ตอนที่ 74
หลังจากลีจุนโฮเคลียร์ชั้นหอคอยแห่งการทดสอบเสร็จเป็นที่เรียบร้อย นักข่าวจากสำนักต่างๆ ก็รุมโทรมาหาเขาจนสายแทบไหม้…ประเด็นหลักๆที่นักข่าวให้ความสนใจคงหนีไม่พ้นเรื่องเกี่ยวกับซูฮยอน
เรื่องที่นักข่าวอยากรู้มากที่สุด เป็นเรื่องที่ซูฮยอนและกิลด์ริปเปอร์ตกลงเซ็นสัญญาร่วมมือกัน…ไหนจะเรื่องการพบกันอย่างลับๆระหว่างซงฮย็องกิอีก..
ทุกสิ่งที่กล่าวมากระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของฝูงชนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีพัฒนาไปไกล ทำให้ข่าวสารแพร่กระจายไปอย่างเร็ว ข่าวที่ทุกคนในการจับตามองมากที่สุด เป็นข่าวเกี่ยวกับซงฮย็องกิ เพราะข่าวการพบกันระหว่างซูฮยอนและซงฮย็องกิร้อนแรงถึงขนาดติดชาร์ตอันดับ 1 ของทุกสำนัก เหตุผลหลักๆที่พวกเขาในความสนใจเป็นเพราะซงฮย็องกิแทบไม่ออกไปพบปะกับใครเลย…แต่ครั้งนี้เขากลับออกไปพบกับซูฮยอนด้วยตัวเอง
นอกจากสำนักข่าวที่ค่อยเฝ้าติดตามทำข่าวอย่างใกล้ชิด ยังมีกิลด์ชื่อดังอีกหลายแห่งที่แอบเก็บข้อมูลด้วยเหมือนกัน เพราะหากทั้ง 2 คนตกลงร่วมมือกัน ด้วยความแข็งแกร่งที่พวกเขาครอบครอง อาจมีศักยภาพเทียบเท่ากับกิลด์ใหญ่ๆ 1 แห่งได้สบายๆ….
“เฮ้อ…เขาไม่รับสายของฉันอีกแล้ว ให้ตายสิ”
ในขณะที่ลีจุนโฮกำลังเดินไปตามห้องโถงของสำนักงาน เขาก็โทรไปหาซูฮยอนตลอดทาง
เขาโทรไปมากกว่า 10 สาย แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับ ต้องขอขอบคุณฮักจุนที่บอกว่าซูฮยอนอยู่ไหน ไม่เช่นนั้นเขาไม่มีทางรู้ที่อยู่ของซูฮยอนได้แน่
“ทำไมซูฮยอนถึงไม่ยอมหยุดพักมั่งนะ ฉันละไม่เข้าใจจริงๆ”
ในสายตาประชาชนทั่วไปยอมรับซูฮยอนเป็นผู้ตื่นขึ้น แรงค์ S อย่างไม่ต้องสงสัย
แรงค์ S คือตัวตนที่อยู่บนยอดสูงสุดของพีระมิด ลีจุนโฮไม่เขาใจจริงๆว่าทำไมซูฮยอนถึงไม่ยอมใช้เงินที่เก็บรวมร่วมไว้ ไปเที่ยวพักผ่อนที่ต่างประเทศและสนุกไปกับชีวิตวัยรุ่นบาง…
แต่เหมือนสมองของซูฮยอนจะเติบโตเร็วเกินไปจนยอมละเลยชีวิตวัยรุ่น หลังจากพักได้ 1-2 วัน ซูฮยอนก็ขออนุญาตทางสำนักงานยืมห้องฝึกซ้อมใต้ดิน เพื่อเตรียมความพร้อมในการเผชิญหน้ากับดันเจี้ยน..
<<ซูฮยอนคงเป็นเพียงคนเดียวที่ใช้สิทธิ์พิเศษของแรงค์ S เพื่อยืมห้องฝึกซ้อม>>
คนนอกอาจมองว่าคำขอของซูฮยอนเป็นคำขอที่ไร้สาระ แต่สำหรับเจ้าตัวมันอาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วก็ได้…
แรงค์ S เป็นสิ่งที่ลีจุนโฮหมายปองและพยายามไปให้ถึงฝั่งฝัน หากเขาได้อยู่ในตำแหน่งแรงค์ S เขาไม่มีทางใช้สิทธิ์พิเศษเพื่อยืมห้องฝึกซ้อมแน่ๆ จะว่ายังดีลีจุนโฮอดนับถือที่ซูฮยอนไม่ได้ ที่ยอมละทิ้งชีวิตวัยรุ่นเพื่อแสวงหาความแข็งแกร่ง…
ปัง ปัง ปัง
ยิ่งลีจุนโฮเดินเข้าไปใกล้ห้องฝึกซ้อม เสียงแรงระเบิดของลม ก็ดังออกมายังโถงทางเดินด้านนอก…
ลีจุนโฮค่อยๆเปิดประตู ภาพแรกที่เขาเห็นคือ ตามพื้นห้องฝึกซ้อมเต็มไปด้วยแผ่นหินที่แตกละเอียด แผ่นหินที่ว่า เป็นสิ่งของที่ใช้ประเมินความสามารถของซูฮยอนเมื่อไม่นานมานี้..
เปรี้ยง
เศษแผ่นหินที่พึ่งแตกละเอียดบินเฉียดผ่านใบหน้าของลีจุนโฮไป หากเขาเดินไปข้างหน้าอีกก้าวเดียว มีหวังใบหน้าของเขาได้เสียโฉมแน่…
“อ้าว? มาถึงตั้งแต่ตอนไหนกัน?”ซูฮยอนที่ยืนอยู่ท่ามกลางแผ่นหินหันไปถาม..
ลีจุนลูบหน้าอกของด้วยเองด้วยความโล่งอก ก่อนหันไปตอบ “เกือบไปแล้วเรา หนุ่มน้อย นายวางแผนจะฆ่าฉันใช่ไหม?”
หลังจากซูฮยอนและลีจุนโฮติดต่อพูดคุยกันบ่อยๆ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างซูฮยอนและลีจุนโฮเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น จะบอกเป็นเหมือน พี่ น้อง ก็ไม่ผิด…ตั้งแต่ลีจุนโฮช่วยเหลือซูฮยอนเมื่อคราวก่อน ทำให้ซูฮยอนถึงนับถือลีจุนโฮเป็นเหมือน [พี่ใหญ่] ของกลุ่มตั้งแต่วันนั่นเป็นต้นมา..
พวกทั้งคู่รู้จักกันมาได้ประมาณ 2 ปี ทำให้พวกเขาไว้ใจซึ่งกันและกัน จะบอกว่าลีจุนโฮเป็นสหายที่ซูฮยอนไว้ว่างใจมากที่สุดก็ได้ เพราะไม่ว่าซูฮยอนจะเดือดร้อนหรือต้องการความช่วยเหลือ ลีจุนโฮเป็นคนแรกๆที่ซูฮยอนมักคิดถึง….ไม่ว่าซูฮยอนจะไหว้วานให้ลีจุนโฮไปจัดการธุระสำคัญหน่อย เขาก็ไม่เคยปริปากบ่นสักครั้ง แถมยังไม่เคยหวังผลตอบแทนอีก…
“ใช่ซะที่ไหน นายไม่ตายง่ายๆ เพราะเศษหินเล็กๆหรอก หากมันโดนนายจริงๆ มันก็แค่ปวดแสบปวดร้อนนิดหน่อยเอง”
เมื่อลีจุนโฮได้ยินคำตอบของซูฮยอน เขาก็เลื่อนสายตาไปมองเศษหินที่กองอยู่ตามพื้น
<<ซูฮยอนบอกว่าฉันจะไม่ตายจากเศษหินงั้นเหรอ…ใครเชื่อก็บ้าแล้ว ขนาดมันบินผ่านหน้าของฉันไป ฉันยังสัมผัสได้ถึงแรงลมที่รุนแรง หากมันบินตรงมาที่ใบหน้าของเขา หัวสมองคงเละเป็นโจ๊กชัวร์ๆ>>
ลีจุนโฮถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ก่อนหันไปเตือนซูฮยอน “ระวังสิ่งรอบข้างของนายบ้าง วันหลังนายล็อกประตูหน่อยก็ดี เพื่อกันเจ้าหน้าที่ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เดินเข้ามาโดนลูกหลง”
“เข้าใจแล้ว คราวหน้าฉันจะระมัดระวังให้มากขึ้น”
“ว่าแต่..ทำไมนายถึงมาฝึกซ้อมอยู่ที่นี้?”
“หยุดอยู่บ้านเฉยๆมันหน้าเบื่อนี่น่า จะให้ไปโจมตีดันเจี้ยนระดับต่ำเพื่อฆ่าเวลา มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ ฉันก็เลยขอยืมห้องฝึกซ้อม เพื่อพัฒนาทักษะของตัวเองสักหน่อย”
“นายนี้มันบ้าความก้าวหน้าตัวพ่อจริงๆ”
“ฮ่า ฮ่า แต่มันช่วยได้มากกว่าที่นายคิดอีกนะ นายก็รู้ว่าหากผู้ตื่นขึ้นต้องการควบคุมพลังเวทย์ให้ช่ำชองและชํานาญ นอกจากการใช้พลังออกมาบ่อยๆ มันไม่มีทางลัดอื่นอีกแล้ว..จริงไหม?”
วิธีทดสอบการควบคุมพลังเวทย์ที่ซูฮยอนเลือกใช้ เป็นวิธีที่เจ้าหน้าที่ของสำนักงานเตรียมไว้ให้สำหรับผู้ประเมินแรงค์ S
หากซูฮยอนสามารถทำลายแผ่นหินได้มากกว่าครั้งแรก มันจะกลายเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการควบคุมพลังเวทย์ของซูฮยอนพัฒนาไปได้อีก 1 ระดับ..
<<จะว่าไป…ในอดีต ฉันก็ใช้วิธีฝึกซ้อมแบบนี้บ่อยเหมือนกัน>>
ตามจริง การฝึกซ้อมเช่นนี้ถูกจำกัดไว้ให้สำหรับ ผู้ตื่นขึ้นกลุ่มเล็กๆ ที่มีผู้มีอำนาจแอบให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเท่านั้น ช่วงแรกๆมันยังเป็นการฝึกฝนที่แสนธรรมดาจนเหมือนการออกกำลังกายทั่วไป แต่ผ่านไปได้สักพัก [ผู้ตื่นขึ้น] ที่ได้ผ่านการฝึกซ้อมต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มันได้ผลดียิ่งกว่าการโจมตีดันเจี้ยนซะอีก ทำให้ผู้มีอำนาจหลายคน ลงมติเห็นชอบ ให้การฝึกซ้อมที่ถูกจำกัดให้กับเฉพาะผู้ตื่นขึ้นที่มีเส้นสาย สามารถใช้ได้ทุกคนไม่ว่าจะเป็น หน้าใหม่ หรือ หน้าเก่า….
ซูฮยอนเดินไปหาลีจุนโฮใกล้ๆก่อนเริ่มพูดอีกครั้ง “จริงสิ ฉันไม่ได้ฝึกซ้อมแค่ควบคุมพลังเวทย์เพียงอย่างเดียวนะ ฉันยังฝึกซ้อมสภาพจิตใจ โดยใช้ภาพล่วงตาอีกด้วย ยังไม่หมดฉันยังฝึกซ้อมร่างกายในแข็งแรงโดย ยกดัมเบลในห้องแรงโน้มถ่วง ตอนนี้ร่างกายของฉัน รู้สึกปลอดโปล่งมากๆ”
“งั้นเหรอ…ฉันเข้าใจแล้ว นายไม่ต้องอธิบายให้ฟังหมดก็ได้ แค่ได้ยินฉันก็เริ่มรู้สึกพะอืดพะอมจนอยากจะอ้วกแล้วเนี่ย” ลีจุนโบกมือไปมาเพื่อส่งสัญญาณให้ซูฮยอนหยุดพูด หากยังฟังต่อไปมีหวังลีจุนโฮได้เป็นบ้าไปก่อนพอดี
<<เขาช่างเป็นคนจริงจังกับความแข็งแกร่งจริงๆ>>ลีจุนโฮคิด
เขาคิดมาตลอดว่าซูฮยอนเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่ยอมเยี่ยม แต่เอาเข้าจริงๆ นอกจากพรสวรรค์ของซูฮยอนแล้ว ยังมีพรแสวงที่ซูฮยอนทุ่มเทให้กับมันตลอดเวลา..
แค่หยุดพักผ่อน 2-3 วันซูฮยอนยังทำไม่ได้ เขากลับเลือกตะบี้ตะบันพัฒนาศักยภาพตัวเองต่อไป..
ซูฮยอนช่างแตกต่างกับ [ผู้ตื่ขึ้น] ทั่วไปจริงๆ หลังจากคนธรรมดาสามารถปลุกพลัง [ผู้ตื่นขึ้น] ได้ พวกเขาส่วนมากแทบไม่กระตือรือร้นต่อการฝึกซ้อมเลยแม้แต่น้อย…สิ่งที่พวกเขาสนใจมีแต่เรื่องเงินๆทองๆเท่านั้น..
คิ้ว คิ้ว คิ้ว
มิรุที่นอนขดอยู่รอบๆคอของซูฮยอนเงยหน้าขึ้นมาทักทายลีจุนโฮ
ลีจุนโฮที่คิดมาตลอดว่า สิ่งที่พันอยู่รอบๆคอของซูฮยอนคงเป็นผ้าพันคอแฟชั่น แต่ที่ไหนได้มันกลับเป็นสิ่งมีชีวิตซะงั้น ทำให้เขาถอยหลังหนีไปพร้อมกับความตกใจ…
“ตกอกตกใจหมด รู้ไหม หัวใจของฉันตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเลยเมื่อกี้ รูปร่างของมันเหมือนกับมังกรเลย มันเป็นมังกรใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว มันชื่อว่ามิรุ”
“มิรุ? นายให้ความสำคัญกับชื่อเกินไปไหม?”
“ไม่หรอก เป็นไงมันน่ารักหรือป่าว?”
คิ้ว คิ้ว
มิรุที่ฟังอยู่พยักหน้าขึ้นลงเหมือนกำลังจะสื่อว่า “พ่อพูดถูก ผมน่ารักที่สุดในโลก”
ลีจุนโฮที่เห็นมังกรน้อยแสดงท่าทีแสนรู้ออกมา เขาอดทึ่งในความฉลาดของมันไม่ได้ เขามองกลับไปกลับมา ระหว่างซูฮยอนและมิรุ..
ซูฮยอนเดินไปหยิบผ้าขนหนูที่ใส่เอาไว้ในกระเป๋าขึ้นมา ก่อนซับเหงื่อบนให้หน้า “จริงสิ นายรู้ได้ไง ว่าฉันอยู่ที่นี่?”
“ฉันโทรถามฮักจุน ว่านายอยู่ที่ไหน ฉันได้ยินมาว่านายตกลงเป็นพันธมิตรกับกิลด์ริปเปอร์ใช่หรือป่าว ไหนจะเรื่องเกี่ยวกับซงฮย็องกิอีก เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ลีจุนโฮถามข้อสงสัยออกไป ในระหว่างที่รอซูฮยอนตอบ เขาก็ค่อยๆเอื้อมมือออกไปอย่างระมัดระวังเพื่อหวังลูบหัวเล็กๆของมิรุ แต่เหมือนมิรุจะไม่ชอบ เพราะเขาสะบัดหัวไปมาด้วยอารมณ์ฉุดเฉียว
ซูฮยอนที่พึ่งซับเหงื่อเสร็จ เริ่มอธิบายเรื่องราวทุกอย่าง “เอาล่ะ…จริงๆแล้วเรื่องราวมันเริ่มต้นจาก…..”
เขาเริ่มต้นเล่าตั้งแต่ความเป็นมาของการร่วมมือระหว่างเขากับกิลด์ริปเปอร์ แน่นอนว่าซูฮยอนไม่ลืมเล่าว่าทำไมเขาถึงต้องนัดเจอกับซงฮย็องกิตัวต่อตัว เวลาที่ซูฮยอนเล่าให้ลีจุนโฮฟัง ใช้เวลาไปแค่ 15 นาทีเท่านั้น เพราะเขาสรุปเอาแต่ใจความสำคัญ…
ความจริงลีจุนโฮก็พอรู้เรื่องราวคร่าวๆมาจากปากของฮักจุนมาบางส่วน ทำให้เขาเข้าใจเรื่องราวที่ซูฮยอนเล่ามาทั้งหมด..
“เข้าใจแล้ว งั้นนายจะโจมตีดันเจี้ยนอีกตอนไหน?”ลีจุนโฮถาม
“อ่อ..กำหนดการออกมาว่า จะเรียกรวมพลในอีก 2-3 วันข้างหน้า”
“ฉันขอไปด้วยได้ไหม?”
“นายจะไปด้วย?”
เหตุผลที่ลีจุนโฮหามาซูฮยอนถึงที่ น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่ๆ
“อย่าเข้าใจฉันผิด ฉันไม่ได้อย่าส่วนแบ่งจากของรางวัลเลยสัดนิด นายก็รู้ดี”ลีจุนโฮรีบอธิบายชี้แจง
“งั้นเหรอ…”
“ฉันแค่ต้องการประสบการณ์ก็พอ โดยเฉพาะกับดันเจี้ยนระดับสูง ฉันยิ่งต้องการเข้าไปใหญ่”
ดันเจี้ยนระดับสูงที่ลีจุนโฮพูดถึง น่าจะหนีไม่พ้นดันเจี้ยนระดับสีเขียว..
<<อืม…ในตอนนี้ ดันเจี้ยนระดับสีเขียว เป็นที่รู้จักโดยทั่วกัน ว่ามันยากที่สุดสินะ>>ซูฮยอนคิด
นับตั้งแต่ดันเจี้ยนสีเขียวถือกำเนิดขึ้นมาครั้งแรก ความถี่ของดันเจี้ยนระดับสีเขียวจะถูกล็อกไว้ที่ประมาณ 1 ครั้ง ต่อ 1 ปี จนถึงปัจจุบันข้อมูลก็ยังอ้างอิงได้อยู่…
แต่การปรากฏของดันเจี้ยนระดับสีเขียวที่กำลังจะมาถึง มันปรากฏออกมาเร็วกว่าเวลาปกติมาก….
ด้วยความถี่ของการเกิดดันเจี้ยนระดับสีเขียวมีน้อยมาก ทำให้จำนวนผู้ตื่นขึ้นที่อาสารับหน้าที่โจมตีดันเจี้ยนระดับสีเขียวมีน้อยตามไปด้วย
คนที่สามารถโจมตีดันเจี้ยนระดับสีเขียวได้ มีแค่กิลด์ระดับบนๆและผู้ตื่นขึ้นที่ทรงพลังเท่านั้น
หากคุณไม่ได้สังกัดอยู่ในกิลด์ระดับสูงหรือไม่ความแข็งแกร่ง โอกาสในการโจมตีดันเจี้ยนระดับสีเขียวคือ 0 เปอร์เซ็นต์
“หากนายบ้าบิ่นอย่างลองของมากขนาดนี้ แสดงว่านายคงแข็งแกร่งขึ้นมากแน่ๆ”
คำพูดของซูฮยอน ทำให้ใบหน้าของลีจุนโฮแสดงความผิดหวังออกมา “ฉันอุตส่าห์วางแผนจะโชว์ออฟ ในนายตกใจซะหน่อย บ้าจริงนายรู้ทันอีกแล้ว”
“แค่เห็นสีหน้าภาคถูมิใจของนาย ฉันก็เดาได้แล้ว จะว่าไปก่อนหน้านี้ นายไม่ได้เข้าทดสอบหอคอยมานานแล้วนี่น่า ใช้เวลาแค่ 2 ปี นายกลับยกระดับตัวเองขึ้นมาได้ ความเร็วในการพัฒนาของนายไม่ได้แย่เลยนะ นับว่าเร็วกว่าผู้ตื่นขึ้นคนอื่นๆมาก”
ออร่าพลังเวทย์ที่ซูฮยอนสัมผัสได้จากตัวลีจุนโฮมีระดับอยู่ที่ 6 แม้ออร่าพลังเวทย์ที่ปล่อยออกมาจากตัวของลีจุนโฮจะแผ่วเบา แต่มันก็ไม่อาจหลบซ่อนจากประสาทสัมผัสที่แสนเฉียบคมของซูฮยอนพ้น..
เหตุผลหลักๆที่ลีจุนโฮแบกหน้ามาพบซูฮยอน เพื่อขอรวมวงโจมตีดันเจี้ยนระดับสีเขียวด้วยคน
เพราะเขาเชื่อว่า พลังที่เขาครอบครองอยู่ตอนนี้ ไม่น่าจะเป็นตัวถ่วงของซูฮยอนอีกต่อไป…
“ไม่ขนาดนั้นหรอก หากไปเปรียบเทียบกับนายและฮักจุน ความเร็วของฉันอย่างกับเต่าคลาน นายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับฉันจริงๆ”ลีจุนโฮพูด
หลังจากเริ่มมีดันเจี้ยนโผล่ขึ้นมาบนพื้นโลก ทำให้ผู้ตื่นขึ้นทุกคนต้องออกมาปฏิบัติหน้าที่โดยการเคลียร์ดันเจี้ยนออกไปจากพื้นโลก จะบอกว่าลีจุนโฮเป็นทหารผ่านศึกที่มีประสบการณ์โชกโชนก็ไม่ผิด….เพราะเขามีประสบการณ์โจมตีดันเจี้ยนหลายประเภท
แม้ลีจุนโฮจะห่างหายไปกับการปีนหอคอย แต่ประสบการณ์ในการโจมตีดันเจี้ยนก็เป็นตัวช่วยทำให้เขาผ่านบทสอบให้หอคอยได้ง่ายๆ
ซูฮยอนบอกว่าการพัฒนาของลีจุนโฮก้าวกระโดดก็จริง แต่มันก็ยังเร็วไม่พอที่จะยืนอยู่บนจุดสูงสุด
แน่นอนว่าแรงค์ที่ลีจุนโฮอยู่ในปัจจุบันน่าจะเป็นแรงค์ A อย่างไม่ต้องสงสัย
แรงค์ A เป็นแรงค์ที่ประชาชนทั่วไปต่างให้ข้อครหา เพราะมันเป็นรองแค่ แรงค์ S เท่านั้น… หากผู้ตื่นขึ้นอยากพิสูจน์ความสามารถว่าตัวเองเหมาะสมกับแรงค์ A จริงๆ คงหนีไม่พ้นการเคลียร์ดันเจี้ยนที่อยู่ตามพื้นโลก..
<<เฮ้อ…ลีจุนโฮไม่น่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับฮักจุนหรือฉันเลยจริงๆ>>
ซูฮยอนกังวลว่า หากลีจุนยังเอาตัวไปเปรียบเทียบกับฮันจุน อาจทำให้ความมั่นใจของเขาลดถอยลง จนความก้าวหน้าพัฒนาได้ไม่เต็มที…ว่ากันตามจริงทั้งตัวของซูฮยอนและฮักจุน เป็น 2 คนที่ลีจุนโฮไม่ควรเอาตัวเองไปเปรียบเทียบ เพราะระดับความสามารถมันต่างกันเกินไป…
ย้อนกลับไปในชีวิตที่แล้ว ซูฮยอนเคยเป็นถึงผู้ตื่นขึ้นที่แข็งแกร่งมากที่สุดในโลก
ฮักจุนก็เองก็ไม่น้อยหน้า เพราะความแข็งแกร่งที่มากล้น จนคนอื่นไม่อาจต่อกร ทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว….
แน่นอนว่าเรื่องที่ซูฮยอนพึ่งเล่าไปจะเกิดขึ้นอีกครั้งในอนาคต…ไม่ว่ายังไงทั้งซูฮยอนและฮักจุนก็หนีความแข็งแกร่งไม่พ้น หากลีจุนโฮยังเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับพวกเขา 2 คน มีแต่จะเสียกำลังใจมากกว่า..
<<หวังว่า เขาคงจัดการกับความคิดของตัวเองได้นะ..>>
อย่างไรก็ตามความทะเยอทะยานของลีจุนโฮที่อยากจะไปให้ถึงแรงค์ S นับว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะเขาจะได้มีแรงผลักดันเพื่อมุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพของตัวเองต่อไปโดยไม่ย่อท้อ…
“ในเมื่อนายอยากโจมตีดันเจี้ยน ฉันก็ไม่ขัดหรอก นานมากเหมือนกันนะที่พวกเราไม่ได้โจมตีดันเจี้ยนด้วยกัน”ซูฮยอนพูด
“เย้!!!! ได้เลย พวกเรามาพยายามด้วยกันเถอะ” หลังจากได้ยินซูฮฺยอนอนุญาต เขาก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
ซูฮยอนเผยรอยยิ้มออกมาหลักจากเห็นลีจุนโฮแสดงอาการเหมือนเด็กน้อยได้ของเล่น เดิมที่ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าของซูฮยอนควรตายไปในดันเจี้ยนเมื่อ 1 ปีที่แล้ว แต่เพราะซูฮยอนทำให้เขารอดชีวิตกลับมาได้ แถมปัจจุบันเขายังอยู่แรงค์ A อีกต่างหาก ที่ขาดไปไม่ได้คือความทะเยอทะยานของเขาที่อยากเป็นผู้ตื่นขึ้น ที่แข็งแกร่งเหมือนกับซูฮยอน..
<<นี้สิที่เรียกว่า โชคชะตาเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง>>
ในเมื่อซูฮยอนมีโอกาสแก้ไขประวัติศาสตร์รอบสอง ทำให้เขามีงานหนักรออยู่อีกเพียบ
แผนการเล็กๆที่ซูฮยอนวางเอาไว้เป็นอย่างแรก คือการรีบพัฒนาศักยภาพของตัวเองให้ได้มากที่สุด
ด้วยความพยายามมาตลอด 2 ปีในที่สุดซูฮยอนก็อยู่ในตำแหน่งแรงค์ S
สำหรับเขา ความแข็งแกร่งในปัจจุบันยังไม่เป็นที่น่าพอใจ หากเขาแข็งแกร่งมากกว่านี้ เขาคงเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้ง่ายกว่านี้..
อย่างไรก็ตาม…ซูฮยอนรู้อยู่แล้วว่าด้วยตัวเขาเพียงคนเดียว ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบได้…
ถึงแม้หนทางเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของซูฮยอนจะเต็มไปด้วยขวากหนาม แต่จากการมองไปยังผู้คนที่อยู่รอบๆตัวของซูฮยอน เขากลับสัมผัสได้ว่าประวัติศาสตร์เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงไปที่ละนิด ยกตัวอย่างเช่น ลีจุนโฮ ที่ควรตายไปแล้ว กลับมีชีวิตอยู่..
<<โลกใบนี้ กำลังเปลี่ยนแปลงไป เพราะการกระทำของฉัน>>
ซูฮยอนอธิษฐานภายในใจว่า ข้อให้ความพยายามรอบที่สองไม่สูญเปล่า เพราะเขาไม่อยากเห็นโลกใบนี้ตกอยู่ในหายนะอีกแล้ว
ถ้าเป็นไปได้เขาอยากหยุด วันโลกาวินาศ ให้ได้ก่อนที่จะสายเกินไป
* * *
กิลด์แกมเบลอร์ กิลด์ปาปิยอง กิลด์เรดเดวิล
3 กิลด์ที่กล่าวไปเบื้องต้น จัดว่าเป็นกิลด์ที่มีขนาดใหญ่พอสมควร แต่โชคร้ายต่อให้กิลด์จะมีขนาดใหญ่โตแค่ไหน สมาชิกหลักๆของพวกเขากลับไม่มีผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S เลยสักคน
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น 3 กิลด์ที่กล่าวมายังถูกกำหนดให้เข้าร่วมการโจมตีดันเจี้ยนครั้งนี้…
“คิมซูฮยอน ชายคนนั้นจะเป็นผู้นำของพวกเราจริงดิ?”
กิลด์มาสเตอร์ของปาปิยอง ลีคังฮุย ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ A หลังทราบข่าวจากคนของผู้อำนวยการ เขาก็แสดงสีหน้าบูดบึ้งออกมา
“แกกำลังล่อฉันเล่นอยู่หรือไง ไอ้บ้านั้นพึ่งถูกแต่งตั้งแรงค์ S ไปได้ไม่นานไม่ใช่เหรอ?”
“ตามกฎข้อบังคับ แม้เขาพึ่งจะได้แรงค์ S แต่ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร หากเขาจะอาสาเป็นผู้นำในครั้งนี้” ผู้ส่งข่าวจากผู้อำนวยการตอบ
“รู้ไหม กฎข้อบังคับของแก มันกำลังทำให้ฉันไปตาย!!!”
ปัง
ลีคังฮุยทุบโต๊ะทำงานอย่างแรง จนโต๊ะที่สร้างมาจากวัสดุราคาแพง เกิดการแตกหัก
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ลีคังฮุย มีน้ำโหมากขนาดไหน
น่าเสียดายการระเบิดอารมณ์ของเขาไม่อาจสั่นคลอนจิตใจ [ผู้ตื่นขึ้น] ที่ผู้อำนวยการส่งมาได้
หากเปลี่ยนไปเป็นคนอื่น การข่มขู่ลีคังฮุย อาจใช่ได้ผล…
ชายที่ทางสำนักงานส่งมาไม่ใช่ใครอื่น นอกจาก [ผู้ตื่นขึ้น] คังซึงชอล
คังซึงชอลมองไปทางลีคังฮุยด้วยสายตาไม่พอใจ ก่อนพูด…
“คุณพัคจีย็อนผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S พึ่งผ่านการเคลียร์ดันเจี้ยนที่อันซันมาได้ไหมนาน ทำให้เธอยังอยู่ในอาการเหน็ดเหนื่อย นายก็รู้นิสัยประจำตัวของซงฮย็องกิดี เขาเคยสนใจข้อกำหนดจากสำนักซะที่ไหน ต่อในนายพยายามติดต่อไปหาเขา นายก็ไม่มีทางติดต่อเขาได้หรอก”
“ถ้าอย่างงั้น…นอกจากคิมซูฮยอน ไม่มีคนอื่นมาแทนเลยหรือไง?”
“ไม่มีใครอาสามาแทนหรอก ที่สำคัญมันยังไม่ถึงรอบของพวกเขาด้วยซ้ำ บางคนก็กำลังยุ่งอยู่ในหอคอยแห่งการทดสอบ ทำให้ทางเราไม่สามารถติดต่อได้..”
“แมร่งเอ๊ย”
“ถ้านายไม่พอใจ ฉันจะโทรไปบอกเขา ว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องมา”
คำตอบของคังซึงชอล ทำให้ใบหน้าของลีคังฮุยแก่ลงไปอีก 10 ปี..
หากไม่มีผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S การโจมตีดันเจี้ยนคงจบลงด้วยความล้มเหลวสถานเดียว ฉะนั้นแรงค์ S จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ขาดไปไม่ได้
<<แม่มันเถอะ ไอ้บ้านี้กำลังเล่นตลกกับฉันอยู่ใช่ไหม?>>
ลีคังฮุยอยากปล่อยหมัดเพื่อตะบันหน้าของคังซึงชอลจริงๆ
แต่ลีคังฮุยต้องหักห้ามใจตัวเองเอาไว้ อีกฝ่ายเป็นถึงคนที่ผู้อำนวยการไว้ใจ หากเขาทะเล่อทะล่าระเบิดอารมณ์ออกไป มีหวังโดนผู้อำนวยการจัดหนักแน่ แค่เขาแสดงกิริยาไร้มารยาทต่อหน้าคังซึงชอล มันก็แย่มากพอแล้ว..
“ไม่ว่านายจะตัดสินใจยังไง ฉันก็ทำภารกิจ ที่ผู้อำนวยมอบให้เสร็จแล้ว ฉันขอตัวไปทำธุระต่อก็แล้วกัน”คังซึงชอลพูดจบก็รีบเดินออกจากห้องทำงานของลีคังฮุยไป
เมื่อคังซึงชอลจากไป ห้องทำงานก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ลีคังฮุยหยิบมือถือขึ้นมาแล้วส่งข้อความไปหา กิลด์มาสเตอร์ของแกมเบลอร์และเรดเดวิล
<<อย่าที่คิดไว้ ทุกคนมีการแสดงออกเหมือนกับฉันจริงๆด้วย>>
ข้อความที่กิลด์มาสเตอร์แกมเบลอร์และเรดเดวิลพิมพ์ตอบกลับมา เป็นสิ่งที่ลีคังฮุยเข้าใจเป็นอย่างดี..
พวกเขาทุกคนคิดเหมือนกันว่า ทำไมต้องมาโจมตีดันเจี้ยนกับ [ผู้ตื่นขึ้น] แรงค์ S หน้าใหม่ด้วย ในเมื่อ [ผู้ตื่นขึ้น] แรงค์ S ที่ทรงพลังมีตั้งหลายคน ทำไมพวกเขาต้องฝากชีวิตไว้กับแรงค์ S หน้าใหม่ด้วย…..มันเหมือนกับว่าพวกเขากำลังเดินตะลุยไปบนถนนที่เต็มไปด้วยเศษหินและเศษแก้ว ในขณะที่ถนนราบเรียบก็มี….ทำไมต้องเลือกเดินไปบนถนนที่แสนลำบากขนาดนี้?
************************
<<ไม่แปลกใจว่าทำไมลีคังฮุยถึงอารมณ์เสียขนาดนั้น หากฉันไม่เคยเห็นความแข็งแกร่งของซูฮยอนมาก่อน ฉันก็คงอารมณ์เสียไม่ต่างกัน>>
คังซึงชอลเป็นเพียงไม่กี่คนที่ได้สัมผัสความแข็งแกร่งของซูฮอนด้วยตาของตัวเอง ทำให้เขารู้ซึ่งว่าความแข็งแกร่งของซูฮยอนเป็นของจริง ไม่ใช่ของปลอม
แม้คังซึงชอลจะไม่ได้เห็นความสามารถของแรงค์ S หมดทุกคน แต่เขาก็เชื่อว่า ซูฮฺยอนที่เป็นแรงค์ S หน้าใหม่ ไม่มีทางเป็นรองพวกแรงค์ S หน้าเก่าๆ แน่นอน
“ฉันล่ะอยากรู้จริงๆว่า หากไอ้งั่งพวกนั้นเห็นความแข็งแกร่งที่แท้ของซูฮยอน พวกมันจะแสดงสีหน้าอะไรออกมากันนะ?”คังซึงชอลที่เดินออกมาจากสำนักงานกิลด์ปาปิยอง บ่นพึมพำออกมาคนเดียว..