินก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที
“ใช่แล้วอย่างนี้แหละ เกมจะได้น่าสนใจ”
พวกคนที่อยู่ด้านล่างเวทีประลองไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างจูเก๋ออินและเยว่อี้ทุกคนต่างทำเหมือนมันเป็นเพียงการประลองที่ดุเดือดน่าชมเท่านั้น
แต่หรงรั่วที่ยืนอยู่ด้านหลังฝูงชนไม่อาจยืนเฉยได้อีกต่อไปนางเห็นแววตาตัดสินใจเด็ดเดี่ยวของเยว่อี้แล้ว นั่นเป็นความสงบนิ่งของคนที่โยนชีวิตตัวเองทิ้งไป ในตอนที่ไม่มีใครได้สังเกต ร่างของนางก็แวบหายไปโผล่ที่ด้านข้างของเฟยเหยียนอย่างเงียบๆ
เฟยเหยียนกำลังเค้นสมองคิดหาวิธีว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไรดีทันใดนั้นเขาก็เห็นหรงรั่วเข้ามาอยู่ข้างๆเขา สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นประหลาดใจทันที
“เกิดอะไรขึ้น?จูเก๋ออินเป็นบ้าไปแล้วหรือ? ทำไมเขาถึงอยากให้คนนั้นจากวิหารเงาจันทราตาย?” หรงรั่วถามเสียงกระซิบที่สามารถได้ยินกันแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น
การฆ่าคนก็แค่ทำให้หัวหล่นลงพื้นแต่เห็นได้ชัดว่าจูเก๋ออินอยากทรมานเยว่อี้ทีละนิดจนกว่าจะตาย
เฟยเหยียนเองตอนนี้ก็ไม่มีใจคิดเรื่องอื่นแล้ว
“จูเก๋ออินเล็งกู่ซินเยียนแห่งวิหารมารโลหิตไว้แต่ไม่รู้ทำไมกู่ซินเยียนถึงเอาแต่มองคนของวิหารเงาจันทรา พอจูเก๋ออินพบเข้าก็เลยโกรธ ไอ้หมอนี่เป็นคนใจแคบมาก เขาตั้งใจจะทรมานเจ้าเด็กจากวิหารเงาจันทรานั่นจนตาย! บ้าเอ๊ย! ข้าขึ้นไปบนนั้นตอนนี้ไม่ได้ ไม่งั้นก็ต้องฆ่าเขา” เฟยเหยียนกำหมัดแน่น ถ้าพวกเขาไม่ได้มีภารกิจสำคัญ พวกเขาคงทนไม่ไหวและพุ่งเข้าไปจัดการกับไอ้สารเลวจูเก๋ออินแล้ว
ไอ้หมอนี่ชั่วร้ายเกินไป!
“เสี่ยวเสียไม่ได้มาหรือ?”หรงรั่วกวาดสายตามองหาไปทั่วฝูงชน แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของจวินอู๋เสียเลย
เฟยเหยียนส่ายหน้า
ถ้าจวินอู๋เสียอยู่ที่นี่แผนการชั่วร้ายของจูเก๋ออินจะสำเร็จได้ยังไง?
“ข้าส่งข่าวผ่านแผ่นหยกไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเสี่ยวเสียจะรู้ไหมว่าข้าหมายถึงอะไร” เฟยเหยียนรู้สึกกังวลในเรื่องนี้ แผ่นหยกสามารถส่งได้หนึ่งตัวอักษรเท่านั้น เขาจึงเขียนได้แค่คำว่า ‘ประลอง’ ยังไงซะ เยว่อี้ก็เป็นคนที่เกี่ยวข้องกับจวินอู๋เสีย พวกเขาจึงไม่สามารถยืนอยู่เฉยๆ ดูจูเก๋ออินทรมานเยว่อี้จนตายได้!
“คนจากวิหารเงาจันทรานั่นต้องโดนจูเก๋ออินจับจุดอ่อนอะไรไว้ได้แน่ๆเมื่อครู่ข้าเห็นเขาไม่มีความคิดจะขึ้นไปบนเวทีประลองเลย เป็นเพราะคำพูดของจูเก๋ออินที่บังคับให้เขาขึ้นไปบนนั้น” หรงรั่วขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น ว่ากันตามจริงแล้ว เยว่อี้มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมมาก อายุแค่ 17 ปีก็บรรลุพลังวิญญาณขั้นสีม่วงได้แล้ว เป็นเพราะช่องว่าง 5 ปีระหว่างเขากับจูเก๋ออิน ถ้าพวกเขาอายุเท่ากันล่ะก็ จูเก๋ออินอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเยว่อี้เลยด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้เยว่อี้อายุน้อยกว่าและจูเก๋ออินก็จับจุดอ่อนของเขาไว้ได้ บนเวทีประลองนั่น เยว่อี้ไม่กล้าออกมือออกเท้าเลย ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทนรับหมัดอยู่ฝ่ายเดียว
ตอนที่ 1700 เจตนาร้าย (8)
“คงเป็นอย่างนั้นแหละดูเหมือนวิหารมังกรจะกุมความลับของวิหารอื่นๆเอาไว้ไม่น้อย” เฟยเหยียนพูดพลางพยักหน้า
หรงรั่วเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “เราต้องให้เสี่ยวเสียมาที่นี่ให้เร็วที่สุด ไม่งั้นมันจะสายเกินไป” พวกเขาได้รับหน้าที่ให้แฝงตัวอยู่ในวิหารต่างๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะให้พวกเขาออกหน้าในสถานการณ์นี้ สายตาของหรงรั่วหันไปมองจื่อจินอีกครั้ง
พลังของจื่อจินไม่ได้แข็งแกร่งอะไรนักนางจึงไม่เข้าใจแผนร้ายที่เกิดขึ้นบนเวทีประลอง แต่เมื่อนางเห็นว่าใบหน้าซีดเซียวของเยว่อี้เริ่มย่ำแย่ลงเรื่อยๆ นางก็อดรู้สึกกังวลไม่ได้ และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
ขณะที่จื่อจินกำลังกระวนกระวายใจอยู่นั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลังนาง
“ถ้าเจ้าอยากช่วยเยว่อี้ก็ไปตามศิษย์น้องอู่ของเจ้าให้มาที่นี่”
จู่ๆเสียงนั้นก็ดังขึ้นจื่อจินจึงสะดุ้งเล็กน้อย นางหันกลับไปอย่างรวดเร็ว แต่ด้านหลังนางก็มีแค่พวกผู้เยาว์กลุ่มเดิมที่กำลังตื่นเต้นกับการประลอง นางจึงไม่สามารถรู้ได้ว่าเสียงนั้นมาจากใคร
[ศิษย์น้องอู่…….]
[คุณชายจวิน……]
หมอกภายในใจที่สับสนวุ่นวายอย่างมากของจื่อจินแยกออกจากกันด้วยเสียงนั้นและแสงสว่างก็ส่องลงมา
[คุณชายจวินสามารถช่วยเยว่อี้ได้!]
จื่อจินไม่สนใจอะไรแล้วนางยกชายกระโปรงขึ้นและวิ่งออกไปจากฝูงชน
ทันทีที่จื่อจินออกไปร่างของเยว่อี้ก็ปรากฏขึ้นจากภายในเส้นแสงสีม่วง การเคลื่อนไหวของเขาถูกขัดจังหวะ ร่างสูงโปร่งของเขาถูกโจมตีหล่นลงมากระแทกพื้นเวทีอย่างแรงส่งให้เกิดเสียงดังสนั่น
“คุณชายเยว่เอาแต่สู้แบบขอไปทีอย่างนี้ไม่ดีนะ” จูเก๋ออินทำราวกับตนเป็นผู้ชนะ เขาเดินช้าๆเข้าไปตรงหน้าเยว่อี้และมองร่างที่นอนกุมท้องอยู่บนพื้น ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก สายตาของเขาเต็มไปด้วยความดูถูกราวกับกำลังมองดูกองขยะ
เยว่อี้นอนตัวงอไม่ขยับเขยื้อนอยู่บนพื้นกรามของเขาขบกันแน่น สีหน้าดูย่ำแย่อย่างมาก
อวัยวะภายในของเขาราวกับถูกมีดสับอย่างบ้าคลั่งความเจ็บปวดทำให้สมองของเขาว่างเปล่า
เทียบกับร่างที่ดูน่าสังเวชของเยว่อี้ในตอนนี้แล้วเสื้อผ้าของจูเก๋ออินไม่มีรอยยับเลยแม้แต่รอยเดียว
จูเก๋ออินปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้าของเขาขณะมองดูเยว่อี้อย่างไม่แยแส
“สมเป็นคนที่ผู้อาวุโสเยว่ฝึกฝนมาด้วยตัวเองจริงๆเจ้าหัวแข็งถึงขนาดนี้ได้ยังไง? ข้าไม่ได้ยินเสียงร้องจากเจ้าเลยสักแอะ” จูเก๋ออินหรี่ตา แววตาทอประกายชั่วร้ายน่ากลัว
เยว่อี้นอนนิ่งไม่ขยับอยู่บนพื้นหูของเขาอื้ออึงไปหมด ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
เขายังคงนอนนิ่งอยู่บนเวทีประลองพวกผู้เยาว์ที่อยู่ด้านล่างเวทีมองเขาด้วยสายตาเยาะเย้ยสมน้ำหน้า
[พลังวิญญาณสีม่วง?]
[พลังวิญญาณสีม่วงแล้วยังไง?]
[ก็ต้านทานการโจมตีไม่ได้เลยไม่ใช่หรือ?]
“วิหารเงาจันทราไม่ได้เรื่องอย่างที่คิดจริงๆพลังวิญญาณสีม่วงทั้งคู่ แต่เยว่อี้เทียบจูเก๋ออินไม่ได้เลยสักนิด”
“อย่าว่าแต่จะเทียบได้เลยเขาไม่สามารถโต้ตอบได้เลยด้วยซ้ำ! น่าขายหน้าชะมัด”
พวกผู้เยาว์วิจารณ์กันอย่างดุเดือดที่ด้านล่างเวที
“พวกเจ้าทุกคนหุบปากเน่าๆของเจ้าเดี๋ยวนี้!”เสียงตะโกนด้วยความโกรธดังขึ้นจากด้านหลังผู้เยาว์กลุ่มนั้น
พวกผู้เยาว์ขี้นินทาหันไปมองยังทิศทางของเสียงอย่างประหม่าทันทีพวกเขาเห็นใบหน้าของเฉียวฉู่จากวิหารปีศาจเพลิงถมึงทึงมากและดูน่ากลัวอย่างยิ่ง ทั้งร่างมีกลิ่นอายที่น่ากลัวแผ่กระจายออกมาจนไม่มีใครกล้ายืนใกล้เขา
“เฉียว……เฉียวฉู่……เจ้าเป็นอะไรไป??”ขนาดศิษย์คนอื่นจากวิหารปีศาจเพลิงยังตกใจกลัวจากเสียงตะโกนนั้น
[ก็แค่หมาจากวิหารมังกรกับวิหารเงาจันทรากัดกันเองเขาหงุดหงิดอะไร?]
เฉียวฉู่ข่มความโกรธในใจลงและพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “ไอ้เวรพวกนี้ ขัดความสนุกในการดูของข้า”