ไม่มีใครประเมินได้ว่าความแข็งแกร่งกองทัพราตรีน่ากลัวเพียงใด แม้แต่ผู้อาวุโสของเก้าอารามก็ยังตะลึงกับพลังในการต่อสู้ของกองทัพราตรี
ในตอนที่จักรพรรดิแห่งความมืดรวมอาณาจักรกลางเข้าด้วยกัน กองทัพราตรีแทบจะไม่ได้ลงมือเลย แค่จวินอู๋เหยาคนเดียวก็ปราบกองกำลังทั้งหมดในอาณาจักรกลางได้อย่างราบคาบแล้ว จึงไม่มีใครแน่ใจได้ว่าแท้จริงแล้วกองทัพราตรีแข็งแกร่งเพียงใด หลังจากจักรพรรดิแห่งความมืด ‘สิ้นไป’ อาณาจักรแห่งความมืดและกองทัพราตรีก็หายไปเป็นเวลานาน มีเพียงคนที่ได้ต่อสู้กับพวกเขาเท่านั้นที่รู้ความจริง แต่……ไม่มีใครรอดชีวิตมาบอกได้เลย กล่าวได้ว่าคนที่ได้เห็นความแข็งแกร่งของกองทัพราตรีกับตาตัวเอง หญ้าบนหลุมศพของพวกเขาล้วนสูงขึ้นเท่าตัวคนแล้ว ครั้งนี้กล่าวได้ว่าเป็นครั้งแรกที่กองทัพราตรีเปิดเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงต่อหน้าคนอื่น และมันก็ทำให้ทุกคนตกตะลึงตาค้าง
ผู้ใช้พลังวิญญาณสีทอง 8 หมื่นคนถูกสังหารจนสิ้นภายในหนึ่งชั่วโมง ยิ่งกว่านั้น บนสนามรบนองเลือดนั่น เหล่าศิษย์ของเก้าอารามที่รอดชีวิตมาได้ก็ไม่พบศพของสมาชิกกองทัพราตรีเลยแม้แต่ศพเดียว ถึงแม้คนของกองทัพราตรีจะถูกฆ่าในการต่อสู้ ศพของพวกเขาก็ถูกสหายของตนนำไปด้วย ทำให้ไม่สามารถประเมินการสูญเสียของกองทัพราตรีได้เลย ตรงกันข้าม มันกลับฝังความกลัวลงในหัวใจของพวกเขาลึกยิ่งขึ้น
ตอนนี้ทุกคนกำลังคิดเหมือนกัน
8 ใน 9 อารามถูกกวาดล้าง และ……พวกเขาคืออารามเดียวที่เหลืออยู่!
กระแสการฆ่าที่มองไม่เห็นครอบคลุมหัวใจของทุกคนอย่างเงียบๆ ทำให้พวกเขาเกิดความเครียดและวิตกกังวลอย่างที่ไม่สามารถควบคุมได้ พวกเขาขนลุกไปทั้งตัวสายตามองไปรอบๆอย่างระแวง
ใบหน้าของหนานกงเล่ยเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำแล้วหลังจากที่ได้รับข่าวร้ายติดๆกัน ตอนแรกเขาคิดว่าจวินอู๋เสียจะใช้แผนบางอย่างเพื่อให้เป็นไปตามคำประกาศที่ว่าจะล้างเก้าอารามด้วยเลือด แต่ไม่คิดเลยว่าวิธีการของนางจะเรียบง่ายมุทะลุแบบนี้ และยังได้ผลอีกต่างหาก
ตอนนี้เองที่หนานกงเล่ยตระหนักได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นกองทัพราตรีหรือจวินอู๋เสีย ล้วนแข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาคิดไว้ในตอนแรกมาก
เมื่อมีพลังที่เหนือกว่าเช่นนี้ ยังจะต้องการแผนการและกลอุบายไปทำไม?
ฆ่ากันตรงๆไปเลยนี่แหละ ความตายจะทำให้ทุกคนตกใจกลัวเอง
หนานกงเล่ยแทบจะแน่ใจว่าที่จวินอู๋เสียฆ่าล้างแปดอารามและเหลืออารามหลิงซวีไว้นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นางน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเขากับกองกำลังหลักที่ถูกส่งมาจากอาณาจักรบนอยู่ที่อารามหลิงซวี นางทำลายแปดอารามด้วยความรวดเร็วราวสายฟ้า นี่จะกลายเป็นก้อนหินใหญ่ในหัวใจของทุกคนที่อยู่ในอารามหลิงซวี
ผลก็คือ จวินอู๋เสียและกองทัพราตรียังมาไม่ถึง คนของอารามหลิงซวีก็ถูกความหวาดกลัวและตื่นตระหนกเข้าครอบงำจิตใจแล้ว พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบอย่างยิ่ง
จะเป็นแบบนี้ไม่ได้!
หนานกงเล่ยขมวดคิ้วมองยอดฝีมือหลายคนจากอาณาจักรบนที่หน้าซีดกันไปแล้ว ในใจเขาเดาได้คร่าวๆถึงเจตนาของจวินอู๋เสีย แต่เขาทำได้เพียงระงับความตกใจและพยายามรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “พวกเจ้าสงบใจลงซะ ศัตรูที่แข็งแกร่งปรากฏตัวแล้ว ไม่ใช่เวลามาเป็นแบบนี้”
เสียงของหนานกงเล่ยไม่ดัง แต่เพราะเสียงของเขาแฝงไว้ด้วยพลังวิญญาณจึงส่งไปถึงหูของทุกคน มันเป็นเหมือนคลื่นแห่งความสงบที่พัดผ่านมา ทำให้คนที่เริ่มสิ้นหวังค่อยๆสงบลงได้
“ท่านหนานกงพูดถูก ศัตรูยังไม่ปรากฏตัว พวกเราก็กลัวหัวหดกันแล้ว นี่มันไม่โง่หรือไง!” ใครบางคนเห็นด้วยทันที
��
ในตอนที่จักรพรรดิแห่งความมืดรวมอาณาจักรกลางเข้าด้วยกัน กองทัพราตรีแทบจะไม่ได้ลงมือเลย แค่จวินอู๋เหยาคนเดียวก็ปราบกองกำลังทั้งหมดในอาณาจักรกลางได้อย่างราบคาบแล้ว จึงไม่มีใครแน่ใจได้ว่าแท้จริงแล้วกองทัพราตรีแข็งแกร่งเพียงใด หลังจากจักรพรรดิแห่งความมืด ‘สิ้นไป’ อาณาจักรแห่งความมืดและกองทัพราตรีก็หายไปเป็นเวลานาน มีเพียงคนที่ได้ต่อสู้กับพวกเขาเท่านั้นที่รู้ความจริง แต่……ไม่มีใครรอดชีวิตมาบอกได้เลย กล่าวได้ว่าคนที่ได้เห็นความแข็งแกร่งของกองทัพราตรีกับตาตัวเอง หญ้าบนหลุมศพของพวกเขาล้วนสูงขึ้นเท่าตัวคนแล้ว ครั้งนี้กล่าวได้ว่าเป็นครั้งแรกที่กองทัพราตรีเปิดเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงต่อหน้าคนอื่น และมันก็ทำให้ทุกคนตกตะลึงตาค้าง
ผู้ใช้พลังวิญญาณสีทอง 8 หมื่นคนถูกสังหารจนสิ้นภายในหนึ่งชั่วโมง ยิ่งกว่านั้น บนสนามรบนองเลือดนั่น เหล่าศิษย์ของเก้าอารามที่รอดชีวิตมาได้ก็ไม่พบศพของสมาชิกกองทัพราตรีเลยแม้แต่ศพเดียว ถึงแม้คนของกองทัพราตรีจะถูกฆ่าในการต่อสู้ ศพของพวกเขาก็ถูกสหายของตนนำไปด้วย ทำให้ไม่สามารถประเมินการสูญเสียของกองทัพราตรีได้เลย ตรงกันข้าม มันกลับฝังความกลัวลงในหัวใจของพวกเขาลึกยิ่งขึ้น
ตอนนี้ทุกคนกำลังคิดเหมือนกัน
8 ใน 9 อารามถูกกวาดล้าง และ……พวกเขาคืออารามเดียวที่เหลืออยู่!
กระแสการฆ่าที่มองไม่เห็นครอบคลุมหัวใจของทุกคนอย่างเงียบๆ ทำให้พวกเขาเกิดความเครียดและวิตกกังวลอย่างที่ไม่สามารถควบคุมได้ พวกเขาขนลุกไปทั้งตัวสายตามองไปรอบๆอย่างระแวง
ใบหน้าของหนานกงเล่ยเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำแล้วหลังจากที่ได้รับข่าวร้ายติดๆกัน ตอนแรกเขาคิดว่าจวินอู๋เสียจะใช้แผนบางอย่างเพื่อให้เป็นไปตามคำประกาศที่ว่าจะล้างเก้าอารามด้วยเลือด แต่ไม่คิดเลยว่าวิธีการของนางจะเรียบง่ายมุทะลุแบบนี้ และยังได้ผลอีกต่างหาก
ตอนนี้เองที่หนานกงเล่ยตระหนักได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นกองทัพราตรีหรือจวินอู๋เสีย ล้วนแข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาคิดไว้ในตอนแรกมาก
เมื่อมีพลังที่เหนือกว่าเช่นนี้ ยังจะต้องการแผนการและกลอุบายไปทำไม?
ฆ่ากันตรงๆไปเลยนี่แหละ ความตายจะทำให้ทุกคนตกใจกลัวเอง
หนานกงเล่ยแทบจะแน่ใจว่าที่จวินอู๋เสียฆ่าล้างแปดอารามและเหลืออารามหลิงซวีไว้นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นางน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเขากับกองกำลังหลักที่ถูกส่งมาจากอาณาจักรบนอยู่ที่อารามหลิงซวี นางทำลายแปดอารามด้วยความรวดเร็วราวสายฟ้า นี่จะกลายเป็นก้อนหินใหญ่ในหัวใจของทุกคนที่อยู่ในอารามหลิงซวี
ผลก็คือ จวินอู๋เสียและกองทัพราตรียังมาไม่ถึง คนของอารามหลิงซวีก็ถูกความหวาดกลัวและตื่นตระหนกเข้าครอบงำจิตใจแล้ว พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบอย่างยิ่ง
จะเป็นแบบนี้ไม่ได้!
หนานกงเล่ยขมวดคิ้วมองยอดฝีมือหลายคนจากอาณาจักรบนที่หน้าซีดกันไปแล้ว ในใจเขาเดาได้คร่าวๆถึงเจตนาของจวินอู๋เสีย แต่เขาทำได้เพียงระงับความตกใจและพยายามรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “พวกเจ้าสงบใจลงซะ ศัตรูที่แข็งแกร่งปรากฏตัวแล้ว ไม่ใช่เวลามาเป็นแบบนี้”
เสียงของหนานกงเล่ยไม่ดัง แต่เพราะเสียงของเขาแฝงไว้ด้วยพลังวิญญาณจึงส่งไปถึงหูของทุกคน มันเป็นเหมือนคลื่นแห่งความสงบที่พัดผ่านมา ทำให้คนที่เริ่มสิ้นหวังค่อยๆสงบลงได้
“ท่านหนานกงพูดถูก ศัตรูยังไม่ปรากฏตัว พวกเราก็กลัวหัวหดกันแล้ว นี่มันไม่โง่หรือไง!” ใครบางคนเห็นด้วยทันที
��