คงเป็นเพราะทุกคนเป็นห่วงจวินอู๋เสียที่เดินทางมาหลายวัน จึงไม่อยากรบกวนนางมากนัก พวกเขาแค่ปล่อยให้พวกเด็กๆระบายออกมา ให้พวกเขาได้ร้องไห้ตามที่ต้องการเมื่อได้เจอนาง เยว่เย่ร้องไห้หนักมากจนแทบหายใจไม่ออก เสี่ยวเจว๋ก็ร้องไห้ตามเยว่เย่ไปด้วย สุดท้ายจวินชิงก็ต้องกล่อมให้พวกเด็กๆไปพักผ่อนในห้องของตัวเองที่สวนหลังบ้าน พวกเขาหยุดร้องไห้หลังจากที่จวินชิงสัญญาว่าพวกเขาจะยังได้เจอกับจวินอู๋เสียอีกในวันพรุ่งนี้
ถึงกระนั้น เยว่เย่กับเสี่ยวเจว๋ก็ฉีกผ้าจากแขนเสื้อของจวินอู๋เสียไปคนละชิ้น และกอดเอาไว้ราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า ทำเอาจวินชิงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
สองคนนี้……ยังเด็กอยู่จริงๆ
เยว่อี้กับผู้อาวุโสอิ่งทักทายจวินอู๋เสียสั้นๆ เนื่องจากไม่ต้องการรั้งนางเอาไว้จนไม่ได้พักผ่อน ได้แต่ทนข่มกลั้นความรู้สึกในใจ และกลับไปที่สวนหลังบ้านเพื่อปลอบเยว่เย่ที่ร้องไห้หนักจนแทบหายใจไม่ออก ขณะที่องครักษ์ของเสี่ยวเจว๋ก็วิ่งออกไปปลอบเจ้านายตัวน้อยของพวกเขาเช่นกัน
จวินอู๋เสียผ่อนลมหายใจออกมาท่ามกลางเสียงร้องไห้จากความดีใจ จวินเสี่ยนสั่งให้นางไปพักผ่อนทันทีและไม่อนุญาตให้นางออกจากบ้านจนกว่าจะนอนหลับถึงเช้าวันพรุ่งนี้
พวกเย่กูปรึกษากับจวินชิงและฉูหลิงเย่เรื่องที่พักของกองทัพราตรี ประมุขวิหารหยกวิญญาณที่มีประสบการณ์มากกว่ายืนอยู่ข้างๆพวกเขาและคอยแสดงความคิดเห็นเมื่อจำเป็น
หลังจากได้รู้ตัวตนของไป๋สวี่ มู่เฉินก็พาไป๋สวี่ไปที่บ้านของเขาทันที เขาปฏิบัติกับไป๋สวี่ราวกับเป็นบรรพบุรุษตัวเอง
เจ้าสามตัวนี้…… เทียนเจ๋อขมวดคิ้วมองเจ้าก้อนขนทั้งสามที่ยืนอยู่ตรงหน้า สัตว์อสูรสีดำหนึ่ง เจ้าแกะน้อยหนึ่ง เจ้ากระต่ายหูใหญ่อีกหนึ่ง……
ตอนที่พวกเย่ฉาเจอเจ้าสองตัวในภูเขา พวกมันบาดเจ็บหนักมาก ความคิดที่ว่าจวินอู๋เสียตายแล้วทำให้พวกมันเกือบจะฆ่าตัวตายตามไป โชคดีที่พวกเย่ฉาหยุดพวกมันเอาไว้และส่งพวกมันไปอยู่ตรงหน้าจวินอู๋เสีย ท่านแบะแบะกับเจ้ากระต่ายโลหิตถึงได้ล้มเลิกความพยายามที่จะฆ่าตัวตาย
ตลอดเวลาห้าปีที่ผ่านมา ท่านแบะแบะและกระต่ายโลหิตไม่เคยออกจากอาณาจักรแห่งความมืดเลย จวินอู๋เสียเองก็ไม่อยากทำให้พวกมันตกอยู่ในอันตรายอีก
ส่งมาให้ข้า ผู้หญิงที่งดงามคนหนึ่งเดินเข้ามาข้างๆเทียนเจ๋อ และมองดูเจ้าก้อนขนทั้งสามที่นั่งเรียงแถวกัน
เทียนเจ๋อมองไปที่นาง แววตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อว่า ศิษย์พี่……
ซูหย่าเหลือบมองเทียนเจ๋อ แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นนางก็ยกขาขึ้นเตะเขา
เลิกมองข้าแบบนั้นสักที! อย่าคิดว่าตอนนี้ข้าเอาชนะเจ้าไม่ได้ แล้วเจ้าจะอวดดีได้นะ เดี๋ยวแม่ก็ซัดให้ฟันร่วงเลยนี่!
แม้ว่าจะถูกเตะ เทียนเจ๋อก็ไม่กล้าส่งเสียง แต่ถึงกระนั้น เขาก็โล่งใจที่เห็นซูหย่าดูมีชีวิตชีวาขึ้น
ในช่วงที่นางถูกนำกลับมานั้น ราวกับว่านางได้สูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว นางไม่กินไม่ดื่มเลยตลอดห้าวัน เนื่องจากในเวลานั้นนางบาดเจ็บสาหัส ร่างกายไม่สามารถทนต่อการกระทำแบบนั้นได้ เห็นได้ชัดว่านางคิดที่จะตาย แต่หลังจากได้ฟังคำห้ามปรามของประมุขวิหารหยกวิญญาณแล้ว นางก็เริ่มมีความคิดที่จะมีชีวิตอยู่
ในตอนนั้น ประมุขวิหารหยกวิญญาณพูดกับซูหย่าว่า จวินอู๋เสียเสียอาจารย์ของนางไปคนหนึ่ง เสียอาจารย์ปู่ และเสียคนที่นางรัก ตอนที่นางกลับมา เจ้าคิดที่จะให้นางได้รับรู้ว่า……อาจารย์ที่เหลืออยู่ของนางก็จากนางไปอีกคนงั้นหรือ?
คำพูดนี้เองที่ทำให้นางปรารถนาที่จะอยู่ต่อไป
ถ้าไม่ใช่เพราะนางถูกปาเฮ่อจับตัวไป เรื่องทั้งหมดนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น ซูหย่ารู้สึกผิดต่อจวินอู๋เสีย นั่นคือสาเหตุที่นางไม่เข้ามาทักทายจวินอู๋เสียตอนที่นางกลับมา สิ่งที่นางประสบมาก็เหมือนกับจวินอู๋เสีย ซูหย่าสูญเสียคนที่นางรักและอาจารย์ที่เคารพไปในการต่อสู้ ดังนั้นซูหย่าจึงเป็นคนเดียวที่เข้าใจความสิ้นหวังของจวินอู๋เสียเป็นอย่างดี
มันเป็นความรู้สึกพังทลายที่คนอื่นไม่มีวันเข้าใจ
��