“ไม่ใช่เรื่องใหญ่! ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง! อยากกินอะไร อยากเล่นอะไร เอาให้เต็มที่เลย!” เฉียวฉู่กอดคอหลงจิ่วสาบานเป็นพี่น้องกันตรงนั้น ท่าทางสนิทสนมของสองพี่น้องทำเอาฉินเกอและฮัวเหยาถึงกับทนดูไม่ได้
พวกบ้องตื้นเหมือนกันก็จะดึงดูดกันง่ายๆแบบนี้สินะ……
“เอาล่ะ พวกเจ้าจะทำอะไรก็ไปทำเถอะ ข้ากับเหล่าจิ่วจะไปเก็บของให้เรียบร้อย คำพูดของซือถู เจ้าก็ไม่ต้องไปใส่ใจนักหรอก เจ้านั่นก็แบบนี้แหละ หัวแข็งจะตาย ในหัวคิดแต่เรื่องภารกิจของต้นไม้วิญญาณ ไม่รู้จักยืดหยุ่น อย่าไปสนใจเลย” ฉินเกอเอื้อมมือไปดึงหลงจิ่วกลับมา เขายิ้มและพูดกับจวินอู๋เสียอีกสองสามคำก่อนจะจากไป
ฟ่านจั๋วมองด้านหลังของพวกฉินเกอที่กำลังเดินห่างออกไป แล้วลูบคางพลางพูดว่า“ฉินเกอคนนี้เป็นคนฉลาดนะ”
“หมายความว่ายังไง?” เฉียวฉู่เกาหัว ความประทับใจที่เขามีต่อฉินเกอไม่เลวนัก เขารู้สึกว่าฉินเกออ่อนโยนมาก นิสัยเขาคล้ายๆกับฟ่านจั๋ว เป็นคนที่ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงเข็มที่ซ่อนอยู่ในฝ้าย
“เขารู้ว่าเมล็ดของต้นวิญญาณอยู่ในตัวเสี่ยวเสีย ถึงจะใช้วิธีรุนแรงแข็งกร้าวก็เอาไปไม่ได้อยู่ดี ตามใจเสี่ยวเสียไปจะดีกว่า จะได้ไม่ทำให้เสี่ยวเสียโกรธแล้วระเบิดตัวเอง แล้วภารกิจของพวกเขาก็จะล้มเหลว เขาฉลาดกว่าซือถูเหิงมากทีเดียว” ฟ่านจั๋วมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ฉินเกอทำดีกับจวินอู๋เสีย หรือพูดให้ถูกก็ทำเพื่อระงับอารมณ์ของจวินอู๋เสีย ถึงยังไงเมล็ดก็อยู่ในตัวของจวินอู๋เสีย พวกเขาจะแข็งกร้าวไปไม่ได้ ไม่งั้นทั้งหยกและหินจะถูกเผาไปพร้อมกันหมด พวกเขาจะไม่ได้อะไรเลย
“ยังไงซะ ข้าก็คิดว่าฉินเกอดีกว่าไอ้อึหมาซือถูเหิงอะไรนั่นมาก ไอ้หมอนั่นเกลียดอะไรนักหนา? ทำยังกับทุกคนติดหนี้เขาหลายล้านตำลึงงั้นแหละ” เฉียวฉู่เบะปากอย่างขัดเคือง เขาไม่ชอบซือถูเหิงเอามากๆตั้งแต่แรกเห็นแล้ว
“เขาเป็นแบบนี้มาตลอดนั่นแหละ ถ้าไม่ใช่เพราะฉินเกอกับหลงจิ่วคอยปรามไว้ ก็คงจะก่อปัญหาไม่น้อยเลย” เย่กูเอ่ยถึงซือถูเหิงอย่างไม่พอใจ ถ้าไม่ใช่เพราะจวินอู๋เสียต้องเรียนวิธีฝึกฝนของดินแดนแห่งวิญญาณ เขาคงให้คนโยนซือถูเหิงออกไปแล้ว
“ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก” จวินอู๋เสียกล่าวอย่างใจเย็น นางไม่เอาเรื่องของซือถูเหิงมาใส่ใจหรอก
ในเมื่อจวินอู๋เสียพูดเช่นนั้น พวกเฉียวฉู่ก็ไม่พูดเรื่องนี้ต่อ พวกเขาพากันกลับที่พักไปเก็บข้าวของและเตรียมตัวกลับไปยังอาณาจักรล่าง
สำหรับการเดินทางกลับอาณาจักรล่างครั้งนี้ จวินอู๋เสียได้นำคนของกองทัพราตรีไปด้วยทั้งหมด เมื่อกองทัพราตรีมารวมตัวกันตรงหน้าพวกเฉียวฉู่ พวกเขาก็ตระหนักว่าทุกคนในอาณาจักรแห่งความมืด……คือสมาชิกของกองทัพราตรี!
มิน่าล่ะ……ก่อนหน้านี้พวกเขาถึงรู้สึกว่าอาณาจักรแห่งความมืดเหมือนค่ายทหาร เป็นเพราะไม่มีคนธรรมดาอาศัยอยู่ที่นี่เลย ทุกคนที่นี่เป็นคนที่ผ่านการต่อสู้มาแล้วอย่างโชกโชน!
เนื่องจากกองทัพราตรีมีจำนวนคนเยอะเกินไป เย่ฉา เย่เม่ย และเย่กูจึงแบ่งคนออกเป็นสามกลุ่มแยกกันออกเดินทางตามลำดับ แต่จุดหมายปลายทางคือที่เดียวกัน เมื่อพวกเขาก้าวออกจากอาณาจักรแห่งความมืด จวินอู๋เสียก็หันกลับมามองสถานที่ที่นางอาศัยอยู่มาห้าปี สถานที่ที่จวินอู๋เหยาสร้างขึ้นด้วยมือของเขาเอง
ห้าปีที่อยู่ที่นี่ได้ช่วยให้นางมีแรงใจขึ้นมา เมื่อห้าปีที่แล้ว ดูเหมือนจวินอู๋เหยาจะคาดการณ์ไว้แล้วว่าอาจมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับเขา จึงจัดการให้พวกเย่ฉารอรับคำสั่งอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืดจนถึงนาทีสุดท้าย เมื่อจวินอู๋เหยาจากไปและจวินอู๋เสียรอดมาได้ กองทัพราตรีก็ตามหานางจนเจอและส่งมอบอำนาจและกองกำลังทั้งหมดให้นาง
นี่เป็นเบี้ยเดิมพันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่จวินอู๋เหยามอบให้จวินอู๋เสีย และยังเป็นแรงผลักดันให้จวินอู๋เสียก้าวต่อไป
ดวงตาของจวินอู๋เสียลดต่ำลงเล็กน้อย
บางทีจวินอู๋เหยาคงเดาได้นานแล้วว่าเมื่อถูกเล่นงานหนักหน่วงเช่นนี้ นางจะเผชิญหน้ากับความสิ้นหวัง ดังนั้น……เขาจึงทิ้งความหวังไว้ให้นาง ไม่ให้นางต้องจมอยู่กับความหดหู่ซึมเศร้าและลุกขึ้นยืนได้อย่างมั่นคง
พวกบ้องตื้นเหมือนกันก็จะดึงดูดกันง่ายๆแบบนี้สินะ……
“เอาล่ะ พวกเจ้าจะทำอะไรก็ไปทำเถอะ ข้ากับเหล่าจิ่วจะไปเก็บของให้เรียบร้อย คำพูดของซือถู เจ้าก็ไม่ต้องไปใส่ใจนักหรอก เจ้านั่นก็แบบนี้แหละ หัวแข็งจะตาย ในหัวคิดแต่เรื่องภารกิจของต้นไม้วิญญาณ ไม่รู้จักยืดหยุ่น อย่าไปสนใจเลย” ฉินเกอเอื้อมมือไปดึงหลงจิ่วกลับมา เขายิ้มและพูดกับจวินอู๋เสียอีกสองสามคำก่อนจะจากไป
ฟ่านจั๋วมองด้านหลังของพวกฉินเกอที่กำลังเดินห่างออกไป แล้วลูบคางพลางพูดว่า“ฉินเกอคนนี้เป็นคนฉลาดนะ”
“หมายความว่ายังไง?” เฉียวฉู่เกาหัว ความประทับใจที่เขามีต่อฉินเกอไม่เลวนัก เขารู้สึกว่าฉินเกออ่อนโยนมาก นิสัยเขาคล้ายๆกับฟ่านจั๋ว เป็นคนที่ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงเข็มที่ซ่อนอยู่ในฝ้าย
“เขารู้ว่าเมล็ดของต้นวิญญาณอยู่ในตัวเสี่ยวเสีย ถึงจะใช้วิธีรุนแรงแข็งกร้าวก็เอาไปไม่ได้อยู่ดี ตามใจเสี่ยวเสียไปจะดีกว่า จะได้ไม่ทำให้เสี่ยวเสียโกรธแล้วระเบิดตัวเอง แล้วภารกิจของพวกเขาก็จะล้มเหลว เขาฉลาดกว่าซือถูเหิงมากทีเดียว” ฟ่านจั๋วมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ฉินเกอทำดีกับจวินอู๋เสีย หรือพูดให้ถูกก็ทำเพื่อระงับอารมณ์ของจวินอู๋เสีย ถึงยังไงเมล็ดก็อยู่ในตัวของจวินอู๋เสีย พวกเขาจะแข็งกร้าวไปไม่ได้ ไม่งั้นทั้งหยกและหินจะถูกเผาไปพร้อมกันหมด พวกเขาจะไม่ได้อะไรเลย
“ยังไงซะ ข้าก็คิดว่าฉินเกอดีกว่าไอ้อึหมาซือถูเหิงอะไรนั่นมาก ไอ้หมอนั่นเกลียดอะไรนักหนา? ทำยังกับทุกคนติดหนี้เขาหลายล้านตำลึงงั้นแหละ” เฉียวฉู่เบะปากอย่างขัดเคือง เขาไม่ชอบซือถูเหิงเอามากๆตั้งแต่แรกเห็นแล้ว
“เขาเป็นแบบนี้มาตลอดนั่นแหละ ถ้าไม่ใช่เพราะฉินเกอกับหลงจิ่วคอยปรามไว้ ก็คงจะก่อปัญหาไม่น้อยเลย” เย่กูเอ่ยถึงซือถูเหิงอย่างไม่พอใจ ถ้าไม่ใช่เพราะจวินอู๋เสียต้องเรียนวิธีฝึกฝนของดินแดนแห่งวิญญาณ เขาคงให้คนโยนซือถูเหิงออกไปแล้ว
“ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก” จวินอู๋เสียกล่าวอย่างใจเย็น นางไม่เอาเรื่องของซือถูเหิงมาใส่ใจหรอก
ในเมื่อจวินอู๋เสียพูดเช่นนั้น พวกเฉียวฉู่ก็ไม่พูดเรื่องนี้ต่อ พวกเขาพากันกลับที่พักไปเก็บข้าวของและเตรียมตัวกลับไปยังอาณาจักรล่าง
สำหรับการเดินทางกลับอาณาจักรล่างครั้งนี้ จวินอู๋เสียได้นำคนของกองทัพราตรีไปด้วยทั้งหมด เมื่อกองทัพราตรีมารวมตัวกันตรงหน้าพวกเฉียวฉู่ พวกเขาก็ตระหนักว่าทุกคนในอาณาจักรแห่งความมืด……คือสมาชิกของกองทัพราตรี!
มิน่าล่ะ……ก่อนหน้านี้พวกเขาถึงรู้สึกว่าอาณาจักรแห่งความมืดเหมือนค่ายทหาร เป็นเพราะไม่มีคนธรรมดาอาศัยอยู่ที่นี่เลย ทุกคนที่นี่เป็นคนที่ผ่านการต่อสู้มาแล้วอย่างโชกโชน!
เนื่องจากกองทัพราตรีมีจำนวนคนเยอะเกินไป เย่ฉา เย่เม่ย และเย่กูจึงแบ่งคนออกเป็นสามกลุ่มแยกกันออกเดินทางตามลำดับ แต่จุดหมายปลายทางคือที่เดียวกัน เมื่อพวกเขาก้าวออกจากอาณาจักรแห่งความมืด จวินอู๋เสียก็หันกลับมามองสถานที่ที่นางอาศัยอยู่มาห้าปี สถานที่ที่จวินอู๋เหยาสร้างขึ้นด้วยมือของเขาเอง
ห้าปีที่อยู่ที่นี่ได้ช่วยให้นางมีแรงใจขึ้นมา เมื่อห้าปีที่แล้ว ดูเหมือนจวินอู๋เหยาจะคาดการณ์ไว้แล้วว่าอาจมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับเขา จึงจัดการให้พวกเย่ฉารอรับคำสั่งอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืดจนถึงนาทีสุดท้าย เมื่อจวินอู๋เหยาจากไปและจวินอู๋เสียรอดมาได้ กองทัพราตรีก็ตามหานางจนเจอและส่งมอบอำนาจและกองกำลังทั้งหมดให้นาง
นี่เป็นเบี้ยเดิมพันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่จวินอู๋เหยามอบให้จวินอู๋เสีย และยังเป็นแรงผลักดันให้จวินอู๋เสียก้าวต่อไป
ดวงตาของจวินอู๋เสียลดต่ำลงเล็กน้อย
บางทีจวินอู๋เหยาคงเดาได้นานแล้วว่าเมื่อถูกเล่นงานหนักหน่วงเช่นนี้ นางจะเผชิญหน้ากับความสิ้นหวัง ดังนั้น……เขาจึงทิ้งความหวังไว้ให้นาง ไม่ให้นางต้องจมอยู่กับความหดหู่ซึมเศร้าและลุกขึ้นยืนได้อย่างมั่นคง