ตอนที่ 66
เป็นเวลานานเหมือนกันที่ซูฮยอนและชินซูย็องไม่ได้มาทานอาหารร่วมกัน เพราะตารางงานของซูฮยอนมันแน่นเกินไป จนหาเวลาว่างไปเจอเธอไม่ได้ แต่ในเมื่อตอนนี้ซูฮยอนมีเวลาว่างเขาจึงไปรับเธอมาทานอาหารด้วยกัน..
“แม่ยังอยากทำงานต่อไปอีกเหรอครับ?”
คำพูดของซูฮยอน ทำให้มือของชินซูย็องที่กำลังพลิกเนื้อย่างหยุดลงอย่างกะทันหัน
เธอจ้องมองลูกชายก่อนพูด “ถ้าให้แม่หยุด แล้วจะให้แม่ทำอะไร”
“แม่หยุดไปนอนอยู่บ้านเฉยๆก็ได้ แม่ก็รู้ว่าลูกชายของแม่หาเงินได้เยอะกว่าเมื่อก่อนมาก แม่ควรหยุดพักผ่อนแล้วคอยมีความสุขกับผลงานของลูกชายไม่ดีกว่าเหรอ”
“ไม่ดีกว่า ขอบคุณสำหรับความห่วงใยนะลูกชาย ถ้าลูกเกิดบาดเจ็บขึ้นมาจนทำงานไม่ได้ แล้วแม่จะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงดูตัวเองล่ะ จริงไหม”
“แม่หักโหมงานมากเกินไปไหม”
“ไม่หรอก ชีวิตคนเรามันไม่แน่นอน จะตายวันตายพรุ่งหรือป่าวไม่รู้ ฉะนั้นทำให้สิ่งที่ตัวเองรักไม่ดีกว่าเหรอ อีกอย่างกิจการส่วนตัวของแม่ก็เป็นไปได้ด้วยดี กำไรที่แม่ทำได้เยอะกว่าตอนที่แม่รับจ้างซะอีก”
แม้ว่ากิจการส่วนตัวของชินซูย็องจะเปิดบริการได้ไม่นาน แต่ทุกอย่างก็เป็นไปได้อย่างราบลื่น
เพราะเธอสามารถรับมือกับลูกค้าได้ทุกเพศทุกวัย โชคดีที่ก่อนเธอจะมีกิจการส่วนตัว เธอเคยทำอาชีพรับจ้างเฝ้าร้านมาก่อน ทำให้เธอมีประสบการณ์รับมือกับลูกค้าหลายประเภท…
ซูฮยอนและชินซูย็องพูดคุยกันตามประสาแม่ลูก ก่อนที่ซูฮยอนจะพาเธอไปส่งที่บ้าน…
เมื่อซูฮยอนกลับมาถึงห้องพัก พระอาทิตย์ก็เริ่มลาลับขอบฟ้าไป
ภายในห้องนั่งเล่นที่เคยเต็มไปด้วยรอยเลือด ตอนนี้กลับสะอาดสะอ้านเหมือนใหม่
ดูเหมือนในช่วงเวลาที่ซูฮยอนออกไปทำธุระด้านนอก พนักงานทำความสะอาดคงมาจัดการเคลียร์ห้องพักให้เขา…
<<ถึงเวลาต้องไปชั้นที่ 21 แล้วสินะ>>
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาก ซูฮยอนสามารถปีนป่ายหอคอยแห่งการทดสอบได้ 20 ชั้น
โดยเฉลี่ยแล้ว ภายในระยะเวลา 1 ปี เขาสามารถปีนป่านหอคอยได้ 10 ชั้นต่อปี….
ถ้าเทียบกับในอดีตความเร็วในการปีนป่ายหอคอยของซูฮยอนช้าลงมาก เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาเลือกระดับความยากสูงสุด ทำให้กว่าซูฮยอนจะผ่านไปได้แต่ละชั้น กินเวลาไปนานพอสมควร…
แม้จะเสียเวลา แต่ผลตอบแทนที่ได้กลับมา ก็ทำให้ซูฮยอนมาถึงแรงค์ S ได้ในที่สุด…
ซูฮยอนเดินไปหยิบไอเทมชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์ของฟอลเคินขึ้นมาสวนใส่ ก่อนเหน็บดาบแกรมไว้ข้างเอว
เขายกมื้อขึ้นมาไว้ด้านหน้าก่อนตั้งสมาธิ ไม่นานประตูเข้าสู่หอคอยก็ปรากฏขึ้น ซูฮยอนค่อยๆเดินเข้าไปในประตู จนร่ายกายโดนแสงสว่างจากประตูกลืนกิน
**************
โลกในชั้นที่ 21
ซูฮยอนใช้คะแนนความสำเร็จที่เหลืออยู่ชื่ออาหารและโพชั่นไปทั้งหมด
สาเหตุที่คะแนนความสำเร็จของซูฮยอนเหลืออยู่น้อย เพราะก่อนหน้านี้เขาหมดมันไปกับโพชั่นเร่งปฏิกิริยาระดับสูงสุดและแบบฟอร์มขออนุญาตเอาอาวุธจากหอคอยแห่งการทดสอบออกไปด้านนอก….ทำให้คะแนนความสำเร็จของเขาหมดไปอย่างรวดเร็ว
ซูฮยอนรู้สึกขมขื่นเล็กน้อย จากคนที่เคยล่ำซำกลับกลายเป็นคนถังแตกได้ในชั่วพริบตา
คะแนนความสำเร็จที่เหลืออยู่มันไม่พอซื้อของใช้อย่างอื่นเลยสักนิด นอกจากอาหารและโพชั่น..
<<อาหารน่าจะตุนไว้พอแล้ว>>
หากถามว่าทำไมซูฮยอนถึงต้องตุนอาหารไว้ เพราะเขาเตรียมเอาไว้ยามเจอเหตุการณ์ฉุกเฉิน
สมมุติเจอบททดสอบที่แสนลากเลือด เขาจะได้ไม่ตายเพราะขาดอาหาร
สำหรับซูฮยอน เขามีความมั่นใจว่า ด้วยความสามารถของตัวเองเอา เขาไม่มีทางตายเพราะเรื่องอดอาหารแน่นอน แต่เตรียมเอาไว้ก็ไม่เสียหายอะไร
<<เพื่อกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ฉันต้องรีบจัดการบททดสอบให้เสร็จเร็วๆ>>
ด้วยความแข็งแกร่งของซูฮยอน ชั้นที่ 21 ไม่น่าจะเป็นปัญหามากนัก แม้เขาจะเลือกระดับที่ 10 ก็ตาม
หากซูฮยอนอยากไปในชั้นที่สูงยิ่งขึ้น ตัวเขาในปัจจุบันควรมองข้ามความสมบูรณ์แบบ
แล้วไปโฟกัส การผ่านชั้นของหอคอยแห่งการแทน ถ้าซูฮยอนมองข้ามความสมบูรณ์แบบ ชั้นที่เขาต้องอยู่ไม่ใช้ชั้นที่ 21 แน่ๆ แต่ผลตอบแทนที่ได้รับ ก็อาจทำให้เขาตามหลังคนอื่นๆไม่ทัน….
ฉะนั้นซูฮยอนจะไม่รีบเพราะเขาอยากทำผลงานออกมาให้ได้ดีที่สุด เหมือนคำสุภาษิตที่ว่า ช้าๆได้พร้าเล่มงาม….
ซูฮยอนเก็บของทั้งหมดลงไปในคลังเก็บของ ก่อนเดินไปลานกว้างของชั้นที่ 21
เมื่อซูฮยอนเดินเข้าไปให้ประตูมิติที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ดวงตาของเขาก็พล่ามัวและเสียงข้อความที่คุ้นเคยก็ดังออกมา
[คิมซูฮยอน การทดสอบของชั้นที่ 21 กำลังเริ่มขึ้น]
[โปรดเลือกระดับความยากของคุณ]
“ระดับที่ 10”ซูฮยอนเลือกระดับเหมือนเดิม
[การทดสอบชั้นที่ 21 ระดับที่ 10 กำลังเริ่มขึ้น]
หลักจากสิ้นเสียงภูมิทัศน์ด้านหน้าก็เปลี่ยนไป รอบๆตัวของซูฮยอนเต็มไปด้วยป่าไม้และพืชพรรณธรรมชาตินานาชนิด แต่แปลกที่บรรยากาศรอบๆกลับเต็มไปด้วยความเงียบสงบ แม้แต่เสียงนกร้องยังไม่มี
เมื่อซูฮยอนลองสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบ เขาก็ไม่เขาใจอยู่ดีว่าระบบต้องการให้ทำอะไร ฉะนั้นเขาจึงยืนรอข้อความชุดต่อไป….
[การทดสอบเริ่มขึ้น]
[ทหารรับจ้างแห่งอาณาจักรบอลข่าน พวกทุกคนมีความสามารถพิเศษหรือเรียกอีกอย่างว่าผู้ตื่นขึ้น สาเหตุที่พวกเขามายังป่าที่แสนเงียบสงบแห่งนี้ เพราะดันเจี้ยน เป้าหมายหลักของพวกเขาคือการโจมตีดันเจี้ยนที่โผล่ขี้นมาให้ป่า แต่หารู้ไม่ว่าดันเจี้ยนแห่งนี้กลับเต็มไปด้วยความอันตราย]
[คุณมีนามแฝงว่า วาร์ริค หน้าที่ของคุณคือการทำงานเป็นทีมเพื่อพิชิตดันเจี้ยนพร้อมกับสหายร่วมศึก]
[รางวัลที่คุณจะได้ ขึ้นอยู่กับความสำเร็จของคุณ]
เมื่อซูฮยอนไล่อ่านข้อความตั้งแต่ต้นจนจบเขาก็สรุปได้ทันทีว่า เหตุใดตัวเขาถึงมาโผล่กลางป่าเช่นนี้
แม้ซูฮยอนจะต้องมารับบทบาทเป็น วาร์ริค แต่รูปร่างหน้าตาของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไป ทั้งเสื้อผ้า หน้าผม หรือแม้แต่อาวุธ ทุกอย่างอยู่ครบหมด ที่เปลี่ยนไปมีแค่นานแฝงเท่านั้น
<<นี่คือสิ่งที่ระบบอยากให้ฉันทำสินะ>>
เนื้อหาการทดสอบเหมือนมันจะไม่อยากเท่าไหร่ เพราะมันก็คล้ายๆกับการพิชิตดันเจี้ยนในโลกแห่งความเป็นจริง…
ส่วนความสำเร็จที่ระบบบอก ซูฮยอนคิดว่าระบบคงประเมินจากความเร็วในการพิชิตดันเจี้ยนและจำนวนมอนสเตอร์ที่ถูกสังหารก็เป็นได้…
<<แล้วเพื่อนของฉันอยู่ล่ะ….>>
“เฮ้ วาร์ริค”
ในจังหวะที่ซูฮยอนกำลังนึกถึงเพื่อนร่วมกลุ่ม เขากลับไปยินเสียงคนตะโกนเรียกจากด้านหน้า….
เมื่อลองมาพิจารณาคำอธิบายของระบบ เหมือนในสายตาของทุกคนจะเห็นซูฮยอนเป็นทหารรับจ้างวาร์ริค จริงๆ
ซูฮยอนรีบเดินไปตามเสียง เพื่อไปพบกับเพื่อนๆ….
“วาร์ริค ทำอะไรอยู่ มาช้ามาก”
ด้านหน้าของซูฮยอน มีคนรออยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 คน
ในกลุ่มคนที่รออยู่ ชายหนุ่มร่างยักษ์รีบเดินมาหาก่อนถามด้วยความเป็นห่วง “ไปไหนมา ไหนบอกขอตัวไปยิงกระต่ายแปบเดียว ทำไมถึงนานขนาดนี้ รู้ไหมว่า พวกเรานึกว่านายหลงป่าไปแล้ว”
“ฉันขอโทษ พอดีเผลอชมนกชมไม้ข้างทางนานไปหน่อย ขออภัยด้วย”
ด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบ อยู่ๆหัวสมองของซูฮยอนก็นึกชื่อของพวกเขาออก
<<เคซฮุนไรน์ ฮาวลา ไอลี>>
ชาย 2 คน กับ ผู้หญิง 1 คน ไม่สิ ถ้ารวมซูฮยอนไปด้วย ในกลุ่มตอนนี้มีชายอยู่ด้วยกันถึง 3 คน
ชายร่างยักษ์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆกับซูฮยอน มีชื่อว่า เคซฮุนไรน์ เขาเป็นหัวหอกหลักของกลุ่มและยังเป็นคนที่มีชีวิตชีวามากที่สุดให้กลุ่มอีกด้วย
ส่วนชายอีกคน ที่บรรยากาศรอบๆเต็มไปด้วยความมืดมน เขาชื่อว่า ฮาวลา แค่สังเกตจากไหล่ ดูเหมือนสัดส่วนร่างกายของเขาจะเตี้ยกว่าซูฮยอนมาก…..
สำหรับทางด้านผู้หญิง เธอมีผมสีทองยาวสะสวยไปจนถึงหัวไหล่ รูปร่างหน้าตาของเธอก็สวยกว่าชาวบ้านทั่วไป มันสวยเกินกว่าที่จะเรียกเธอว่าทหารรับจ้างได้ เหตุที่เธอเด่นกว่าคนอื่นเพราะในอดีตครอบครัวของเธอเคยเป็นถึงตระกูลขุนนาง แต่โชคร้ายตระกูลของเธอกลับล่มสลายก่อนเวลาอันควร หลังจากไม่มีตระกูลให้พึงพา ทำให้เธอต้องออกมาทำงานในฐานะทหารรับจ้างโดยไม่อาจเลี่ยง….
<<อืม…ดูเหมือนการทดสอบครั้งนี้จะไม่ค่อยยากเท่าไหร่แฮะ>>
แม้จะมีข้อแต่ต่างหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องยุคหรือเรื่องวัฒนธรรม แต่สิ่งที่กล่าวมาก็ไม่ได้ต่างกับยุคปัจจุบันมากนัก เพราะเป้าหมายที่เพื่อนๆในกลุ่มเล็งไว้คือการพิชิตดันเจี้ยน..
แค่ดูจากปัจจัยภายนอก ดูเหมือนกลุ่มของซูฮยอนก็ไม่ได้อ่อนด้อยขนาดนั้น
เพราะระดับฝีมือของทุกคนไม่ได้แย่เลย พวกเขามีพลังเทียบเท่า ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ B ในโลกแห่งความจริง
แต่คนที่โดดเด่นมากที่สุดคงเป็นไอลีเพราะซูฮยอนสัมผัสได้ว่าออร่าพลังเวทย์ของเธอมีความเข้มข้นใกล้เคียงกับแรงค์ A อีกแค่ไม่กี่ก้าวเธอคงมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับแรงค์ A อย่างไม่ต้องสงสัย..
ถ้าหากพวกเขาร่วมแรงร่วมใจกัน การโจมตีดันเจี้ยนคงผ่านไปได้ด้วยดี
แต่ทำไมระบบถึงบอกว่าให้ระวังอันตรายจากดันเจี้ยนกัน?
<<หรือดันเจี้ยนที่ว่า จะไม่ใช่ดันเจี้ยนธรรมดา?>>
ถึงแม้ภารกิจที่ระบบให้ทำจะฟังดูง่ายๆ แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะเขาเลือกทดสอบระดับที่ 10….
****************
ระหว่างทางไปดันเจี้ยน ซูฮยอนเดินอยู่รั้งท้ายสุด ตลอดการเดินทาง เคซฮุนไรน์ พูดคุยกับซูฮยอนด้วยความเป็นมิตร….แต่นานๆไปเขาก็เริ่มรําคาญขึ้นมา
เดินมาได้ประมาณครึ่งวันในที่สุดพวกเขาก็มาถึงสถานที่ตั้งของดันเจี้ยนสักที ดันเจี้ยนที่ว่ารายล้อมไปด้วยภูเขาสูงชัน…
“นั่นไง เจอแล้ว”เคซฮุนไรน์ตะโกนบอกเพื่อนๆด้วยสีหน้าดีใจ
ฮาวลาที่นิ่งเงียบมาตลอดทางกลับจ้องมองไปที่ดันเจี้ยนก่อนบ่นพึมพำออกมา “ไม่นาเชื่อว่าในป่าที่รกทึบเช่นนี้ จะมีดันเจี้ยนโผล่ขึ้นมาได้”
จนมาถึงตอนนี้ซูฮยอนก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าทำไมคนที่ร่าเริงอย่างเคซฮุนไรน์ถึงมาบรรจบกับฮาวลาได้ เพราะพวกเขาทั้งคู่มีนิสัยต่างกันเกินไป อีกคนดูเป็นมิตรจนน่ารำคาญ ส่วนอีกคนก็มืดมน จนน่ากลัว….
“ไม่ต้องคิดมากให้เสียเวลา หากพวกเราสามารถเคลียร์มันได้ เงินที่รอเราอยู่คงใช่ได้สบายไปอีกหลายเดือน จริงไม่สหาย”เคซฮุนไรน์หันหน้าไปถามซูฮยอน
ซูฮยอนผู้อยู่หลังสุดก็ได้แต่พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเคซฮุนไรน์ “ใช่ เห็นด้วย”
เมื่อซูฮยอนพูดจบ เขาก็หันไปมองหน้าของไอลี เพราะตลอดทางเธอไม่พูดเลยสักคำ ซูฮยอนอยากรู้จริงๆว่าน้ำเสียงของเธอจะไพเราะเหมือนกับหน้าตาหรือเปล่า…
“เป็นอะไรไป อย่าบอกนะว่าเจ้ากำลังตกหลุมรักไอลีอยู่?”เมื่อเคซฮุนไรน์เห็นว่าซูฮยอนจ้องมองไปที่ไอลี เขาจึงก้มหน้าลงไปกระซิบข้างหูของซูฮยอนเบาๆ
“ฮ่าๆ ฮ่าๆ อย่าทำสีหน้าแบบนั้นสิ ฉันก็แค่หยอกเล่น นายก็รู้นิสัยประจำตัวขอฉันดีไม่ใช่เหรอ แต่จะว่าไปเธอก็เป็นคนที่สวยจริงๆนะ แม้พวกเราจะร่วมทีมกันได้ไม่นาน แต่ความสามารถของเธอก็เป็นของจริง”
ไอลี เข้าร่วมกลุ่มกับพวกเขาเป็นคนสุดท้าย แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขากับเธอก็เข้าขากันได้เป็นอยากดี
ปฏิเสธไม่ได้ว่าสมาชิกทุกคนภายในทีม เธอคือคนที่แข็งแกร่งมากที่สุด…
“นายคิดเหมือนฉันหรือป่าวว่า คิดถูกจริงๆที่รับเธอเข้าร่วมกลุ่ม แม้ว่าเธอจะเงียบขรึมไปหน่อย แต่ความสวยก็ของเธอก็เป็นอาหารตายามว่างได้ อย่างน้อยเธอก็ยังดีกว่าไอ้มืดมนฮาวลาอีก”
“นั่นสินะ นายพูดถูก”ซูฮยอนตอบไปด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ จนทำให้เคซฮุนไรน์มองเขาด้วยความตกใจ
ซูฮยอนหันไปมองหน้าของเคซฮุนไรน์และถาม “มีอะไรหรือป่าว?”
“ไม่มีอะไร ก็แค่รู้สึกว่ามีบ้างอย่างแปลกๆไป”
“อะไรที่ว่าแปลกไป?”
“เอ่อ….ฉันหมายถึง นายนั้นแหละ เมื่อก่อนฉันก็นึกว่านายแอบชอบไอลีซะอีก แต่เหมือนจะไม่ใช่อย่างที่คิด ไม่น่าเชื่อจริงๆว่าคนที่ตกผู้หญิงเป็นว่าเล่นอย่างนายจะ มองข้ามไอลีนไปได้”
“ระวังปากของนายเอาไว้บาง ถ้าหากผู้หญิงมาได้ยิน มีหวังเลือดกบปากแน่ๆ”
ซูฮยอนพูดออกไปด้วยน้ำเสียงปกติ พร้อมพยายามทำตัวให้เหมือนไม่มีอะไรเกินขึ้น…..
<<เฮ้อ…แกล้งปลอมตัวเป็นคนอื่น มันยากจริงๆ ไม่แปลกทำไมเคซฮุนไรน์ ถึงนึกว่า วาร์ริค เปลี่นไป>>
ในอดีตซูฮยอนก็เคยรับบทเป็นตัวละครอื่นเช่นกัน แต่ทุกครั้งที่ซูฮยอนต้องมาปลอมตัว เขาก็ตระหนักว่าการแสร้งเป็นคนอื่นมันอยากเกินไปสำหรับเขา
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สนใจ เพราะยังไงภารกิจของซูฮยอนคือการโจมตีดันเจี้ยนต่างหาก ไม่ใช่ปลอมตัวให้เนียนสักหน่อย…
การจองมองของเคซฮุนไรน์ทำให้ซูฮยอนรู้สึกอึกอัดเล็กน้อย แต่ซูฮยอนก็เมินเฉยต่อมันอยู่ดี
เขาปล่อยให้เคซฮุนไรน์ เก็บเอาไปคิดเอง……
“อืม…..”
เมื่อเคซฮุนไรน์ได้ยินคำพูดของซูฮยอน เขาก็ครุ่นคิดอะไรบ้างอย่างก่อนพูด “กาลเวลาเปลี่ยน คนย่อมเปลี่ยนตามสินะ”
ซูฮยอนไม่อยากเสียเวลาไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคือการผ่านภารกิจในเร็วที่สุด….ทำให้ซูฮยอนปล่อยให้เคซฮุนไรน์จินตนาการเอาเอง
“นี่ทุกคน ดันเจี้ยนที่พวกเรากำลังไปกัน ใช่ดันเจี้ยนระดับสีเหลืองหรือป่าว”
ไอลีที่เงียบตลอดทาง กลับพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ตามจริงดันเจี้ยนระดับสีเหลืองเป็นเรื่องที่ยากมากๆสำหรับผู้ตื่นขึ้นแรงค์ B อย่างพวกเขาสี่คน
ถ้าหากได้ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ A มาค่อยช่วยเหลืออีกสักคน อาจทำให้การโจมตีดันเจี้ยนผ่านไปได้ด้วยดีก็ได้….แต่มันไม่มีนี่สิ
“ไม่รู้สิ แต่ไม่ต้องห่วง พวกเรามีตัวแบกอย่าง ไอลี อยู่ ถ้ามันยากจริงๆเราหนีออกมาก็ได้”เคซฮุนไรน์พูด
“นายรู้หรือป่าวว่ามีคนตายในดันเจี้ยนเพราะความโลภมานักต่อนัก เพราะพวกเขาประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไป ถ้าไม่ไหวจริงห้ามเข้าไปเลยดีกว่า ฉันละไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมนายถึงกลายมาเป็นหัวหน้ากลุ่มได้”
“ฮาวลา!!!”ไอลีตะโกนบอกให้ฮาวลาหยุดพูด
เมื่อฮาวลาโดนดุเขาก็หันไปบ่นพึมพำกับตัวเองเหมือนอย่างตอนแรก..
ดูเหมือนสมาชิกในทีมทุกคนจะมีความคิดที่แตกต่างกันไป..
ไอลี กำลังชั่งน้ำหนักตัวเลือกของเธอว่าควรทำอะไรต่อไป
ด้านเคซฮุนไรน์ ก็อยากลองท้าทายดันเจี้ยนเต็มที
ส่วนทางฮาวลา ถ้าเลือกได้ เขาไม่อยากเอาชีวิตไปเสี่ยงเลยจริงๆ
“งั้นนายคิดว่าไง วาร์ริค”
ซูฮยอนหันไปมองหน้าไอลีก่อนตอบด้วยความจริงจัง “มาถึงขนาดนี้ ก็ต้องลองดูสักตั้ง”
“สมกับเป็นลูกผู้ชาย”เคซฮุนไรน์พูด
มีคนเห็นด้วย 2 คน กับ ไม่เห็นด้วยอีก 1 คน สำหรับไอลีเธอยังไงก็ได้
ให้เมื่อผลโหวตเป็นเอกฉันท์ พวกเขาก็ทำได้แค่เดินหน้าต่อไป
กลุ่มของซูฮยอนจึงพากันเดินเข้าไปในดันเจี้ยนที่ตั้งอยู่ด้านหน้า คนที่อารมณ์ดีที่สุดก็คงหนี้ไม่พ้นซูฮยอนกับเคซฮุนไรน์
เมื่อเดินลึกเข้ามาได้พอประมาณ โถงทางเดินภายในถ้ำ กลับทอดยาวออกไปจนมองหาจุดสิ้นสุดไม่ได้
ลมหนาวภายในถ้ำพัดออกมากระจบกับใบหน้าของพวกเขา เหมือนสายลมพยายามเตือนอะไรสักอย่าง
แม้แต่เคซฮุนไรน์ผู้ร่าเริงที่สุดยังแสดงท่าทีหวาดกลัวออกมา “ทำไมบรรยากาศมันถึงน่าขนลุกขนาดนี้นะ”
แต่ก่อนที่เคซฮุนไรน์จะพูดจบประโยค ร่างกายของเขากลับโคลงเคลงไปมาเหมือนขาไม่มีแรง
ซูฮยอนเห็นว่าเคซฮุนไรน์เริ่มยืนไม่ไหว เขาจึงเดินไปพยุงแขนของเคซฮุนไรน์เอาไว้
“เป็นอะไร?”ซูฮยอนถามด้วยความเป็นห่วง
ไม่ใช่แค่เคซฮุนไรน์เท่านั้นที่สั่นกลัว แม้แต่เพื่อนร่วมทีมที่อยู่ด้านหลังก็มีอาการคล้ายๆกัน
“กระดูกเหรอ?”เมื่อสายตาของซูฮยอนมองลึกไปยังเบื้องหน้า กลับพบว่าตามพื้นมีเศษกระดูกนอนเรียงรายเต็มไปหมด เขาจึงตัดใจลองเดินเข้าไปสำรวจใกล้ๆ เพื่อเช็คดูว่ามันเป็นโครงกระดูกจริงหรือป่าว
“อืม…ลองดูจากโครงสร้างของกระดูก มันเหมือนกับกระดูกของมนุษย์จริงๆ”
เคซฮุนไรน์ผู้มีสติมากกว่าคนอื่น…ใช้ใบหน้าที่ซีดขาวมองดูการกระทำของซูฮยอนด้วยความเหลือเชื่อ
การแสดงออกของเพื่อนร่วมกลุ่มทุกคนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่แสดงอาการอะไรออกมาเลย คนผู้นั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากซูฮยอน
ใบหน้าของซูฮยอนเต็มไปด้วยความเมินเฉย เหมือนเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นเรื่องปกติทั่วไป…