รถเข็นถูกเข็นผ่านหญ้าและต้นไม้เข้าไปในสำนักธาราเมฆอย่างช้าๆ หญ้าต้นเล็กๆงอกขึ้นระหว่างซอกหินเป็นสีเขียว แต่มันกลับเพิ่มความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวรกร้างให้กับสถานที่ที่เคยมีอาคารสีขาวสูงตระหง่านอยู่รอบๆ
ไป๋สวี่ชี้ให้จวินอู๋เสียเข็นเขาไปที่จัตุรัสซึ่งเป็นสนามรบเมื่อห้าปีก่อน
เวลาห้าปี ผ่านแดดผ่านลม น้ำฝนได้ชะล้างคราบเลือดที่เหลืออยู่ไปหมดแล้ว ทิ้งไว้เพียงเศษซากปรักหักพัง สิ่งเดียวที่ยังตั้งตระหง่านอยู่เหมือนเดิมก็คือรูปสลักก้อนเมฆที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน
เนื่องจากการต่อสู้นองเลือดในปีนั้น จึงไม่มีใครกล้าเหยียบย่างเข้ามาในสถานที่แห่งนี้
“เข็นข้าไปตรงนั้น” ไป๋สวี่พูดกับจวินอู๋เสีย จวินอู๋เสียเข็นไป๋สวี่ไปทางรูปสลักก้อนเมฆ
รูปสลักนี้เคยเป็นสัญลักษณ์ของสำนักธาราเมฆซึ่งหมายถึงความเป็นมงคลและสันติภาพ ความตั้งใจดั้งเดิมของสำนักธาราเมฆไม่ใช่การฝึกฝนนักฆ่าที่เก่งกาจ ความหมายในการมีอยู่ของมันก็แค่หวังให้ศิษย์ทุกคนที่เดินออกจากสำนักธาราเมฆเป็นเหมือนก้อนเมฆที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าอย่างอิสระ ไม่ว่าพายุฝนจะโหมกระหน่ำเพียงใด เมื่อแดดออก เมฆบนท้องฟ้าก็ยังคงอยู่ เป็นตัวตนที่คนอื่นไม่สามารถลบล้างได้ อาจจะไม่เลิศเลอเหมือนฟ้าร้องฟ้าผ่า ไม่ดุร้ายเหมือนพายุฝน ไม่ส่องประกายเจิดจ้าเหมือนดวงอาทิตย์ ไม่สว่างไสวเหมือนดวงจันทร์ แต่มันก็มีตัวตนอยู่เสมอ จะไม่หายไปอย่างสมบูรณ์เพราะการเปลี่ยนแปลงใดๆในท้องฟ้า
นี่เป็นความปรารถนาแรกของเหรินหวง เขาหวังว่าศิษย์ทุกคนของสำนักธาราเมฆจะมีชีวิตที่สงบสุขและราบรื่น ไม่ว่าพวกเขาจะประสบกับความล้มเหลวแบบไหน พวกเขาก็สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้และจะไม่ถูกทำลายโดยลมหรือฝน
จวินอู๋เสียเงยหน้ามองรูปสลักก้อนเมฆ ตอนที่นางอยู่ที่สำนักธาราเมฆ นางไม่เคยสนใจสิ่งนี้เลย แม้แต่ตอนก่อนหน้าที่ซูหย่าถูกจับ นางก็ไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของรูปสลักนี้ แต่หลังจากสำนักธาราเมฆผ่านลมฝนโหมกระหน่ำมาอย่างหนัก มันก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ราวกับว่าหลายปีที่ผ่านไปไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดๆไว้บนรูปสลักก้อนเมฆนี้เลย
“รูปสลักนี้อาจารย์ปู่เจ้าแกะสลักด้วยมือของเขาเอง ก้อนหินเขาก็เลือกเอง เขาแกะสลักมันอยู่หนึ่งปีเต็มๆ ระหว่างนั้นก็อยากจะล้มเลิกนับครั้งไม่ถ้วน เจ้านั่นไม่มีความอดทนเลย สิ่งนี้ควรนับได้ว่าเป็นความอดทนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาเลยล่ะ” ไป๋สวี่ถอนหายใจเบาๆ รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของเขาราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำที่งดงามในอดีต แล้วความเสียใจก็แวบผ่านเข้ามาเช่นกัน จวินอู๋เสียนิ่งเงียบ นางไม่รู้ว่าทำไมไป๋สวี่ถึงพานางมาที่นี่ และทำไมเขาถึงสนใจรูปสลักนี้นัก
“ทำลายมันซะ”
ทันใดนั้น ไป๋สวี่ก็พูดคำที่ทำให้จวินอู๋เสียตกใจ
จวินอู๋เสียมึนงงอยู่ชั่วครู่ นางมองเขาด้วยแววตาสับสน
รูปสลักก้อนเมฆนี้เหรินหวงแกะสลักด้วยตัวเอง ทำไมเขาถึงอยากให้นางทำลายมัน?
“ทำลายมัน” ไป๋สวี่พูดอีกครั้ง
จวินอู๋เสียลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปที่รูปสลักและมองดูมัน ในแววตาของนางมีความลังเลอยู่เล็กน้อย
นี่คือของดูต่างหน้าของเหรินหวง
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จวินอู๋เสียก็ยกมือขึ้น แหวนวิญญาณสีเขียวเข้มปรากฏขึ้นเหนือมือของนาง จากนั้นนางก็ยกมือขึ้นสั่งให้มันบินเข้าใส่รูปสลักก้อนเมฆนั้นทันที! เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วจัตุรัสกว้าง รูปสลักที่ตั้งอยู่ในสำนักธาราเมฆมาหลายปีก็กลายเป็นเศษหิน
พวกเฉียวฉู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังไป๋สวี่พากันกลั้นหายใจ ในตอนที่รูปสลักก้อนเมฆถูกทำลาย พวกเขารู้สึกว่าจิตวิญญาณสุดท้ายของสำนักธาราเมฆได้แตกสลายไปด้วย ในหัวใจของพวกเขาเกิดความไม่ยินยอมขึ้นมา
ไป๋สวี่ชี้ให้จวินอู๋เสียเข็นเขาไปที่จัตุรัสซึ่งเป็นสนามรบเมื่อห้าปีก่อน
เวลาห้าปี ผ่านแดดผ่านลม น้ำฝนได้ชะล้างคราบเลือดที่เหลืออยู่ไปหมดแล้ว ทิ้งไว้เพียงเศษซากปรักหักพัง สิ่งเดียวที่ยังตั้งตระหง่านอยู่เหมือนเดิมก็คือรูปสลักก้อนเมฆที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน
เนื่องจากการต่อสู้นองเลือดในปีนั้น จึงไม่มีใครกล้าเหยียบย่างเข้ามาในสถานที่แห่งนี้
“เข็นข้าไปตรงนั้น” ไป๋สวี่พูดกับจวินอู๋เสีย จวินอู๋เสียเข็นไป๋สวี่ไปทางรูปสลักก้อนเมฆ
รูปสลักนี้เคยเป็นสัญลักษณ์ของสำนักธาราเมฆซึ่งหมายถึงความเป็นมงคลและสันติภาพ ความตั้งใจดั้งเดิมของสำนักธาราเมฆไม่ใช่การฝึกฝนนักฆ่าที่เก่งกาจ ความหมายในการมีอยู่ของมันก็แค่หวังให้ศิษย์ทุกคนที่เดินออกจากสำนักธาราเมฆเป็นเหมือนก้อนเมฆที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าอย่างอิสระ ไม่ว่าพายุฝนจะโหมกระหน่ำเพียงใด เมื่อแดดออก เมฆบนท้องฟ้าก็ยังคงอยู่ เป็นตัวตนที่คนอื่นไม่สามารถลบล้างได้ อาจจะไม่เลิศเลอเหมือนฟ้าร้องฟ้าผ่า ไม่ดุร้ายเหมือนพายุฝน ไม่ส่องประกายเจิดจ้าเหมือนดวงอาทิตย์ ไม่สว่างไสวเหมือนดวงจันทร์ แต่มันก็มีตัวตนอยู่เสมอ จะไม่หายไปอย่างสมบูรณ์เพราะการเปลี่ยนแปลงใดๆในท้องฟ้า
นี่เป็นความปรารถนาแรกของเหรินหวง เขาหวังว่าศิษย์ทุกคนของสำนักธาราเมฆจะมีชีวิตที่สงบสุขและราบรื่น ไม่ว่าพวกเขาจะประสบกับความล้มเหลวแบบไหน พวกเขาก็สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้และจะไม่ถูกทำลายโดยลมหรือฝน
จวินอู๋เสียเงยหน้ามองรูปสลักก้อนเมฆ ตอนที่นางอยู่ที่สำนักธาราเมฆ นางไม่เคยสนใจสิ่งนี้เลย แม้แต่ตอนก่อนหน้าที่ซูหย่าถูกจับ นางก็ไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของรูปสลักนี้ แต่หลังจากสำนักธาราเมฆผ่านลมฝนโหมกระหน่ำมาอย่างหนัก มันก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ราวกับว่าหลายปีที่ผ่านไปไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดๆไว้บนรูปสลักก้อนเมฆนี้เลย
“รูปสลักนี้อาจารย์ปู่เจ้าแกะสลักด้วยมือของเขาเอง ก้อนหินเขาก็เลือกเอง เขาแกะสลักมันอยู่หนึ่งปีเต็มๆ ระหว่างนั้นก็อยากจะล้มเลิกนับครั้งไม่ถ้วน เจ้านั่นไม่มีความอดทนเลย สิ่งนี้ควรนับได้ว่าเป็นความอดทนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาเลยล่ะ” ไป๋สวี่ถอนหายใจเบาๆ รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของเขาราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำที่งดงามในอดีต แล้วความเสียใจก็แวบผ่านเข้ามาเช่นกัน จวินอู๋เสียนิ่งเงียบ นางไม่รู้ว่าทำไมไป๋สวี่ถึงพานางมาที่นี่ และทำไมเขาถึงสนใจรูปสลักนี้นัก
“ทำลายมันซะ”
ทันใดนั้น ไป๋สวี่ก็พูดคำที่ทำให้จวินอู๋เสียตกใจ
จวินอู๋เสียมึนงงอยู่ชั่วครู่ นางมองเขาด้วยแววตาสับสน
รูปสลักก้อนเมฆนี้เหรินหวงแกะสลักด้วยตัวเอง ทำไมเขาถึงอยากให้นางทำลายมัน?
“ทำลายมัน” ไป๋สวี่พูดอีกครั้ง
จวินอู๋เสียลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปที่รูปสลักและมองดูมัน ในแววตาของนางมีความลังเลอยู่เล็กน้อย
นี่คือของดูต่างหน้าของเหรินหวง
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จวินอู๋เสียก็ยกมือขึ้น แหวนวิญญาณสีเขียวเข้มปรากฏขึ้นเหนือมือของนาง จากนั้นนางก็ยกมือขึ้นสั่งให้มันบินเข้าใส่รูปสลักก้อนเมฆนั้นทันที! เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วจัตุรัสกว้าง รูปสลักที่ตั้งอยู่ในสำนักธาราเมฆมาหลายปีก็กลายเป็นเศษหิน
พวกเฉียวฉู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังไป๋สวี่พากันกลั้นหายใจ ในตอนที่รูปสลักก้อนเมฆถูกทำลาย พวกเขารู้สึกว่าจิตวิญญาณสุดท้ายของสำนักธาราเมฆได้แตกสลายไปด้วย ในหัวใจของพวกเขาเกิดความไม่ยินยอมขึ้นมา