WS บทที่ 134 อุณหภูมิ
เมอร์ลินเปิดภาชนะแก้วออก เขาเห็นของเหลวสีดําเข้ม ส่งกลิ่นเหม็นที่น่าขยะแขยงออกมา
“นะนี่คือน้ํายาห้ามเลือดเหรอ?”
สีหน้าของเมอร์ลินเต็มไปด้วยความสับสน ตามคําอธิบายที่พ่อมดฮาวล์ได้บอกเขามาก่อนหน้านี้ว่า น้ํายาห้ามเลือดจะเป็นสีดําและมีกลิ่นสดชื่นจาง ๆ ออกมา แล้วทําไมของที่เขาสร้างถึงได้ออกมาเป็นแบบนี้
“ยังไงก็เถอะมาลองก่อนดีกว่า”
แม้ว่าน้ํายาห้ามเลือดของเขาจะแตกต่างไปจากปกติ แต่อย่างน้อย ๆ เขาก็ขอลองทดสอบมันดูก่อนจะตัดสินมัน
*ฉัวะ*
เมอร์ลินใช้กริชกรีดแขนของตัวเองหลายครั้งโดยไร้ความปรานีแต่บาดแผลที่เขาได้รับเป็นเพียงบาดแผลตื้น ๆ เท่านั้น นี่แสดงให้เห็นว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งถึงเพียงใด
หลังจากที่เขากรีดแขนของแล้ว เมอร์ลินรีบเทน้ํายาห้ามเลือดลงบนแผลของเขา
เลือดที่ไหลออกมาได้แข็งตัวอย่างรวดเร็ว แต่ทันในนั้นเอง เขารู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา จากนั้น บาดแผลบนแขนของเขาเน่าเปื่อยด้วยความเร็วที่ตกใจ
เมอร์ลินตกใจมาก เขารีบคว้ากริชเลือดเนื้อเน่าตรงนั้นออก ก่อนที่มันจะลามไปมากกว่านี้
เขาขมวดคิ้วมองดูชิ้นเนื้อเน่าบนพื้น เขารู้เจ็บตรงแขน ดูเหมือนว่าน้ํายาห้ามเลือดของเขาล้มเหลวอย่างไม่มีข้อสงสัย
ตัวเขาไม่ได้สนใจอาการบาดเจ็บของเขามากนัก ด้วยคุณสมบัติทางร่างกายของเขาในตอนนี้ บาดแผลพวกนี้จะหายดีภายในสองสามวัน
แต่เขารู้สึกสับสน เขาไม่รู้ว่าทําพลาดตรงไหน เขาทําตามทุกขั้นตอนอย่างเคร่งครัดแถมยังใส่ส่วนผสมตามเดอะเมทริกซ์บอกอย่างเป๊ะ ๆ แต่ทําไมผลลัพธ์ถึงล้มเหลว
“สิ่งสําคัญของการปรุงยาก็คือการควบคุมปริมาณส่วนผสมและขั้นตอนในการปรุงยาไม่เหรอ?”
เมอร์ลินกลับมาทวนขั้นตอนการปรุงยาและปริมาณส่วนผสมของยาอย่างระมัดระวังอีกครั้งเขาทําตามอย่างเคร่งครัดแถมยังใช้เครื่องวัดอย่างแม่นยําด้วย ทําไมมันถึงล้มเหลวได้
เขาได้เปิดบันทึกในเดอะเมทริกซ์ซ้ําแล้วซ้ําเล่าและไม่ได้มีส่วนที่เขาทําพลาดเลย
ด้วยความผิดพลาดนี้ ทําให้เขาไม่กล้าสร้างน้ํายามนตราอสูร เขาต้องค้นหาสาเหตุเสียก่อน เนื่องจากส่วนผสมของน้ํายามนตราอสูรมีค่ามากและภายในแหวนก็มีไม่มากนัก
“ไฟ จริงสิ มันจะต้องเกี่ยวกับไฟ ต้องมีตัวแปรอย่างบางที่เกี่ยวข้องกับความร้อน”
ความคิดนี้ได้แวบเข้ามาในหัวของเมอร์ลิน สําหรับการปรุงยานั้นมันจะมีเรื่องของความร้อนความเย็นเข้ามาเกี่ยวข้อง
บางที ในระหว่างที่เขาปรุงยา เขาไม่สนใจเรื่องอุณหภูมิมากนัก มันจึงเป็นเหตุให้การปรุงยาล้มเหลว มันก็เหมือนการทําอาหาร แม้ว่าคุณจะทําตามสูตรอย่างเป๊ะ ๆ แต่ถ้าคุณควบคุมไฟได้ไม่ดี อาหารของคุณจะรสชาติเปลี่ยนไปจากสูตรเลย
เรื่องพวกนี้แม้แต่เดอะเมทริกซ์ก็ไม่สามารถควบคุมได้อย่างแม่นยํา มันต้องใช้ประสบการณ์ และผ่านจะทดลองหลายต่อกลายครั้ง
แต่การทําแบบนี้ทําให้เขาสูญเสียทรัพยากรโดยใช่เหตุ โชคดีที่เขาไม่เหมือนนักเวทย์ทั่วไป เขาสามารถลดจํานวนการทดลองพวกนั้นไปด้วยเดอะเมทริกซ์ เขาจะยังทําตามขั้นตอนตามเดิมเพิ่มเติมคือให้เดอะเมทริกซ์โฟกัสไปที่อุณหภูมิในระหว่างปรุงยา
แม้ผลลัพธ์ในครั้งที่สองจะล้มเหลวแต่เขาสามารถนําข้อพลาดนี้ไปปรับใช้ในครั้งที่สาม โดยครั้งที่สามเขาประสบความสําเร็จโดยมีอัตราสําเร็จอยู่ที่ 30%
แม้อัตราความสําเร็จจะน้อยจนน่ากลัว แต่เมื่อนํามาเปรียบเทียบกับพ่อมดฮาวล์ที่ศึกษาศาสตร์ปรุงยามาอย่างยาวนาน เขาก็ปรุงน้ํายาห้ามเลือดสําเร็จเพียง 30% เท่านั้น
ด้วยเวลาอันจํากัด เมอร์ลินจึงไม่คิดจะทุ่มเวลาทั้งหมดให้กับการปรุงยา เขาไม่ต้องการเป็นปรมาจารย์ด้านการปรุงยาแต่เขาอยากเป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่
เมอร์ลินใช้เวลาในช่วงนี้หมดไปกับการทําคุ้นเคยกับการควบคุมไฟ เมื่อเขามั่นใจตัวเองเชี่ยวชาญมากพอแล้วและอัตราความสําเร็จของน้ําห้ามเลือดได้เพิ่มขึ้น ทําให้ตอนนี้เขามีความมั่นใจที่จะสร้างน้ํายามนตราอสูร
ส่วนเรื่องเลอแรนก้า นับตั้งแต่ที่เขากับได้ร่วมรักกัน เขาก็ไม่เห็นเธออีกเลย แม้ว่าเขาจะไม่ ลืมช่วงเวลาแห่งความสุขที่ได้สร้างร่วมกันกับเธอแต่เขาก็ไม่คิดจะไปตามหาเธอแต่ทุ่มเทเวลาทั้งหมดของเขาไปกับกับการปรุงยาและการทําสมาธิ
เพราะในท้ายที่สุด เขาต้องเตรียมให้พร้อมสําหรับงานชุมนุมนักเวทย์ที่กําลังมาถึงขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า
ไม่กี่วันต่อมา ในที่สุดเลอแรนก้าได้ปรากฏตัวต่อหน้าเมอร์ลิน ตอนนี้เธอได้จัดการธุระต่าง ๆ เสร็จหมดแล้วและในไม่ช้าเธอจะถูกส่งออกจากดินแดนมนต์ดํา
ดังนั้นในช่วงสองสามวันนี้จะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่เธอจะได้อยู่กับเมอร์ลิน
หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้ร่วมกันเสพสุขหลายต่อหลายครั้ง จนที่สุดเลอแรนก้าทิ้งตัวลงนอนอย่างอ่อนแรง เธอโอบกอดเมอร์ลินและถอนหายใจเบา ๆ แล้วพูดว่า
“เมอร์ลิน อีกไม่กี่วันฉันจะไปจากที่นี่แล้ว ฉันมีบางอย่างต้องบอกคุณ ตระกูลของฉันเป็นเพียง ตระกูลนักเวทย์ขนาดเล็ก นักเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นเพียงนักเวทย์ระดับสามเท่านั้นซึ่งท่านได้ หายตัวไปหลายปีแล้ว ส่วนนักเวทย์ระดับหนึ่งก็มีไม่กี่คน ถ้าบ้านไหนที่เด็กที่มีศักยภาพ พวกเขาก็จะถูกไปที่องค์นักเวทย์”
เลอแรนก้าได้แบ่งปันเรื่องของตระกูลของเธอได้เมอร์ลินฟัง เขารับฟังอย่างตั้งใจเพ ราะเรื่องพวกนี้ใช่ว่าจะได้ยินบ่อย ๆ
ตระกูลของเธอก่อตั้งขึ้นมาอย่างยาวนานหลายศตวรรษ ด้วยมรดกที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นจึงทําให้ลูกหลานได้มีศักยภาพมากพอที่จะเข้าองค์กรนักเวทย์
อย่างไรก็ตามมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถกลายเป็นนักเวทย์ระดับหนึ่งได้ คนที่ล้มเหลว แบบเลอแรนก้า หลังจากออกจากองค์กรนักเวทย์ พวกเขาจะไม่ได้รับทรัพยากรใด ๆ จากตระกูลเลย หากอยากเห็นนักเวทย์ระดับหนึ่ง พวกเขาต้องดิ้นรนเอาเอง ด้วยความลําบากที่ต้องเผชิญ ในที่สุดพวกเขาก็ต้องยอมแพ้ไป
ด้วยเหตุนี้ทําให้ใครหลายคนต้องทําทุกวิถีทางเพื่อจะให้ได้อยู่ที่นี่ ดังที่เลอแรนก้าได้กล่าวไว้ว่าในบางครั้งก็ต้องสินใจไม่ว่ามันจะถูกหรือผิดก็ตาม
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะจําตระกูลชาเดอสันแห่งเมืองโทลเล่ไว้ขึ้นใจ ฉันจะไปรับคุณมาให้เร็วที่สุด” เมอร์ลินกล่าวด้วยน้ําเสียงอันหนักแน่นละแน่วแน่
เลอแรนก้าเม้มริมฝีปากเล็กน้อย จากนั้นก็เผยรอยยิ้มจาง ๆ ออกมา “ฉันจะรอคุณ นักเวทย์หกธาตุระดับหนึ่งแห่งดินแดนมนต์ดํา”
หลังจากพูดจบ เธอก็มองเมอร์ลินด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง เมื่อสายตาของเมอร์ลินได้สอดประสานกับเธอ เขาก็ได้โน้มไปจูบกันและดื่มต่ําช่วงเวลาแห่งความสุขอีกครั้ง
3วันต่อมา เลอแรนก้าออกจากดินแดนมนต์ดํา ก่อนออกไป เธอได้นําแต้มสนับสนุนและเหรียญทองทั้งหมดที่เธอได้จากตระกูล พวกมันทั้งหมดถูกแปลงเป็นแต้มบริจาคให้กับเมอร์ลิน
ทําให้ตอนนี้เขามีแต้มบริจาคทั้งหมด 150แต้มซึ่งค่อนข้างมากสําหรับนักเวทย์ที่เพิ่งเข้าร่วมองค์กรอย่างเขา
ดังนั้นเขาจึงไปที่หอสมุดเพื่อมองหาน้ํายาที่เพิ่มพลังจิตแบบเดียวกับน้ํายามนตราอสูร
แต่น่าเสียดายที่เขาไม่พบของที่เขาต้องการ เขาพบเพียงแค่สูตรน้ํายาโบราณ มันเขียนได้ว่ามีโอกาสทําให้พลังจิตเพิ่มขึ้น
ด้วยความไม่แน่นอนประจวบกับแต้มที่ต้องใช้แลกนั้นสูงลิบลิ่วแบบที่เมอร์ลินไม่สามารถเอื้อม
นั่นทําให้เมอร์ลินไม่เข้าใจว่าทําไมถึงเป็นเช่นนั้น พวกสูตรพวกนี้ถึงมีราคาสูงกว่าอุปกรณ์เวทมนต์บางชิ้น เขาจึงนําข้อสงสัยนี้ไปถามพ่อมดชุดในหอสมุด พวกเขาได้บอกว่าที่ตั้งราคาแบบนี้ก็กันไว้สําหรับนักเวทย์ระดับสี่ขึ้นไป สําหรับนักเวทย์ระดับเริ่มต้นราคาพวกนี้ มันสูงมากแต่สําหรับนักเวทย์ระดับสี่ขึ้นไปราคาแค่นี้ถือว่าเล็กน้อยมาก
อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้บอกอีกว่า พวกเขามีแค่สูตรยาเท่านั้น พวกส่วนผสมไม่มี คนที่แลกสูตรต้องเป็นคนค้นหาส่วนผสมด้วยตัวเอง
เรื่องนี้ทําให้เมอร์ลินตกใจมาก เขาจึงไม่แปลกใจที่ไม่มีคนไหนสนใจสูตรยาพวกนี้
เมอร์ลินได้มองหาพวกส่วนผสมที่เขียนไว้ในสูตรของน้ํายามนตราอสูร เขาพบว่าที่นี่แทบจะไม่มีเช่นกัน ส่วนที่มีก็มีราคาสูงมาก
นั่นทําให้เมอร์ลินตระหนักได้ถึงความโหดของการเป็นนักเวทย์ นั่นก็คือการขาดแคลนทรัพยากร
นั่นทําให้เมอร์ลินไม่แปลกเลยที่เลอแรนก้าจะยอมแลกอิสรภาพของตัวมาเป็นบริวารของเขาเพียงจะได้อยู่ในดินแดนมนต์ดํา สําหรับโลกภายนอกนั้น การหาทรัพยากรต่าง ๆ นั้นมันยากมากนักเวทย์ทุกคนล้วนอยากเข้าร่วมกับองค์กรนักเวทย์ก็เพื่อที่จะเข้าถึงแหล่งทรัพยากรเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น
“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องปรุงน้ํายาอสูรมนตราด้วยความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นไปอีก ไว้ฉันเริ่มคุ้นเคยกับการปรุงยาให้ถี่ถ้วนซะก่อน ฉันถึงจะเริ่มลงมือทํา”
งานชุมนุมนักเวทย์ก็ใกล้เข้าทุกวัน เมอร์ลินต้องการเพิ่มพลังจิตให้รวดเร็วที่สุดเพื่อให้พร้อมสําหรับการสร้างคาถาระดับหนึ่งเพลิงพิโรธ
ดังนั้นเมื่อเมอร์ลินเข้าใจถึงวิธีการปรุงยาได้อย่างถ่องแท้เมื่อไหร่ เขาก็จะพร้อมสร้างน้ํายามนตราอสูร