เขาแพ้แล้วโดยไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ……
จู่ๆหนานกงเล่ยก็อยากจะหัวเราะขึ้นมา หัวเราะให้กับความมั่นใจแบบโง่ๆและความคิดที่ว่าตัวเองถูกอยู่ตลอดเวลา เขาพ่ายแพ้ให้กับผู้หญิงจากอาณาจักรล่างอย่างน่าอับอาย น่าสมเพชพอๆกับหมาตกน้ำ นี่คือราคาที่พวกเขาต้องจ่ายงั้นหรือ?
“ข้าแพ้แล้ว ความสามารถข้าด้อยกว่า ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ เจ้าฆ่าข้าเถอะ” หนานกงเล่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วนั่งพิงกำแพง ตอนนี้เขารู้ตัวแล้วว่า ต่อหน้าจวินอู๋เสีย เขาไม่มีพลังที่จะสู้กลับได้เลย ดิ้นรนต่อไปก็มีแต่จะทำให้ตายอย่างอนาถมากขึ้น
หนานกงเล่ยหลับตาลง เงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นคอ ราวกับกำลังรอให้จวินอู๋เสียโจมตีเขาเป็นครั้งสุดท้าย
แต่…… หลังจากรออยู่นาน จุดจบของความเจ็บปวดก็ยังไม่มาสักที หนานกงเล่ยลืมตาขึ้นอย่างงุนงง และพบว่าจวินอู๋เสียยืนอยู่ตรงหน้าเขา นางยืนอยู่เงียบๆโดยมีกระโปรงเปื้อนเลือดอยู่ตรงหน้าเขา ดวงตาเย็นชาคู่นั้นกวาดมองเขา ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
“เจ้า……ทำไมไม่ลงมือ?” หนานกงเล่ยมองจวินอู๋เสียด้วยความประหลาดใจ นางดูไม่เหมือนคนใจอ่อนเลยนี่
จวินอู๋เสียเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
“อะไรนะ?” หนานกงเล่ยลืมตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ นาง……พูดว่าจะไว้ชีวิตเขางั้นหรือ?
หรือว่าจวินอู๋เสียจะเป็นบ้าไปแล้ว!
“กลับไปที่อาณาจักรบนและบอกลั่วชิงเฉิงว่ากระดูกวิญญาณอยู่ในมือข้า ถ้านางอยากได้กระดูกวิญญาณ ให้พาเย่เจว๋ไปหาข้าที่อาณาจักรล่าง ไม่งั้นนางจะไม่ได้เห็นกระดูกวิญญาณอีกเลยตลอดชีวิต แล้วก็พวกเจ้าอาณาจักรบน อย่าได้คิดที่จะสร้างโทเทมบูชายัญอะไรในอาณาจักรกลางอีก” จวินอู๋เสียมองหนานกงเล่ยอย่างเย็นชา และทิ้งคำพูดที่ทำให้หนานกงเล่ยตกตะลึงอ้าปากค้าง
กระดูกวิญญาณ? เย่เจว๋!
ความตกใจครั้งใหญ่วนเวียนอยู่ในใจหนานกงเล่ย คำพูดของจวินอู๋เสียเป็นเหมือนระเบิดที่ทำให้ในหัวของเขาขาวโพลนไปหมด!
“เจ้า……เจ้าจะปล่อยข้าไปจริงหรือ?” ในสมองของหนานกงเล่ยรับรู้ได้แค่ว่าจวินอู๋เสียจะปล่อยเขาไป
เรื่องนี้ทำให้หนานกงเล่ยรู้สึกว่ามันยากที่จะเชื่อ
“ข้า……ข้าคือ……สิบยอดฝีมือของอาณาจักรบนนะ ถ้าเจ้าอยากเป็นศัตรูกับอาณาจักรบน ในอนาคตข้ายังต่อสู้กับเจ้าได้ เจ้าอยากจะ……” หนานกงเล่ยจ้องไปที่จวินอู๋เสีย ถ้าอยากส่งข่าว จวินอู๋เสียใช้คนของอาณาจักรบนที่ไม่มีความสำคัญอะไรก็ได้ ทำไมต้องให้เขาที่เป็นหนึ่งในสิบยอดฝีมือไป? นี่เป็นการปล่อยเสือเข้าป่าไม่ใช่หรือ?
ดวงตาเย็นชาของจวินอู๋เสียจับจ้องอยู่ที่ใบหน้างงงันของหนานกงเล่ย ดวงตาเย็นชาของนางกวาดมองเขาอีกครั้ง แล้วรอยยิ้มเย้ยหยันก็ผุดขึ้นที่ริมฝีปากนาง
“เจ้ายังกล้าสู้กับข้าอีกหรือ?”
คำพูดเหมือนสงสัยแต่แฝงความมั่นใจนั้นทำให้สีหน้าของหนานกงเล่ยแข็งทื่อไปทันที ปีศาจที่ชื่อความหวาดกลัวกำลังกัดกินจิตวิญญาณของเขาอย่างเงียบๆ
สู้กับจวินอู๋เสียอีกครั้ง?
แค่คิดหนานกงเล่ยก็เย็นวาบไปทั้งหลัง สองขาสั่นระริกโดยที่ไม่สามารถหยุดได้
จวินอู๋เสียฉลาดมาก นางรู้ว่าการโจมตีที่เด็ดขาดของนางได้สร้างบาดแผลร้ายแรงให้กับร่างกายและจิตใจของหนานกงเล่ย ความมั่นใจในตัวเองและความเย่อหยิ่งของเขาพังทลายไปแล้ว ต่อให้เขาหายจากอาการบาดเจ็บทางร่างกายในอนาคต แต่ภาพเหตุการณ์ที่พ่ายแพ้จวินอู๋เสียอย่างยับเยินก็จะตามหลอกหลอนเขาไปตลอดชีวิต เพียงแค่ได้ยินชื่อจวินอู๋เสีย ภาพของจวินอู๋เสียก็จะปรากฏขึ้นอีกครั้ง และความหวาดกลัวก็จะดึงเขาลงสู่ขุมนรก
มันจึงไม่มีวันเป็นไปได้ที่เขาจะรวบรวมความกล้าขึ้นเผชิญหน้ากับจวินอู๋เสียอีก
จู่ๆหนานกงเล่ยก็อยากจะหัวเราะขึ้นมา หัวเราะให้กับความมั่นใจแบบโง่ๆและความคิดที่ว่าตัวเองถูกอยู่ตลอดเวลา เขาพ่ายแพ้ให้กับผู้หญิงจากอาณาจักรล่างอย่างน่าอับอาย น่าสมเพชพอๆกับหมาตกน้ำ นี่คือราคาที่พวกเขาต้องจ่ายงั้นหรือ?
“ข้าแพ้แล้ว ความสามารถข้าด้อยกว่า ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ เจ้าฆ่าข้าเถอะ” หนานกงเล่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วนั่งพิงกำแพง ตอนนี้เขารู้ตัวแล้วว่า ต่อหน้าจวินอู๋เสีย เขาไม่มีพลังที่จะสู้กลับได้เลย ดิ้นรนต่อไปก็มีแต่จะทำให้ตายอย่างอนาถมากขึ้น
หนานกงเล่ยหลับตาลง เงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นคอ ราวกับกำลังรอให้จวินอู๋เสียโจมตีเขาเป็นครั้งสุดท้าย
แต่…… หลังจากรออยู่นาน จุดจบของความเจ็บปวดก็ยังไม่มาสักที หนานกงเล่ยลืมตาขึ้นอย่างงุนงง และพบว่าจวินอู๋เสียยืนอยู่ตรงหน้าเขา นางยืนอยู่เงียบๆโดยมีกระโปรงเปื้อนเลือดอยู่ตรงหน้าเขา ดวงตาเย็นชาคู่นั้นกวาดมองเขา ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
“เจ้า……ทำไมไม่ลงมือ?” หนานกงเล่ยมองจวินอู๋เสียด้วยความประหลาดใจ นางดูไม่เหมือนคนใจอ่อนเลยนี่
จวินอู๋เสียเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
“อะไรนะ?” หนานกงเล่ยลืมตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ นาง……พูดว่าจะไว้ชีวิตเขางั้นหรือ?
หรือว่าจวินอู๋เสียจะเป็นบ้าไปแล้ว!
“กลับไปที่อาณาจักรบนและบอกลั่วชิงเฉิงว่ากระดูกวิญญาณอยู่ในมือข้า ถ้านางอยากได้กระดูกวิญญาณ ให้พาเย่เจว๋ไปหาข้าที่อาณาจักรล่าง ไม่งั้นนางจะไม่ได้เห็นกระดูกวิญญาณอีกเลยตลอดชีวิต แล้วก็พวกเจ้าอาณาจักรบน อย่าได้คิดที่จะสร้างโทเทมบูชายัญอะไรในอาณาจักรกลางอีก” จวินอู๋เสียมองหนานกงเล่ยอย่างเย็นชา และทิ้งคำพูดที่ทำให้หนานกงเล่ยตกตะลึงอ้าปากค้าง
กระดูกวิญญาณ? เย่เจว๋!
ความตกใจครั้งใหญ่วนเวียนอยู่ในใจหนานกงเล่ย คำพูดของจวินอู๋เสียเป็นเหมือนระเบิดที่ทำให้ในหัวของเขาขาวโพลนไปหมด!
“เจ้า……เจ้าจะปล่อยข้าไปจริงหรือ?” ในสมองของหนานกงเล่ยรับรู้ได้แค่ว่าจวินอู๋เสียจะปล่อยเขาไป
เรื่องนี้ทำให้หนานกงเล่ยรู้สึกว่ามันยากที่จะเชื่อ
“ข้า……ข้าคือ……สิบยอดฝีมือของอาณาจักรบนนะ ถ้าเจ้าอยากเป็นศัตรูกับอาณาจักรบน ในอนาคตข้ายังต่อสู้กับเจ้าได้ เจ้าอยากจะ……” หนานกงเล่ยจ้องไปที่จวินอู๋เสีย ถ้าอยากส่งข่าว จวินอู๋เสียใช้คนของอาณาจักรบนที่ไม่มีความสำคัญอะไรก็ได้ ทำไมต้องให้เขาที่เป็นหนึ่งในสิบยอดฝีมือไป? นี่เป็นการปล่อยเสือเข้าป่าไม่ใช่หรือ?
ดวงตาเย็นชาของจวินอู๋เสียจับจ้องอยู่ที่ใบหน้างงงันของหนานกงเล่ย ดวงตาเย็นชาของนางกวาดมองเขาอีกครั้ง แล้วรอยยิ้มเย้ยหยันก็ผุดขึ้นที่ริมฝีปากนาง
“เจ้ายังกล้าสู้กับข้าอีกหรือ?”
คำพูดเหมือนสงสัยแต่แฝงความมั่นใจนั้นทำให้สีหน้าของหนานกงเล่ยแข็งทื่อไปทันที ปีศาจที่ชื่อความหวาดกลัวกำลังกัดกินจิตวิญญาณของเขาอย่างเงียบๆ
สู้กับจวินอู๋เสียอีกครั้ง?
แค่คิดหนานกงเล่ยก็เย็นวาบไปทั้งหลัง สองขาสั่นระริกโดยที่ไม่สามารถหยุดได้
จวินอู๋เสียฉลาดมาก นางรู้ว่าการโจมตีที่เด็ดขาดของนางได้สร้างบาดแผลร้ายแรงให้กับร่างกายและจิตใจของหนานกงเล่ย ความมั่นใจในตัวเองและความเย่อหยิ่งของเขาพังทลายไปแล้ว ต่อให้เขาหายจากอาการบาดเจ็บทางร่างกายในอนาคต แต่ภาพเหตุการณ์ที่พ่ายแพ้จวินอู๋เสียอย่างยับเยินก็จะตามหลอกหลอนเขาไปตลอดชีวิต เพียงแค่ได้ยินชื่อจวินอู๋เสีย ภาพของจวินอู๋เสียก็จะปรากฏขึ้นอีกครั้ง และความหวาดกลัวก็จะดึงเขาลงสู่ขุมนรก
มันจึงไม่มีวันเป็นไปได้ที่เขาจะรวบรวมความกล้าขึ้นเผชิญหน้ากับจวินอู๋เสียอีก