ตอนที่ 1713 ช่วยชีวิต (2)
เยว่อี้ที่หมดสติไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดแม้แต่น้อยได้แต่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าอกที่ขึ้นลงเล็กน้อยนั่น ผู้คนคงคิดว่าเขาตายไปแล้ว
จวินอู๋เหยายืนกอดอกอยู่ด้านหนึ่งรอยยิ้มบางประดับอยู่บนริมฝีปาก ขณะมองดูจวินอู๋เสียที่กำลังมุ่งมั่นตั้งใจเต็มที่ ดวงตาสุกสกาวของนางตอนนี้ทำให้เขาคิดว่านางดูสวยที่สุด
ยาขวดแล้วขวดเล่าถูกจวินอู๋เสียเทออกมาป้อนใส่ปากของเยว่อี้ในที่สุดเลือดที่ไหลออกมาจำนวนมากก็มีทีท่าจะหยุดลง
จวินอู๋เสียไม่กล้าล่าช้าแม้แต่น้อยมือของนางเคลื่อนไหวไม่หยุดราวกับการเต้นรำที่น่าหลงใหล รักษาร่างกายที่บาดเจ็บของเยว่อี้ไปทีละส่วน
คนที่มีบาดแผลฉกรรจ์เลือดโชกในช่วงเวลาไม่นานก็ได้กลับมามีชีวิตอีกเล็กน้อยด้วยมือของจวินอู๋เสีย จื่อจินที่เฝ้าดูอย่างมึนงงอยู่ด้านข้างก็พบว่ามันยากที่จะเชื่อว่าจวินอู๋จะมีความสามารถที่น่าทึ่งเช่นนี้ได้
กระบวนการช่วยชีวิตทั้งหมดดำเนินไปเป็นเวลาครึ่งวันหลังผ่านไปครึ่งวัน การหายใจของเยว่อี้ก็ค่อยๆคงที่ขึ้น ราวกับเขากำลังนอนหลับอยู่บนเตียง แต่จวินอู๋เสียยังไม่ได้ดึงเข็มเงินออกจากร่างของเขา
จนกระทั่งการรักษาสิ้นสุดลงจวินอู๋เสียลุกขึ้นยืน สองมือของนางเปื้อนเลือดสีแดง นางก้าวถอยหลังออกมา
“คุณ……ศิษย์……ศิษย์……ศิษย์น้องอู่อาการของเยว่อี้เป็นอย่างไรบ้าง?” จื่อจินยืนเงียบอยู่ด้านข้าง มองกระบวนการทั้งหมดด้วยความกังวล ฝีมือในการรักษาของจวินอู๋เสียยอดเยี่ยมกว่าทุกคนที่นางเคยเจอมา ถ้านางไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง นางคงไม่เชื่อว่าจวินอู๋เสียจะมีฝีมือด้านการรักษาที่เก่งกาจขนาดนี้
“ตอนนี้อาการของเขาคงที่แล้วแต่ยังต้องได้รับการรักษาอีกรอบ” จวินอู๋เสียกล่าวอย่างไร้ความรู้สึก แม้ว่าอาการบาดเจ็บของเยว่อี้จะสาหัสมาก แต่ก็ยังไม่เกินมือนาง แต่เนื่องจากอาการบาดเจ็บของเขากินบริเวณกว้างไปทั่วร่างกาย ถ้านางจัดการกับพวกมันทั้งหมดรวดเดียว ร่างกายที่อ่อนแอมากของเยว่อี้อาจจะไม่สามารถทนกระบวนการรักษาทั้งหมดได้ ดังนั้น นางจึงต้องจัดการกับบริเวณที่สำคัญที่สุดก่อน ส่วนที่เหลือต้องรอจนกระทั่งเยว่อี้แข็งแรงขึ้นอีกหน่อย นางจึงจะทำการรักษาต่อ
จื่อจินมองจวินอู๋เสียอย่างลังเลนางกัดริมฝีปาก ดูท่าทางจริงจัง
จวินอู๋เสียเดินไปที่อ้างล้างมือด้านข้างและค่อยๆทำความสะอาดคราบเลือดบนมืออย่างช้าๆ
สีและกลิ่นเหม็นที่นางเกลียดชังอย่างมากนี้จะอยู่กับนางไปอีกนานนางคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทำได้แค่ทน
จวินอู๋เสียมองคราบเลือดบนมือของนางค่อยๆกระจายไปในน้ำนางจ้องผิวน้ำอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ มันเกิดขึ้นได้ยังไง?”
ตอนที่นางวิ่งไปที่เวทีประลองนางเจอเข้ากับจื่อจิน แต่สถานการณ์ตอนนั้นเร่งด่วนมาก จื่อจินจึงไม่ได้เล่ารายละเอียดให้ฟังมากนัก แค่บอกว่าไม่รู้ทำไม จู่ๆจูเก๋ออินก็มาหาเรื่องเยว่อี้
“ข้า……ข้าก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงเหมือนกันข้ากับเยว่อี้กำลังดูคนจากวิหารอื่นสู้กันอยู่ที่ด้านล่างเวทีประลอง พวกเราดูการประลองอยู่ดีๆ จูเก๋ออินก็เดินเข้ามาโดยไม่มีสัญญาณบอกเหตุอะไรมาก่อนเลย พอเดินเข้ามา เขาก็ยั่วยุเยว่อี้ให้ขึ้นไปบนเวทีประลอง ตอนแรกเยว่อี้ก็ปฏิเสธอย่างสุภาพ แต่หลังจากนั้นจูเก๋ออินก็เอาเรื่องผู้อาวุโสเยว่กับน้องสาวของเยว่อี้ขึ้นมาพูด สุดท้ายเยว่อี้ก็ไม่มีทางเลือกต้องขึ้นไปบนเวทีประลอง” เมื่อพูดถึงเรื่องนั้น ในใจจื่อจินก็ลุกโชนด้วยไฟโทสะ จูเก๋ออินเหมือนหมาบ้าที่จู่ๆก็กระโดดเข้ามาใส่พวกเขาโดยไม่ให้พวกเขาได้เตรียมตัวแม้แต่น้อย
จวินอู๋เสียขมวดคิ้วเล็กน้อยการกระทำของจูเก๋ออินเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากมาก จู่ๆ เหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นโดยที่นางไม่ได้คาดคิดเลย
ตอนที่ 1714 ช่วยชีวิต (3)
อย่างที่จวินอู๋เสียเคยคิดไว้ก่อนหน้านี้เหตุผลที่นางเลือก “ปล้น” วิหารเงาจันทราก็เพราะว่านางได้ตรวจสอบพบว่าวิหารเงาจันทราไม่ได้มีตัวตนในสิบสองวิหารมากนัก เพราะพวกเขาอ่อนแอเกินไปเลยไม่เป็นภัยคุกคาม วิหารที่ใหญ่กว่าเลยไม่สนใจจะหาเรื่องพวกเขา ยิ่งกว่านั้น วิหารเงาจันทราก็ปฏิบัติตามบรรทัดฐานมาโดยตลอด ไม่ได้พยายามจะต่อต้านใคร นั่นจึงเป็นเหตุผลที่นางเลือกมาที่นี่ในฐานะศิษย์วิหารเงาจันทรา
แต่นางไม่คิดเลยว่ามาที่วิหารเงาจันทราได้แค่2 วัน จูเก๋ออินจากวิหารมังกรก็มาเยี่ยมเยียนพวกเขาถึงหน้าประตูบ้าน
จวินอู๋เสียย่อมสังเกตเห็นความไม่พอใจและความยโสจองหองที่จูเก๋ออินแสดงออกมาหลังจากที่นางไปถึงนั่นไม่ใช่ปฏิกิริยาปกติที่จะแสดงต่อคนแปลกหน้า
[หรือว่านางเคยทำให้เขาไม่พอใจโดยไม่รู้ตัว?]
จวินอู๋เสียนึกถึงทุกการกระทำของนางตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวเข้าสู่วิหารจิงหงแต่ก็ไม่ได้คำตอบ นางไม่ได้ติดต่อกับจูเก๋ออินเลย ครั้งเดียวที่นางเข้าใกล้เขามากที่สุดก็แค่คืนงานเลี้ยงต้อนรับนั่นที่พวกเขานั่งอยู่ในห้องจัดเลี้ยงเดียวกัน แถมนางยังออกจากงานเลี้ยงกลางคันเป็นเวลานาน นางนึกไม่ออกเลยว่ามีสถานการณ์ไหนที่นางจะสามารถกระตุ้นให้จูเก๋ออินเกิดความเกลียดชังได้ขนาดนั้น
“วันนี้พวกเจ้าสองคนได้ติดต่อกับจูเก๋ออินบ้างรึเปล่า?”จวินอู๋เสียหาจุดที่น่าสงสัยจากด้านตัวเองไม่พบ นางจึงทำได้แค่พยายามหาช่องโหว่จากจื่อจินและเยว่อี้
จื่อจินส่ายหน้า
“พวกเราอยู่ด้านหลังของฝูงชนไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับใครเลย” นี่เป็นจุดที่จื่อจินมั่นใจมาก นางเป็นศิษย์ของวิหารหยกวิญญาณ และมีความแค้นต่อสิบสองวิหารอย่างลึกซึ้ง ทำให้นางกลัวว่าตัวตนของตนจะถูกเปิดเผย จึงไม่กล้าเข้าใกล้ใครมากเกินไป
เยว่อี้เป็นคนเงียบขรึมและสันโดษทั้งสองจึงไม่ได้มีตัวตนอยู่ท่ามกลางฝูงชนมากนัก
“ก่อนที่จูเก๋ออินจะมาหาเรื่องพวกเจ้าเขาคุยกับใครอยู่?” จวินอู๋เสียถามต่อ
แต่จื่อจินยังคงส่ายหน้า“ข้ากำลังดูการประลองบนเวทีอยู่ ก็เลยไม่รู้ว่า……”
นางจะไปคิดได้อย่างไรว่าแค่ดูการประลองจะทำให้พวกเขาเดือดร้อนมากขนาดนี้?
ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้นางคงไม่ไปที่นั่นตั้งแต่แรก
จื่อจินรู้สึกผิดมากต่อการบาดเจ็บของเยว่อี้เนื่องจากคำเชิญของวิหารจิงหงในวันนั้น เยว่อี้ไม่ได้คิดจะไปตั้งแต่แรก แต่จื่อจินอยากใช้โอกาสนี้เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ภายในสิบสองวิหารให้ดีขึ้น แต่ไม่กล้าบังคับจวินอู๋เสียให้ไปกับนาง นางจึงทำได้แค่ขอร้องเยว่อี้ การที่เยว่อี้ไปที่นั่น ทั้งหมดก็เพราะนาง
สุดท้าย……
จื่อจินก้มหน้าดูราวกับเด็กที่ทำอะไรผิด
ถ้าไม่ใช่เพราะนางเยว่อี้จะเจอกับเคราะห์กรรมได้อย่างไร?
ถ้าเยว่อี้ไม่ไปที่นั่นวันนี้ต่อให้จูเก๋ออินอยากหาเรื่องเยว่อี้ ก็ไม่มีโอกาสทำได้
เมื่อความคิดเหล่านี้แล่นเข้ามาในใจนางจื่อจินก็ไม่สามารถข่มกลั้นเอาไว้ได้อีก นางน้ำตาไหลอย่างเงียบๆ หยดน้ำตาเท่าเม็ดถั่วร่วงลงมาจากดวงตาของนาง
“เจ้าร้องไห้ทำไม?”จวินอู๋เสียงงงัน คิดไม่ถึงว่าอยู่ๆจื่อจินจะร้องไห้ออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า ถ้าข้าไม่ยืนกรานจะให้เยว่อี้ไปเป็นเพื่อนข้า เขาก็คงไม่เจอเรื่องเช่นนี้ และคงไม่โดนเจ้าหมาบ้าจูเก๋ออินข่มเหงรังแกอย่างหนักแบบนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะข้า” จื่อจินกล่าวอย่างรู้สึกผิด นางเช็ดน้ำตาด้วยความเสียใจในการกระทำของตัวเอง
จวินอู๋เสียอ้าปากแต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
จากมุมมองของนางเรื่องนี้คนที่ผิดก็คือจูเก๋ออิน ต่อให้เยว่อี้ไม่ไปที่นั่นวันนี้ ตราบใดที่จูเก๋ออินมีความเกลียดชังต่อเยว่อี้ วันหน้าเมื่อพวกเขาเจอกัน เขาก็จะหาโอกาสสร้างความเดือดร้อนให้เยว่อี้อย่างแน่นอน
แล้วจื่อจินจะร้องไห้ไปทำไม?