ตอนที่ 64
หลักจากการประเมินรอบแรกสิ้นสุด ซูฮยอนก็มีเวลาพักหายใจหายคอ เพื่อรอการประเมินรอบต่อไป อันที่จริงซูฮยอนไม่ได้รู้สึกเหนื่อยอะไรมาก ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือจิตใจทุกอย่างก็ปกติดี แต่เพราะเจ้าหน้าที่เตรียมตัวยังไม่เสร็จ เขาจึงทำได้แต่รอเพียงอย่างเดียว ในระหว่างรอการประเมินรอบต่อไป ทางเจ้าหน้าที่ก็บอกใบ้ว่าการประเมินรอบต่อไปก็คล้ายๆกับรอบแรก………..
คิมฮยอนซูยังคงอยู่ในอาการเหม่อลอยเพราะทำใจเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ เขาเชื่อว่าเครื่องที่ใช้ประเมินอาจทำงานผิดพลาดก็ได้ แต่ตลอดระยะเวลาหลายสิบปี เจ้าเครื่องประเมินก็ทำงานได้ราบรื่นมาโดยตลอด ฉะนั้นมันไม่มีทางผิดพลาดได้แน่ ทำให้คิมฮยอนซูไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำใจยอมรับผลประเมินของซูฮยอน
“เขาเป็นสัตว์ประหลาดกลับชาติมาเกินหรือไง”
คำนิยาม “สัตว์ประหลาด” กลับออกมาจากปากของคิมฮยอนซู ผู้ประเมินผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S มาหลายคน จะบอกว่าซูฮยอนเป็นสัตว์ประหลาดเพียงคนเดียวก็ไม่ใช่ เพราะแรงค์ S คนอื่นๆก็เป็นสัตว์ประหลาดด้วยเช่นกัน
แต่กว่าพวกเขาจะแสดงศักยภาพของแรงค์ S ออกมาได้อย่างเต็มที่ มันก็ใช้ระยะเวลาหลายปี
ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครทำให้คิมฮยอนซูตกใจได้มากขนาดนี้มาก่อนนอกจากซูฮยอน
<<ระดับเวทย์ ปัจจัยเวทย์ ความสามารถทางกายภาพ แค่สถิติเหล่านี้ เขาก็แข่งขันกับผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S คนอื่นๆได้อย่างสูสี>>
อุปกรณ์ที่ทางสำนักงานเหลือใช้ มันถูกสร้างมาเพื่อวัดค่าความสามารถและพลังเวทย์ของ ผู้ตื่นขึ้น ซึ่งมันสามารถประเมินค่าต่างๆได้อย่างแม่นยำ
เมื่อลองมาดูสถิติที่ซูฮยอนทำไว้ มันก็ไม่ได้แตกต่างกับผู้ตื่นขึ้นคนอื่นๆมากนัก จะมีต่างก็แค่ความสามารถและเวลาเท่านั้น..
“เขาสามารถเคลียร์การทดสอบได้ โดยใช้เวลาแค่ 20 นาที ที่สำคัญความสามารถในการควบคุมพลังเวทย์ของเขายังเหนือกว่าคนที่ฉันเคยเห็นซะอีก…”
เมื่อผู้ตื่นขึ้น 2 คนมีพลังเวทย์และปัจจัยเวทย์เท่ากัน สิ่งที่สามารถตัดสินผลแพ้ชนะได้ง่ายๆคือการควบคุมพลังเวทย์ ยิ่งคนผู้นั้นมีอัตราการควบคุมพลังเวทย์ที่มีประสิทธิภาพและพิถีพิถัน เขาก็มีเปอร์เซ็นต์การชนะมากขึ้น
การควบคุมพลังเวทย์ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะทำได้ มันต้องอาศัยความสามารถและพรสวรรค์ของบุคคลนั้นๆ………
รอไม่นานการประเมินรอบต่อไปก็เริ่มขึ้น…
รอบๆห้องไม่ว่าจะเป็นผนังห้องหรือตามพื้น ต่างเต็มไปด้วยแผ่นหินที่มีรูปทรงแปลกๆตา
หินที่วางเรียงรายกันอยู่ มันมีรูปทรงคล้ายๆกับหินชนวน ซึ่งหินชนวนมีความแข็งแกร่งมากกว่าหินธรรมดาหลายเท่า ดังนั้นการทำลายหินชนวนโดยปราศจากเครื่องมือ จึงเป็นไปแค่เรื่องเพ้อฝัน
ต่อให้เป็นผู้ตื่นขึ้น ถ้าพวกเขาไม่ใช้สกิล การทำลายหินชนวนก็เป็นเรื่องที่โหดร้ายมากเกินไป
การทดประเมินรอบต่อไปของซูฮยอน คือการทำลายแผ่นหิน ที่ตัดแบ่งออกมาจากหินชนวนก้อนยักษ์ และที่สำคัญเขาต้องทำลายมันให้ได้เร็วที่สุดและมากที่สุด
กฎมีอยู่ว่า ในการทำลายแผ่นหิน ซูฮยอนห้ามใช้สกิลและความสามารถทางกายภาพโดยเด็ดขาด แต่ทางเจ้าหน้าที่อนุโลมให้ใช้พลังเวทย์ได้…
วุซ
เพล้ง
เมื่อซูฮยอนรวบรวมพลังเวทย์ไว้ที่ฝ่ามือ มวลสารพลังเวทย์ก็ถูกยิงออกไป
เมื่อพลังเวทย์โจมตีโดนแผ่นหิน แผ่นหินที่เรียบเนียนก็เกิดรูเล็กๆขึ้น ก่อนที่รอยร้าวจะลุกลามไปทั่ว ไม่นานแผ่นหินที่ดูแข็งแรงก็แตกออกจากกัน…
<<อืม..เขารู้ด้วยงั้นเหรอว่า แผ่นหินมีจุดอ่อนอยู่ตรงไหน เขาเลยโจมตีออกไปเบาๆ เพื่ออ้อมแรงให้ได้มากที่สุด>>เจ้าหน้าที่คิด
น่าเหลือเชื่อจริงๆที่เขาสามารถสังเกตเห็นจุดอ่อนได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่สิ่งที่เจ้าหน้าที่ประหลาดใจมากที่สุดคือ…
<<สมาธิ ความเร็ว ความแม่นยำ พลังเวทย์ มันเกินกว่าสามัญสํานึกของเขาไปไกล ไม่น่าเชื่อว่าในตัวคนๆเดียวจะมีครบทั้งหมด อย่าบอกนะว่า มันคือพรสวรรค์แต่กำเนิดของเขา?>>
ซูฮยอนทำลายแผ่นหินเร็วเกินไป จนเจ้าหน้าบางคนนับไม่ทัน
รองเจ้าหน้าที่เมื่อเห็นว่าถึงเวลาที่กำหนด เขาจึงตะโกนออกไป “ครบ 10 นาที หยุดการกระทำได้แล้วครับ”
เพล้ง
หลังจากซูฮยอนปล่อยการโจมตีครั้งสุดท้ายออกไป เขาก็กระพริบตาสองสามครั้งก่อนเรียกสมาธิกลับคืน
“เป็นไงมั้งครับ”ซูฮยอนหันไปถามเจ้าหน้าที่
“ดีมาก”
แค่มองประเมินดูจากสายตาคร่าวๆ จำนวนแผ่นหินที่ซูฮยอนทำลายไป ก็เกินกว่าเกณฑ์ที่เจ้าหน้าที่กำหมดไปเยอะพอสมควร แต่หาได้สนใจไม่ สิ่งที่พวกเขาสนใจมากที่สุด นอกจากการทำลายแผ่นหินคือข้อมูลสถิติต่างหาก…
เพราะว่าความเร็วในการทำลายหินของซูฮยอนมันเร็วเกินไป จนพวกเขาไม่สามารถรับได้โดยใช่สายตาเปล่าๆ
“มัวเหม่ออะไรอยู่ รีบนับให้เสร็จสิ”
“ได้ครับ”
เมื่อได้ยินคำสั่งของคิมฮยอนซู เจ้าหน้าที่ก็กระจายตัวกันไป เพื่อเก็บหลักฐานที่ซูฮยอนทำไว้
ไม่นานข้อมูลที่ทุกคนรอคอยก็ออกมา
“แผ่นหินที่เหลือมี 1450 แผ่น ส่วนแผ่นหินที่ถูกทำลายมี 1550 แผ่นครับ”
“อะไรนะ 1550 แผ่นงั้นเหรอ”
คิมฮยอนซูก้มลงไปดูบันทึกด้วยความรวมเร็ว ตามบันทึกครั้งล่าสุดพัคจีย็อนเป็นคนที่ทำลายแผ่นหินได้มากที่สุด เธอทำลายแผ่นหินไปได้ถึง 500 แผ่น แต่สิ่งที่เธอทำก็ยังน้อยกว่าซูฮยอนอยู่ดี
<<ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?>>คิมฮยอนซูคิด
ระดับเวทย์และปัจจัยเวทย์ของซูฮยอนก็ไม่ได้แตกต่างกับผู้ตื่นขึ้นคนอื่นๆมากนัก ถ้าพูดตามจริงความสามารถทางกายภาพของซูฮยอนยังน้อยกว่าแรงค์ S คนอื่นๆมากนัก
จะต่างก็มีแค่ปริมาณพลังเวทย์และความเข้มข้นเท่านั้น แต่เหนือสิ่งอื่นใด คิมฮยอนซูผู้ประเมินความสามารถในการควบคุมพลังเวทย์ของซูอยอนด้วยตัวเอง ยังอดตกใจไม่ได้ที่ซูฮยอนทำได้ดีเกินกว่าสิ่งที่เขาเคยจินตนาการไว้..
“การประเมินเสร็จหมดแล้วใช่หรือป่าว”ซูฮยอนถาม
“อ่า…ใช่ เสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว”
คิมฮยอนซูก้มหน้าลงไปจดบันทึกผลการประเมินของซูฮยอนด้วยความเร่งรีบ เขาบันทึกไล่ไปทีละหัวข้ออย่างประณีต จนผลสรุปที่ได้คือ การประเมินของซูฮยอนมันน่าเหลือเชื่อมาก มากจนต่อให้ตายไปอีก 100 ชาติก็ไม่มีวันเกินขึ้นอีกเป็นครั้งที่ 2 …
<<ถ้าวัดจากสถิติที่เขาทำไว้ ไม่แน่ทั้งโลกเขาอาจติดอันดับที่ 1 ในฐานะผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ที่สามรถเคลียร์ประเมินได้เร็วที่สุดก็เป็นได้>>
คิมฮยอนซูก้มหน้าไปอ่านบันทึกที่ตัวเองจดไว้สักครู่ก่อนหันไปพูดกับซูฮยอน “ยินดีด้วย นายสอบผ่าน”
*************
บัตรประจำตัวใบของซูฮยอนใช้เวลาทำประมาณ 1 ชั่วโมง ฉะนั้นพวกเขาจึงพากันไปนั่งรอที่ห้องรับรองแทน….
“ผมก็รู้อยู่หรอก ว่าพี่จะเป็นผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ในอนาคต แต่พอพี่เป็นดั่งที่ผมคิดไว้จริงๆ ผมกลับรู้สึกแปลกๆยังไงก็ไม่รู้”
“ทำไมหล่ะ?”
“ก็พี่เป็นผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S คนที่ 6 ของประเทศเกาหลีนะสิ ที่สำคัญมันยังเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าพี่เป็นผู้ตื่นขึ้นที่อยู่บนจุดสูงสุด และยังเป็นสิ่งผู้ตื่นขึ้นทั่วโลกต่างปราถนาอีก”
ฮักจุนรู้สึกแปลกจริงๆ ที่มีผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ที่ทุกคนต่างปรารถนามายืนอยู่ข้างๆ
เขารู้สึกเหมือนกำลังฝันไปเพราะไม่กี่ปีก่อนซูฮยอนที่ฮักจุนรู้จักยังอยู่แค่แรงค์ C อยู่เลย
“นายไม่ต้องเสียใจ เดี๋ยวนายก็เป็นเหมือนกับฉัน”ซูฮยอนหันไปพูดกับฮักจุน
“ผมเหรอ? ไม่มีทาง”
“รู้อะไรไหมถ้านายตัดสินใจไปประเมินอีกครั้ง นายจะได้บัตรแรงค์ A มาครอบครอง ว่าไง อยากลองดูไหม?”
หลังจากได้ยินคำพูดของซูฮยอน ฮักจุนก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ เขาเองก็เคยแสดงศักยภาพมาแล้วในเมืองอันยัง แต่จากความรู้สึกของฮักจุน พลังของเขาก็ไม่น่าจะถึงแรงค์ A ได้…
ฉะนั้นเขาจึงพยายามฝึกฝนตัวเองให้หนัก เพื่อเอาชนะทรราชอย่างจองดงย็อง เขาเชื่อว่าสักวันหนึ่งต้องเอาชนะศัตรูตัวปัญหาคนนี้ได้….เมื่อถึงตอนนั้นแฟนสาวของเขาคงได้รับการรักษา แต่ว่า…
“พี่รู้ได้ไง?”
“จากความรู้สึก”
“โห้ พี่อยู่แรงค์ S ได้ไม่นาน พี่ก็วางท่าเลยเหรอ”
ยันซอนที่ฟังอยู่ด้านข้างหยิกเอวของฮักจุนก่อนพูด “เจ้าบื้อ หัดมีมารยาทบ้าง”
“อ่า…ขอโทษ”เมื่อฮักจุนโดนแฟนสาวตำหนิ เขาก็พยามปรับตัวใหม่ ก่อนพูดอีกครั้ง “ตกลงพี่รู้ได้ยังไงครับ”
“ก็อย่างที่ฉันพูดไป ฉันรู้ได้จากความรู้สึก”
“พี่สัมผัสจากออร่าพลังเวทย์ใช่หรือป่าว?”
“ประมาณนั้น…ฉันเดาว่า นายเองพักหลังๆก็คงสัมผัสได้เหมือนกันสินะ เมื่อไหร่ก็ตาม เมื่อนายเจอคนที่อ่อนแอกว่า นายจะรู้ได้ถึงพลังเวทย์ของฝ่ายตรงข้ามก่อน ต่อให้นายพยายามซ่อนมัน นายก็ไม่สามารถปิดบังออร่าของมันได้”
“แบบนี้นี่เอง”
“มันเป็นความรู้พื้นฐานที่นายควรรู้ ฉันขอเดาว่าที่ผ่านมา นายคงพยายามซ่อนความแข็งแกร่งของตัวเองเอาไว้ เพื่อตลบหลังจองดงย็องสินะ แต่รู้ไหม ว่ามันอันตรายมากขนาดไหน?”ซูฮยอนอธิบายความรู้พื้นฐานให้ฮักจุนฟัง
เมื่อฮักจุนได้ยินคำพูดของซูฮยอน ดวงตาของฮักจุนก็เต็มไปด้วยความปันป่วน ถ้าหากคำพูดของซูฮยอนเป็นความจริง หัวกิลด์จองดงย็อง ที่อยู่แรงค์ A มาเนิ่นนาน อาจสัมผัสได้ถึงระดับของฮักจุนมานานแล้วก็ได้
“ถ้าจองดงย็องรู้ว่า เรากำลังรอโอกาสเพื่อตลบหลังอยู่ล่ะก็…”
ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา สิ่งที่ฮักจุนรักคงถูกพรากไปแบบไม่มีวันหวนกลับ
ฮักจุนจมลงสู่จินตนาการ ร่างกายของเขาหนาวสั่นไปด้วยความหวาดกลัว ยันซอนที่อยู่ข้างๆบีบมือเขาเบาๆ
“ไม่ต้องกลัว เรื่องมันผ่านไปแล้ว”ยันซอนพยายามพูดปลอบใจ
“นั้นสินะ เธอพูดถูก”
ฮักจุนหันไปตอบแฟนสาวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่สีหน้าของเขาก็ยังขาวซีดเหมือนเดิม
เขาอดคิดไม่ได้ถ้ายันซอนตายไปจริงๆ เขาจะอยู่ยังไง สำหรับยับซอนเธอเปรียบเสมือนนางฟ้าตัวน้อยๆ ที่ฮักจุนรักและเคารพ
<<ตามจริงฉันก็อยากพูดเรื่องกิลด์ดัมพ์ให้กับฮักจุนฟังอยู่หรอก แต่ไว้คราวหน้าดีกว่า>>
ซูฮยอนก็อยากพูดเรื่องกิลด์ดัมพ์ให้ฮักจุนฟังเหมือนกัน แต่ดูจากอาการของฮักจุนแล้ว คงต้องปล่อยผ่านไปก่อน
เหมือนคำกล่าวที่ว่าอย่าราดน้ำมันลงบนกองไฟ ถ้าฮักจุนรู้ว่า จองดงย็อง มีกิลด์ดัมพ์อยู่เบื้องหลัง
เขาคงกลัวจนเป็นบ้าไปเลยก็ได้….ดังนั้นควรเก็บไว้ก่อน ถ้าเจ้าตัวพร้อมเมื่อไป ค่อยก็ไปบอกตอนนั้นก็ไม่สาย
รอไม่นานคิมฮยอนซูก็เดินมาหาพวกเขาพร้อมกับบัตรในมือ
“บัตรใบนี้คือบัตรประจำตัวใบใหม่ของนาย รับไปสิ”คิมฮยอนซูพูด
บัตรที่คิมฮยอนยื่นให้ มันสะท้อนกับแสงไฟจนกลายเป็นสีทองอร่ามแสบตา
บนบัตรมีชื่อของซูฮยอนสลักไว้อยู่ มันเป็นตัวอักษรที่ดูซับซ้อนกว่าบัตรอันเก่ามาก ดูเหมือนมันถูกออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับแรงค์ S โดยเฉพาะ
“ที่บัตรเสร็จก่อนเวลา นายคงไม่คิดว่าพวกเราทำงานชุ่ยหรอกนะ อีกอย่างตัวบัตรก็ไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรอยู่แล้ว นอกจากเอาไว้โชว์เท่านั้น”
“ไม่หรอกครับ ผมยังไงก็ได้”
ซูฮยอนหยิบบัตรจากมือของคิมฮยอนซู ก่อนจะเก็บมันลงไปในกระเป๋าตัง
คิมฮยอนซูผู้นำบัตรมาให้อดตกใจไม่ได้ เพราะซูฮยอนไม่ได้ดูบัตรประจำตัวอันใหม่โดยละเอียดเลยสักนิด เขาดูแค่ด้านหน้าเพียงอย่างเดียว แต่ด้านหลังเขากลับไม่ดู ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น พวกเขาคงพลิกไปพลิกมาด้วยความตื่นเต้น แต่สำหรับซูฮยอน เขากลับดูเฉยๆเหมือนไม่ใช่เรื่องน่ายินดีอะไรมาก
<<ฉันล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าเขารู้คุณค่าของบัตรแรงค์ S หรือป่าว แสดงความดีใจนิดหนึ่งก็ยังดี…>>คิมฮยอนซูคิด
“และเจ้าบัตรในนี้มันทำอะไรได้บ้างครับ”ฮักจุนถาม
คนที่อยากรู้มากที่สุดกลับไม่ใช่ซูฮยอน แต่เป็นฮักจุนไปซะได้…
เมื่อคิมฮยอนซูได้ยินคำถามของฮักจุน เขาก็แสดงสีหน้าภาคภูมิใจออกมา เพราะเขารอช่วงเวลานี้มานาน..
“ทำอะไรได้งั้นเหรอ..ก็หลายอย่างนะ”
“หลายอย่าง? มีตัวอย่างไหม”ฮักจุนถามอีกครั้ง
“ยกตัวอย่างเช่น หากนายอยากเข้าร่วมดันเจี้ยนใกล้ๆบ้าน นายสามารถทำได้โดยทันที แถมผู้มีอำนาจหลายคน ต้องมาคอยดูแลนายอีกต่างหาก ถ้านายอยากกู้เงินกับทางธนาคาร นายก็สามารถทำได้โดยไม่จำกัดวงเงิน และยังมี……”
คิมฮยอนซูสาธยายสิทธิประโยชน์ของผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ให้กับทุกๆคนฟัง ซึ่งซูฮยอนไม่ได้อยากรู้เกี่ยวกันมันเลย…
“จริงสิผมขอถามอะไรคุณหน่อยได้หรือป่าว”ซูฮยอนตัดบทพูดของคิมฮยอนซูกลางคัน ก่อนถามข้อสงสัยออกไป
“พวกคุณเคยส่งผู้ตื่นขึ้นไปช่วยต่างประเทศด้วยใช่หรือป่าว”
คิมฮยอนซูคิดสักครู่ก่อนพยักหน้าตอบ “ต่างประเทศสินะ…ใช่ เราเคยส่งผู้ตื่นขึ้นไปช่วยต่างประเทศบ่อยๆ”
“แล้วสหรัฐอเมริกา คุณเคยส่งผู้ตื่นขึ้นไปหรือป่าว”ซูฮยอนถาม
“ไม่ เราไม่เคยส่งไปเลยสักครั้ง เพราะพวกเขามีผู้ตื่นขึ้นที่แข็งแกร่งอยู่เยอะ ที่สำคัญดันเจี้ยนที่โผล่ขึ้นมาบนแผ่นดินของสหรัฐอเมริกา ก็ไม่ได้มีระดับสูงมากนัก ทำให้ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะส่งผู้ตื่นขึ้นของเราไป แต่ข่าวล่าสุดที่ฉันรู้มา ทางสหรัฐอเมริกาก็เริ่มส่งผู้ตื่นขึ้นไปยังประเทศอื่นๆเพื่อพิชิตดันเจี้ยนในประเทศนั้น ที่พวกเขาทำเช่นนั้นเพราะดันเจี้ยนบ้านเกิดของพวกเขามันกากเกินไป”
ในสหรัฐอเมริกา มีการฝึกฝนที่เป็นระบบระเบียบ ทำให้พวกเขาสามารถเค้นความสามารถของผู้ตื่นขึ้นได้เร็วกว่าประเทศเกาหลีหลายเท่า พูดตามจริงเทคโนโลยีที่ประเทศเกาหลีนำมาใช้ ก็มาจากสหรัฐอเมริกาเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นไม่แปลกใจว่าทำไมสหรัฐอเมริกาถึงมีผู้ตื่นขึ้นที่แข็งแกร่งหลายคน…
“มีเรื่องอะไรหรือป่าว หรือว่าในหมู่ผู้ตื่นขึ้นของสหรัฐอเมริกา มีคนที่นายอยากเจออยู่”คิมฮยอนซูพูด
“ไม่หรอกครับ ผมไม่ได้อยากเจอใคร..”
สิ่งที่ซูฮยอนต้องการไม่ใช่คน แต่เป็นดันเจี้ยนต่างหาก
เขายังไม่สะดวกบอกรายละเอียดให้กับใครเพราะมันยังไม่ถึงเวลา ฉะนั้นเขาจึงเก็บมันเป็นความลับต่อไป แต่ในใจของซูฮยอนกลับมีคำถามอีกข้อที่อยากถาม…
“แล้วถ้าผมอยากโจมตีดันเจี้ยนที่สหรัฐอเมริกา พอจะเป็นไปได้ไหม?”
ถ้าทำไม่ได้ ซูฮยอนคงต้องลักลอบเข้าไปแทน แต่หากสิทธิประโยชน์ของแรงค์ S สามารถอำนวยความสะดวงอย่างที่ซูฮยอนจินตนาการไว้ได้จริงๆ มันจะกลายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น……
“อืม..ฉันคิดว่าน่าจะได้นะ”คิมฮยอนซูพูด
“จริงเหรอครับ?”
“ส่วนใหญ่ในหมู่ประเทศด้วยกัน ไม่ว่านายจะไปไหน แรงค์ S ของนายก็เปรียบเสมือน VVIP อีกอย่าง ผู้ตื่นขึ้นของสหรัฐอเมริกาคงไม่กล้าปฏิเสธความหวังดีของนายหรอก แต่ฉันขอไม่ยืนยันนะว่าหลังจากโจมตีดันเจี้ยนเสร็จ นายจะได้เงินหรือป่าว”
“ผมไม่สนเรื่องเงินอะไรพวกนั้นอยู่แล้ว”
การโจมตีดันเจี้ยนคือเป้าหมายหลักของเขา ส่วนเรื่องเงินเป็นเพียงแค่ผลตอบแทน ถึงจะไม่ได้เงิน เขาก็หาเงินจากวิธีอื่นได้อยู่ดี
<<เฮ้อ ค่อยโล่งใจหน่อย>>ซูฮยอนคิด
กลายเป็นว่าหลังจากออกมาประเมินแรงค์ใหม่อีกครั้ง เขาก็สามารถใช้สิทธิประโยชน์ของแรงค์ S ได้ทันที คิดถูกจริงๆที่ซูฮยอนตัดสินใจมากประเมินแรงค์ใหม่ เพราะอย่างน้อยมันก็ไม่เสียเวลาเปล่า
“ซูฮยอนอยู่ห้องไหน? ทำไมไม่รับมือถือ”
เสียงตะโกนด้วยความร้อนล้นของลีจุนโฮดังออกมาจากโถงทางเดิน ในช่วงเวลาออกบัตรใบใหม่ของซูฮยอน ลีจุนโฮขอตัวไปด้านนอกเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์…..แต่เขาก็ไปได้ไม่นาน ก่อนกลับมาพร้อมกับเสียงตะโกน…
<<อ่า….ลืมไปซะสนิท ฉันปิดเสียงมือถือเอาไว้ ตอนอยู่หน้าสำนักงานนี่นา>>
สาเหตุที่ซูฮยอนต้องปิดเสียงมือถือเอาไว้ เพราะเขาไม่อยากให้เสียงแจ้งเตือนจากมือถือ มารบกวนสมาธิ เขาเลยต้องปิดมันไว้…
ซูฮยอนยกมือขึ้นมาเกาหัวด้วยความสำนึกผิด ก่อนเดินออกไปจากห้องรับรอง….