ผู้แข็งแกร่งชั้นยอดแพ้ได้แต่กลัวไม่ได้ เมื่อเมล็ดพันธุ์แห่งความกลัวหยั่งรากลึกลงในหัวใจแล้ว มันจะกลายเป็นโซ่ตรวนที่มัดมือมัดเท้าไปชั่วชีวิต และจะทำให้ไม่สามารถจับดาบต่อหน้าคู่ต่อสู้ได้อีกต่อไป
การทำลายจิตวิญญาณของผู้แข็งแกร่งนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าทำลายร่างกายของเขาซะอีก
พูดจบจวินอู๋เสียก็ไม่มองหนานกงเล่ยอีกต่อไป นางเบนสายตาไปมองพวกผู้อาวุโสของเก้าอารามที่ยืนสั่นสะท้านด้วยความกลัวจนไม่กล้าเปล่งเสียงใดๆออกมา สายตาเย็นชาของนางกวาดมองมาแต่ไม่มีใครกล้าสบตากับนางสักคน ผู้อาวุโสทุกคนต่างก้มหน้าลงอย่างขลาดกลัวพร้อมกับแสดงท่าทางเคารพและถ่อมตน
จวินอู๋เสียไม่ได้โจมตีพวกเขาตั้งแต่ต้นจนจบ นี่อาจเป็นความเมตตาเสี้ยวสุดท้ายที่อยู่ในหัวใจของนาง เป็นการแสดงออกอย่างเงียบๆเพื่อตอบแทนเรื่องที่ศิษย์ของเก้าอารามทำที่สำนักธาราเมฆในตอนนั้น การที่พวกเขายืนอยู่ด้านข้างโดยไม่ทำอะไร สำหรับจวินอู๋เสีย นั่นคือการช่วยเหลือแบบหนึ่งแล้ว ไม่ว่าเก้าอารามจะทำด้วยเหตุผลที่เห็นแก่ตัวของพวกเขาเองหรือเหตุผลอื่นใดก็ตาม จวินอู๋เสียก็ได้จดจำไว้แล้ว
ตราบใดที่เก้าอารามไม่รนหาที่ตาย จวินอู๋เสียก็จะไม่ทำให้พวกเขาต้องลำบาก
“ไปกันเถอะ” จวินอู๋เสียกวาดสายตาไปทั่วห้องโถงที่ถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดงน่ากลัว ก่อนจะหันหลังและเดินจากไป
ล้างเก้าอารามด้วยเลือด คำประกาศที่น่าตกใจนี้กลายเป็นความจริงแล้ว นอกจากหนานกงเล่ยที่ได้รับบาดเจ็บและแขนหัก คนของอาณาจักรบนคนอื่นๆล้วนถูกสังหารจนสิ้น ศิษย์ของเก้าอารามที่เข้าข้างอาณาจักรบนก็ถูกส่งไปลงนรกเช่นกัน
หลังจากจวินอู๋เสียเดินออกไปจากห้องโถงแล้ว เหล่าผู้อาวุโสของเก้าอารามก็ยังหวาดกลัวไม่หาย พวกเขารู้สึกโชคดีมากที่ฟังคำพูดของซูจิ่งเหยียน
จวินอู๋เสียแข็งแกร่งและเย็นชาอย่างยิ่ง แต่ภายใต้ความเย็นชานี้ซ่อนความเป็นมนุษย์ที่คนอื่นๆยากจะสังเกตเห็น นางฆ่าเฉพาะคนที่อยู่ในหนี้แค้นบัญชีเลือด สังหารแต่คนที่เป็นศัตรูของตน ไม่เคยทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ตราบใดที่ไม่ได้เริ่มเป็นศัตรูกับนางก่อน พวกเขาก็จะปลอดภัยไปตลอด แม้ว่าจะยืนอยู่ในพื้นที่สีเทา ตราบใดที่จิตใจไม่ได้เลวร้าย พวกเขาก็จะปลอดภัย
จุดนี้ทำให้เหล่าผู้อาวุโสของเก้าอารามอดนึกถึงจักรพรรดิแห่งความมืดผู้รวมอาณาจักรกลางไม่ได้ จักรพรรดิแห่งความมืดก็เป็นเช่นนี้ เขาอาจดูเหมือนใช้อำนาจเผด็จการ แต่เขาไม่เคยฆ่าคนเป็นงานอดิเรก แค่เรื่องนี้อย่างเดียวก็แตกต่างจากอาณาจักรบนที่ไร้ความเป็นมนุษย์ราวฟ้ากับดิน
ซูจิ่งเหยียนมองไปที่จวินอู๋เสีย แต่ละครั้งที่ได้เจอนาง เขาจะตกใจกับการเติบโตของนาง เด็กสาวในอดีตได้เติบโตขึ้นเป็นคนที่แข็งแกร่งจนไม่มีใครสามารถจินตนาการได้
“ผู้อาวุโสซู เรื่องหนานกงเล่ย……” ผู้อาวุโสคนหนึ่งของอารามหลิงซวีมองอย่างระมัดระวังไปที่หนานกงเล่ยซึ่งก้มหน้าพิงกำแพงอยู่ คำพูดของเขาขาดหายไป แต่ดูเหมือนเขากำลังขอคำแนะนำจากซูจิ่งเหยียนว่าจะจัดการกับหนานกงเล่ยอย่างไร
ซูจิ่งเหยียนถอนหายใจ พูดตามตรง หนานกงเล่ยถือว่าค่อนข้างใจดีเมื่อเทียบกับคนของอาณาจักรบนหลายๆคน แม้ว่าเขาจะเป็นผู้นำของกลุ่มคนที่น่ารังเกียจจากอาณาจักรบน แต่เขาก็ไม่ได้กระทำเรื่องที่เกินเลยไปแต่อย่างใด บาปที่ชั่วร้ายซึ่งกระทำโดยอาณาจักรบนส่วนใหญ่เป็นการกระทำของชิวอวิ๋นและพวกที่ตายในห้องโถง
หนานกงเล่ยเป็นเพียงผู้บังคับบัญชาระดับสูงเท่านั้น ไม่สามารถถือได้ว่าเป็นคนน่ารังเกียจเหมือนคนอื่นๆ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาเห็นอกเห็นใจใดๆ
“ช่างเถอะ ในเมื่อคุณหนูจวินตัดสินใจปล่อยเขาไป พวกเราก็คงปล่อยเขาไว้โดยไม่สนใจไม่ได้” ซูจิ่งเหยียนก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่เต็มใจ คนๆนี้เป็นคนที่จวินอู๋เสียเอ่ยปากไว้ชีวิต เขาจะปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นใครจะเป็นคนส่งคำพูดของจวินอู๋เสียไปให้อาณาจักรบน?
แต่พอซูจิ่งเหยียนเดินไปที่ด้านหน้าของหนานกงเล่ยและเห็นแววตาหม่นหมองไร้ชีวิตชีวาของหนานกงเล่ย เขาก็รู้สึกตกใจอย่างมาก
การทำลายจิตวิญญาณของผู้แข็งแกร่งนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าทำลายร่างกายของเขาซะอีก
พูดจบจวินอู๋เสียก็ไม่มองหนานกงเล่ยอีกต่อไป นางเบนสายตาไปมองพวกผู้อาวุโสของเก้าอารามที่ยืนสั่นสะท้านด้วยความกลัวจนไม่กล้าเปล่งเสียงใดๆออกมา สายตาเย็นชาของนางกวาดมองมาแต่ไม่มีใครกล้าสบตากับนางสักคน ผู้อาวุโสทุกคนต่างก้มหน้าลงอย่างขลาดกลัวพร้อมกับแสดงท่าทางเคารพและถ่อมตน
จวินอู๋เสียไม่ได้โจมตีพวกเขาตั้งแต่ต้นจนจบ นี่อาจเป็นความเมตตาเสี้ยวสุดท้ายที่อยู่ในหัวใจของนาง เป็นการแสดงออกอย่างเงียบๆเพื่อตอบแทนเรื่องที่ศิษย์ของเก้าอารามทำที่สำนักธาราเมฆในตอนนั้น การที่พวกเขายืนอยู่ด้านข้างโดยไม่ทำอะไร สำหรับจวินอู๋เสีย นั่นคือการช่วยเหลือแบบหนึ่งแล้ว ไม่ว่าเก้าอารามจะทำด้วยเหตุผลที่เห็นแก่ตัวของพวกเขาเองหรือเหตุผลอื่นใดก็ตาม จวินอู๋เสียก็ได้จดจำไว้แล้ว
ตราบใดที่เก้าอารามไม่รนหาที่ตาย จวินอู๋เสียก็จะไม่ทำให้พวกเขาต้องลำบาก
“ไปกันเถอะ” จวินอู๋เสียกวาดสายตาไปทั่วห้องโถงที่ถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดงน่ากลัว ก่อนจะหันหลังและเดินจากไป
ล้างเก้าอารามด้วยเลือด คำประกาศที่น่าตกใจนี้กลายเป็นความจริงแล้ว นอกจากหนานกงเล่ยที่ได้รับบาดเจ็บและแขนหัก คนของอาณาจักรบนคนอื่นๆล้วนถูกสังหารจนสิ้น ศิษย์ของเก้าอารามที่เข้าข้างอาณาจักรบนก็ถูกส่งไปลงนรกเช่นกัน
หลังจากจวินอู๋เสียเดินออกไปจากห้องโถงแล้ว เหล่าผู้อาวุโสของเก้าอารามก็ยังหวาดกลัวไม่หาย พวกเขารู้สึกโชคดีมากที่ฟังคำพูดของซูจิ่งเหยียน
จวินอู๋เสียแข็งแกร่งและเย็นชาอย่างยิ่ง แต่ภายใต้ความเย็นชานี้ซ่อนความเป็นมนุษย์ที่คนอื่นๆยากจะสังเกตเห็น นางฆ่าเฉพาะคนที่อยู่ในหนี้แค้นบัญชีเลือด สังหารแต่คนที่เป็นศัตรูของตน ไม่เคยทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ตราบใดที่ไม่ได้เริ่มเป็นศัตรูกับนางก่อน พวกเขาก็จะปลอดภัยไปตลอด แม้ว่าจะยืนอยู่ในพื้นที่สีเทา ตราบใดที่จิตใจไม่ได้เลวร้าย พวกเขาก็จะปลอดภัย
จุดนี้ทำให้เหล่าผู้อาวุโสของเก้าอารามอดนึกถึงจักรพรรดิแห่งความมืดผู้รวมอาณาจักรกลางไม่ได้ จักรพรรดิแห่งความมืดก็เป็นเช่นนี้ เขาอาจดูเหมือนใช้อำนาจเผด็จการ แต่เขาไม่เคยฆ่าคนเป็นงานอดิเรก แค่เรื่องนี้อย่างเดียวก็แตกต่างจากอาณาจักรบนที่ไร้ความเป็นมนุษย์ราวฟ้ากับดิน
ซูจิ่งเหยียนมองไปที่จวินอู๋เสีย แต่ละครั้งที่ได้เจอนาง เขาจะตกใจกับการเติบโตของนาง เด็กสาวในอดีตได้เติบโตขึ้นเป็นคนที่แข็งแกร่งจนไม่มีใครสามารถจินตนาการได้
“ผู้อาวุโสซู เรื่องหนานกงเล่ย……” ผู้อาวุโสคนหนึ่งของอารามหลิงซวีมองอย่างระมัดระวังไปที่หนานกงเล่ยซึ่งก้มหน้าพิงกำแพงอยู่ คำพูดของเขาขาดหายไป แต่ดูเหมือนเขากำลังขอคำแนะนำจากซูจิ่งเหยียนว่าจะจัดการกับหนานกงเล่ยอย่างไร
ซูจิ่งเหยียนถอนหายใจ พูดตามตรง หนานกงเล่ยถือว่าค่อนข้างใจดีเมื่อเทียบกับคนของอาณาจักรบนหลายๆคน แม้ว่าเขาจะเป็นผู้นำของกลุ่มคนที่น่ารังเกียจจากอาณาจักรบน แต่เขาก็ไม่ได้กระทำเรื่องที่เกินเลยไปแต่อย่างใด บาปที่ชั่วร้ายซึ่งกระทำโดยอาณาจักรบนส่วนใหญ่เป็นการกระทำของชิวอวิ๋นและพวกที่ตายในห้องโถง
หนานกงเล่ยเป็นเพียงผู้บังคับบัญชาระดับสูงเท่านั้น ไม่สามารถถือได้ว่าเป็นคนน่ารังเกียจเหมือนคนอื่นๆ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาเห็นอกเห็นใจใดๆ
“ช่างเถอะ ในเมื่อคุณหนูจวินตัดสินใจปล่อยเขาไป พวกเราก็คงปล่อยเขาไว้โดยไม่สนใจไม่ได้” ซูจิ่งเหยียนก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่เต็มใจ คนๆนี้เป็นคนที่จวินอู๋เสียเอ่ยปากไว้ชีวิต เขาจะปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นใครจะเป็นคนส่งคำพูดของจวินอู๋เสียไปให้อาณาจักรบน?
แต่พอซูจิ่งเหยียนเดินไปที่ด้านหน้าของหนานกงเล่ยและเห็นแววตาหม่นหมองไร้ชีวิตชีวาของหนานกงเล่ย เขาก็รู้สึกตกใจอย่างมาก