ตอนที่ 70
สภาพแวดล้อมที่พบเจอในหอคอยแห่งการทดสอบ ทุกอย่างล้วนมีความสำคัญหมด…
กฎข้อแรกที่ซูฮยอนยึดมั่นมาโดยตลอด เมื่ออยู่ในหอคอยแห่งการทดสอบ คือการสังเกตสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบๆตัว… หากซูฮยอนมีไหวพริบที่แย่กว่านี้ เขาคงต้องติดอยู่ในดันเจี้ยนแห่งนี้ไปตลอดชีวิต..
ไอลี เคซฮุนไรน์ ฮาวลา ทั้ง 3 คน เป็นคนที่ซูฮยอนไม่รู้จักนิสัยใจคอที่แท้จริงของพวกเขา..
แต่ตอนที่พวกเขาเจอหินอีเธอร์ระดับสูงสุด แววตาที่เคยเป็นมิตรกลับเต็มไปด้วยความโลภ ทำให้ซูฮยอนรู้เลยว่าต้องมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นแน่ๆ
<<เฮ้อ..สุดท้ายฉันก็ต้องกลับมาใช้หัวสมองอยู่ดี>>
ก่อนหน้านี้ซูฮยอนคิดว่าการโจมตีดันเจี้ยนที่อยู่กลางป่าคงผ่านไปได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้สมอง อย่างไรก็ตามเหมือนจินตนาการของเขาจะเป็นการฝันลมๆแล้งๆ เพราะนอกจากดันเจี้ยนแล้วซูฮยอนยังตอบมาระแวงเพื่อนร่วมกลุ่มอีก 2 คนอีก…
นั่นก็คือ เคซฮุนไรน์ และ ฮาวลา ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขา 2 คน ยังเป็นหมากตัวสำคัญที่ทำให้ซูฮยอนออกไปจากดันเจี้ยนแห่งนี้โดยสวัสดิภาพ..
<<หากการคาดเดาของฉันถูกต้อง บททดสอบหลักๆที่ระบบต้องการให้ทำ คงเป็นการพิชิตดันเจี้ยนแห่งนี้ พร้อมกับจับคนทรยศ 2 คนไปพร้อมๆกันสินะ>>
คำอธิบายของระบบในช่วงเริ่มต้น เป็นคำอธิบายค่อนข้างตรงไปตรงมา เพราะมันระบุไว้ว่า ให้ซูฮยอนพิชิตดันเจี้ยนพียงอย่างเดียว…..
แต่เพราะเขาเลือกระดับความยากที่ 10 ทำให้ระบบไม่ยอมพูดใจความสำคัญออกมาให้หมด ในเมื่อกล้าเลือกระดับที่ 10 ระบบก็ไม่จำเป็นต้องประนีประนอมกับคนผู้นั้น หากไม่มีความแข็งแกร่งที่มากพอ คงไม่มีไอ้โง่คนไหนเอาชีวิตไปเสี่ยงกับความตายหรอก…
โชคดีที่ซูฮยอนมีไหวพริบดีกว่าคนทั่วไป ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สามารถมองกลอุบายของ ฮาวลา และ เคซฮุนไรน์ ออก…
ด้วยสกิลการเอาตัวรอดของซูฮยอน เมื่อรู้ว่ากำลังโดนหักหลัง ทำให้เขาเริ่มวางแผนเพื่อตลบหลัง.. จนในที่สุดทั้ง 2 คน ก็ติดกับดักที่วางเอาไว้..
หลังจากการตายของ เคซฮุนไรน์ และ ฮาวลา ห้องโถงก็เต็มไปด้วยความเงียบงัน ทันใดนั้นเองเสียงกลืนน้ำลายก็ดังออกมาจากมุมอับที่มืดมิด
ไม่นานซูฮยอนก็จำได้ว่าในกลุ่มมีสมาชิกด้วยกัน 4 คน ในเมื่อไปเยือนนรกแล้ว 2 คน ก็เหลืออีก 2 คนที่มีลมหายใจอยู่…
“อึก!!!”
ไอลีที่อยู่ในอาการหวาดกลัว รีบทิ้งระยะห่างออกมาจากตัวของซูฮยอน
เมื่อซูฮยอนรู้ว่าพลังเวทย์ของเขากดดันไอลี เขาก็เรียกพลังเวทย์กลับคืนมา ก่อนหันไปพูดกับเธอ..
“เอ่อคือว่า….กลัวหรือป่าว? ฉันขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย”
ซู่ ซู่
หลังจากมวลสารพลังเวทย์ขนาดใหญ่หายไปจากห้องโถง สีหน้าของไอลีก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แต่เมื่อเธอเห็นซูฮยอนจ้องมองมา เธอก็กลัวจนเนื้อตัวสั่นไปหมด…ถ้าหากเธอไม่ได้ผนังถ้ำช่วยเอาไว้ ร่างกายของเธอคงล้มไปนั่งกับพื้นไปแล้ว…
<<เธอไหวหรือป่าวเนี่ย?>>
ดูจากท่าที่ของเธอ เหมือนเธอคิดว่าซูฮยอนจะฆ่าเธอเป็นคนต่อไป…
“ไอลี ใจเย็นๆน่ะ ฉันไม่เคยคิดจะทำร้ายเธอเลยสักครั้ง…ไม่ต้องกลัว ฉันพูดความจริง พวกเรามาร่วมมือกันอีกครั้ง เพื่อตั้งรับการโจมตีจากระลอกต่อไปดีกว่า”
“เอ๊ะ?…ดะ..ได้ฉันเข้าใจแล้ว”
แม้คำพูดของเธอจะฟังดูหนักแน่น แต่ซูฮยอนกลับสัมผัสได้ว่าเสียงที่เปล่งออกมาเธอมีความกระสับกระสายเล็กน้อย..
ซูฮยอนกระดกลิ้นไปมาก่อนบ่นพึมพำกลับตัวเอง..
<<ปล่อยเอาไว้แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ ฉันควรจับตาดูเธอไว้>>
ด้วยอารมณ์ที่ปั่นป่วนไปมาในปันจุปันของเธอ จะเป็นการยากหากเธอต้องรับมือกับระลอกคลื่นของมอนสเตอร์เพียงลำพัง…
แม้ไอลีจะมีพลังมากกว่าชายหนุ่ม 2 คนที่พึ่งตายไป แต่เธอก็ไม่ได้มีความแกร่งแข็งมากกว่าซูฮยอน…
และแล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ในระหว่างการต่อสู้กับเหล่ามอนสเตอร์ เธอก็พลาดท่าจนโดยมอนสเตอร์ลอบทำร้าย…
โฮกกกกกกกกกก
ฉัวะ!!!!!
ในตอนที่กรามของจระเข้ยักษ์กำลังขย้ำหัวของเธอ อยู่ๆร่างกายของจระเข้ยักษ์ก็หยุดชะงักกลางอากาศ ก่อนที่ร่างกายของมันจะขาดออกเป็น 2 ท่อน
ไอลีที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ก้นจ้ำเบ้าลงไปนั่งกับพื้นด้วยความตกใจ..
“เธอเป็นอะไรหรือป่าว?”ซูฮยอนถาม
“อ่า…ขะ..ขอบคุณ”
“หากเธอไม่ไหว เธอไปหาที่ปลอดภัยนั่งพักก่อนก็ได้ เดี๋ยวที่เหลือฉันจัดการเอง”
ไอลีคาดไม่ถึงว่าซูฮยอนจะเสมอคำแนะนำแบบนี้ให้ เธอยกหัวขึ้นไปมองใบหน้าของอีกฝ่ายเพื่อพิจารณาอะไรบ้างอย่าง
แค่ซูฮยอนเห็นสีหน้าของเธอ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังคิดอะไร..
สีหน้าของเธอ อยู่ๆก็ทำให้เขารู้สึกผิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก…เขาถอยหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนพูดกับเธอ
“เธอคงกำลังคิดว่า ฉันเป็นฆาตกรวิกลจริต ที่ไล่สังหารผู้คนโดยไม่เลือกหน้าสินะ”
“ไม่ใช่แบบนั้น คือว่า…”
“เธอบอกว่าไม่ใช่? แต่ดูจากการแสดงออกทางสีหน้าของเธอเหมือนจะส่วนทางกับคำพูดอยู่นะ”
หลักจากได้ยินคำพูดของซูฮยอน ไอลีก้มหน้าลงด้วยความกระดากใจ สิ่งที่เขาพูดถูกต้องทุกอย่าง เธอเห็นซูฮยอนเป็นฆาตกรที่ฆ่าไม่เลือกหน้า….เมื่อเธอเห็นเพื่อนๆในกลุ่ม 2 คนตายไปต่อหน้าต่อตา เธอก็เลยคิดว่า เหยื่อรายต่อไป ต้องหนีไม่พ้นเธอแน่ๆ ฉะนั้นไม่แปลกว่าทำไมเธอจึงหวาดกลัวเขา…
“ฉันขอโทษ”ไอลีกล่าวด้วยความสำนึกผิด
ไอลีกล่าวขอโทษออกมาพร้อมกับใบหน้าที่แดงระเรือ….หลังจากทั้ง 2 คนปรับความเข้าใจกันได้ อารมณ์หวาดกลัวที่เธอมี ก็ถูกสายลมพัดหายไป….
ซูฮยอนละสายตาจากเธอ ก่อนหันไปมองบริเวณรอบๆ เพื่อตรวจสอบเวลาที่เหลือ..
<<อืม..เหมือนเวลาจะเหลืออีกหนึ่งชั่วโมงสินะ>>
มีแนวโน้มว่าเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงที่เหลือ ความยากของระลอกมอนสเตอร์อาจยกระดับขึ้น สำหรับซูฮยอนไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่กลับกัน หากไอลียังคงฝืนสู้ต่อไป เธออาจได้รับบาดเจ็บก็ได้….
ซูฮยอนถอนหายใจออกมายาวๆก่อนลงไปนั่งข้างเธอ “จริงสิคุณไอลี ทำไมคุณถึงเลือกอาชีพที่เสี่ยงอันตรายแบบนี้?”
“เอ๊ะ..ฉันเหรอ?”
“ถ้าเธอยังขี้กลัวอะไรง่ายๆเหมือนเหตุการณ์ที่ผ่านมา เธอคงทำอาชีพแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ถ้าเธอมีจิตใจไม่มั่นคงเนื่องจากความหวาดกลัว เธอคงโดนมอนสเตอร์ขย้ำหัวไปนานแล้ว….ฉะนั้นสิ่งที่เธอควรทำมากที่สุดควรเป็นการคิดหน้าคิดหลัง ห้ามวอกแวกกับเรื่องไม่เป็นเรื่องโดยเด็ดขาด”
ไอลีทำได้เพียงกัดริมฝีปากของเธอหลังจากได้ยินคำตำหนิจากซูฮยอน ในฐานะผู้ตื่นขึ้น เธอมีข้อบกพร่องหลายอย่างที่ต้องแก้ไข้โดยด่วนที่สุด..
ตามความคิดของซูฮยอน อาชีพเสี่ยงตายเช่นนี้ไม่เหมาะกับเธอเลยจริงๆ
“เธอเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ก็จริง แต่พรสวรรค์ของเธอก็ใช้กับโลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้หรอกนะถ้าเธอยังใจอ่อนแบบนี้…จะว่าไปไอลีนับตั้งแต่เข้ามาในดันเจี้ยน เธอเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่เคยมีแววตาเจ้าคิดเจ้าแค้นเลยสักครั้ง..ซึ่งแตกต่างกับชาย 2 คนที่พึ่งตายไป”
“นายพูดถูก…”
“เธอก็รู้ใช่ไหมว่าอาชีพเสี่ยงตายแบบนี้ มันเต็มไปด้วยภัยอันตราย นอกจากมอนสเตอร์แล้ว เธอยังต้องค่อยระวังเพื่อนร่วมทีมอีกด้วย ฉะนั้นหากเธอยังอยากทำอาชีพนี้ต่อไป เธอห้ามเชื่อใจเพื่อนร่วมทีมมากจนเกินไป..”
คำพูดของซูฮยอนเหมือนใบมีดที่เชือดลงไปในจิตใจของเธอ
แม้เธออยากจะพูดตอบโต้กับซูฮยอนบ้าง แต่เธอก็พูดไม่ออก เพราะคำพูดของซูฮยอนมันถูกต้องทุกประการ หากเธอยังมีนิสัยแบบนี้ต่อไป หนทางเดียวที่รอเธออยู่คงเป็นการเลิกทำอาชีพที่เสี่ยงอันตรายเช่นนี้ซะ…
“ฉันเข้าใจความหมายที่นายจะสื่อออกมานะ แต่ฉันเลิกทำอาชีพนี้ไม่ได้จริงๆ”ไอลีพูด
“แม้จะอยู่ในสถานการณ์วิกฤต เธอก็ยังยืนยันที่จะทำมันอีกเหรอ”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะพยายามเพิ่มขึ้นไปอีก”
“ทำไมเธอถึงดื้อรันอยู่อีก? มีเหตุผลอะไรพิเศษไหม?”
“จะว่ายังไงดี…ฉันจำเป็นต้องทำ”ไอลีตอบกลับมาโดยไม่มีท่าทีลังเล
เธอเงยหน้าขึ้นไปมองเพดานถ้ำที่เต็มไปด้วยหินงอกหินย้อย เธอในตอนนี้..ไม่มีความกล้าในการสบตากับซูฮยอนเลยสักนิด แม้แต่หางตาเธอก็ไม่กล้า เธอมัวแต่เหม่อลอยไปกับอดีต ก่อนเปิดปากเล่าเรื่องราวของเธอต่อไป…
“นายคงรู้สินะว่าก่อนที่ตระกูลของฉันจะล่มสลาย ตระกูลของฉันเคยเป็นถึงตระกูลขุนนางมากก่อน”
“แน่นอนสิ ฉันพอรู้มาบ้าง”
หลังจากซูฮยอนมาสิ่งร่างกายของวาร์ริค ระบบก็ถ่ายโอนความทรงจำบางส่วนของวาร์ริคมาให้ซูฮยอนโดยอัตโนมัติ
ความทรงจำเกี่ยวกับเคซฮุนไรน์และฮาวลา ซูฮยอนรู้หมดทุกอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ชอบทำอะไร หรือชอบกินอะไร แต่สำหรับไอลี ซูฮยอนแทบไม่มีข้อมูลเลย….
“ทำไมตระกูลของฉันถึงตกต่ำลง นายคงไม่รู้สินะ เพราะฉันไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้นายฟังมาก่อน”
“สาเหตุมาจากเรื่องเงินๆทองๆ หรือป่าวที่ทำให้ตระกูลของเธอตกต่ำลง”
“เอ๊ะ…สมแล้วที่เป็นนาย หัวไวจริงๆ”
“ฉันก็แค่เดาไปมั่วๆ ใครจะไปคิดว่ามันจะเป็นอย่างที่ฉันคิดจริงๆ”
“เดางั้นเหรอ…..ใช่ นายพูดถูก ที่ตระกูลของฉันตกต่ำลงเป็นเพราะมีปัญหาเรื่องเงิน ส่วนเรื่องจำนวน มันเยอะมากๆ จนคนธรรมดาทั่วไปไม่อาจจินตนาการได้”
“สาเหตุที่เธอยังทำอาชีพนี้อยู่เพราะต้องการเงินไปจ่ายหนี้สินะ”
“นายไม่สงสัยบางเหรอว่าครอบครัวของฉันติดหนี้อยู่เท่าไหร่? เวลาคนอื่นได้ยินเรื่องเล่าจากปากของฉัน สิ่งแรกที่พวกเขาอยากรู้ มักเป็นจำนวนเงินเสมอ…”
“ฉันไม่สนใจหรอก แม้เธอจะบอกฉัน ฉันก็ช่วยเธอไม่ได้หรอกนะ”
“นายค่อนข้างเป็นคนตรงไปตรงมาดีนะ”ไอลีพูดพร้อมกับเผยลักยิ้มออกมา สีหน้าที่เคยตึงเครียดของเธอ เริ่มกลับมาเป็นตัวตนของเธออีกครั้ง..
เมื่อซูฮยอนเห็นสีหน้าของเธอเริ่มเปลี่ยนแปลง เขาก็คิดในใจเงียบๆว่า ไม่แน่บางที่เธออาจต้องการบอกเล่าเรื่องทุกข์ใจให้กับใครสักคนมานานแล้วก็ได้…
“ไม่ต้องเล่าต่อนายก็คงรู้สินะว่า ตระกูลของฉันจะมีชะตากรรมเป็นเช่นไรต่อไป…ตระกูลที่เคยมีอำนาจดุจขุนนางกับตกต่ำลงในชั่วข้ามคืน แถมยังมีหนี้สินก้อนโตรอให้เคลียร์อีก แม้พี่ชายของฉันจะไม่มีพรสวรรค์ แต่เขาก็พยายามหาเงินมาใช้หนี้ในกับครอบครัวด้วยความมุมานะ ที่สำคัญตอนนี้พ่อของฉันก็มีอาการเจ็บป่วยจนขยับร่างกายไม่ไหว ทำให้รายจ่ายและรายรับของพี่ชายไม่สามารถจุนเจือครอบครัวได้ ฉันจึงต้องออกมาทำอาชีพเป็นทหารรับจ้าง เพื่อแบ่งเบาภาระของครอบครัว”
“เธอสมควรเป็นผู้นำของวงตระกูลจริงๆ ไอลี”
“ผู้นำตระกูลงั้นเหรอ…จะพูดแบบนั้นก็ไม่ผิด”
เมื่อเธอพูดจบรอยยิ้มที่แสนโดดเดียวก็ปรากฏขึ้นบนลิ้มฝีปากของเธอ
ซูฮยอนแอบเหลือบมองไปที่ใบหน้าของเธอ ก่อนถามข้อสงสัยออกไปด้วยความระมัดระวัง.
“ในเมื่อครอบครัวของเธอตกต่ำลง เธอเคยขอให้คนอื่นช่วยเหลือหรือป่าว ยกตัวอย่างเช่น ญาติพี่น้อง อะไรทำนองนั้น..”
“แน่นอนว่าต้องเคยสิ ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องหรือตระกูลขุนนางที่เคยเป็นมิตรสหายกับคุณพ่อ ฉันส่งจดหมายไปหาพวกเขาหมด..”
“แล้วไงต่อ?…..”
“หึ…จะอะไรซะอีก พวกเขาตีตัวออกห่างจากตระกูลของฉันหมดทุกคน ในเมื่อตระกูลที่เคยเป็นถึงอดีตขุนนางหมดสภาพ พวกเราก็เหมือนกับหมาที่ถูกตัดห่างปล่อยวัด หากพวกเขายอมช่วยฉันตามคำข้อร้อง ฉันคงไม่ต้องมาลำบากขนาดนี้หรอก”
เมื่อซูฮฺยอนได้ยินคำตอบจากปากของเธอ เขาก็นึกในใจว่าไม่ควรถามออกไปเลยจริงๆ
เขารีบหันหน้าหนีไปด้านข้าง เพราะไม่กล้าจบสายตากับเธอโดยตรง
“เรื่องทั้งหมดก็ประมาณนี้…ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเพื่อนเก่าของพ่อถึงไม่ยอมช่วยตระกูลของฉัน เป็นเพราะนิสัยถือดีของฉันหรือเพราะพวกเขาไม่ถูกกับพ่อของฉันกันแน่ แต่สำหรับฉัน พ่อ เป็นคนที่ใจที่เสมอ ไม่ว่าใครจะเดือดร้อนอะไร หากไม่เกินกำลังของคุณพ่อ เขามักยืนมือเข้าช่วยคนอื่นตลอด..”
“หากย้อนกลับไปได้ละก็ ขอแค่คนเดียวเท่านั้นที่ช่วยเหลือตระกูลของเราได้ ฉันก็คงไม่ต้อง…”ไอลีกัดริมฝีปากของเธอ ก่อนส่ายหัวไล่ความคิดไร้สาระทิ้งไป
เธอเคยสาบานกับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่ยกข้ออ้าง [ เป็นเพราะไม่มีใครช่วย ทำให้เธอต้องมาลงเอยแบบนี้ ] อีกต่อไป….
เมื่ออารมณ์ของไอลีเริ่มกลับเข้าที่ ใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความเขินอาย เพราะเธอยกข้ออ้างแสนน่าอายมาให้ซูฮยอนฟังจนได้…
“เอ่อ…ถ้าเป็นไปได้นายช่วยทำเป็นหูทวนลมกับคำพูดเมื่อครู่ของฉันด้วยได้ไหม มันเป็นข้ออ้างที่น่าอายจริงๆ แม้ตระกูลของฉันจะมีโชคร้ายมาก้าวก่ายทำให้ตระกูลตกอยู่ในที่นั่งลำบาก แต่เหมือนฟ้ามีตา พวกเขาจึงประทานพรสวรรค์มาให้กับฉัน ด้วยพรสวรรค์และพรแสวงทำให้ฉันทำเงินได้เป็นกอบเป็นกํา ไม่แน่บางที่อาจเป็นเพราะคำข้อพรของฉันก่อนนอนก็ได้ ทำให้นางฟ้าบนสวรรค์เห็นใจ ไม่อยากในฉันต้องตายเพราะหนี้สินทับตัว”
หลังจากไอลีพูดจบ เธอก็ชันเข่าขึ้นมาจนหน้าอกที่แสนเต็มไม้เต็มมือถูกดันขึ้นมาให้เห็นเด่นชัด เธอค่อยๆก้มหน้าฝังลงไปบนต้นขาที่แสนเรียวยาวของเธอ ที่มีแอร์แบ็ค 2 ลูกคอยลองรับอยู่..
“เฮ้อ…ไม่รู้ว่าชาตินี้ฉันจะใช้หนี้ได้หมดหรือป่าว”
<<เธอมีหนี้สินมากขนาดไหนกันแน่?>>
ในอดีตซูฮยอนได้มีโอกาสพบประกับตระกูลขุนนางเหมือนอย่างไอลี มาหลายร้อยหลายพันคน
ไม่ต้องสาธยายให้มากความ ก็รู้ได้ถึงความมั่งคั่งของพวกตระกูลขุนนาง
ตระกูลขุนนางถ้าเปรียบเทียบในใกล้เคียงกับยุคปัจจุบัน ก็คงคล้ายๆกับตระกูลราชวงศ์ที่มีมาตั้งแต่ยุคเก่าแก่…จนเหลือรอดมาถึงยุคปัจจุบันพร้อมกับทรัพย์สินมีค่ามากมาย…
ฉะนั้นตระกูลขุนนางที่อยู่ในสภาวะตกต่ำก็เหมือนกับบริษัทที่มีหนี้สินค้างช้ำระ หากไม่ช้ำระก่อนกำหนดสถานนี่ต่อไปที่รออยู่คงเป็นการล้มละลาย
เป็นไปได้ว่าหนี้สินที่ตระกูลไอลีต้องตามจ่ายต้องเยอะมากๆ จนคนทั่วไปไม่อาจจินตนาการได้แน่ๆ
อายุของไอลียังอยู่ในช่วงวัยรุ่นเลยแท้ๆ แต่เธอกลับต้องมาแบกรับภาระที่หนักหนาเช่นนี้..
“ฉันคิดว่า…เธอไม่ได้มีแต่ความโชคร้ายเสมอไปหรอกนะ”ซูฮยอนถอนสายตาออกมาจากเธอ ก่อนเงยหน้าขึ้นไปมองเพดานถ้ำแล้วพึมพำเบา
“ในอนาคตจะต้องมีเจ้าชายขี่ม้าขาว ยืนมือเข้ามาช่วยเหลือเธออย่างแน่นอน”
[ระลอกต่อไปกำลังเริ่มขึ้น]
หลังจากได้ผันผ่อนมาเนิ่นนาน ในที่สุดการโจมตีรอบต่อไปก็มาถึง..
ซูฮยอนลุกขึ้นมายืนก่อนหันไปพูดกับไอลี “เธอพักไปก่อนเถอะ ไว้ปรับอารมณ์ได้ตอนไหน คอยออกมาสู้ก็ได้”
“ไม่ดีกว่า ตอนฉันรู้สึกดีกว่าเดิมเยอะมาก อีกอย่างฉันก็ไม่อยากกินแรงนายคนเดียวหรอกนะ”
ซูฮยอนไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไม เธอถึงกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา เพราะเธอไม่อยากเป็นตัวถ่วง หรือเพราะเธออยากได้ส่วนแบ่งหินอีเธอร์เพิ่มขึ้นอีกกันแน่?
แต่ไม่ว่าเหตุผลที่แท้จริงของเธอจะเป็นอะไร ซูฮยอนก็ไม่ใส่ใจ ในเมื่อสายเลือดนักสู้ของเธอกำลังพลุ่งพล่าน เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปห้ามเธอเพื่ออะไร…
“ในเมื่อเธอยืนยันหนักแน่นขนาดนี้ก็มาลุยด้วยกันเถอะ ฉันจะคอยดูแลเธออยู่ห่างๆเอง”
***************
โฮกกกกกกกกกก
เสียงคำรามของมอนสเตอร์ตัวใหญ่ ทำให้ห้องโถงสั่นสะเทือนไปหมด
ตามเนื้อตัวของมอนสเตอร์ที่ทั้ง 2 คนกำลังสู้อยู่เต็มไปด้วยรอยบาลแผลจากของมีคม ที่สำคัญผิวหนังของมัน ยังเต็มไปด้วยรอยแผลจากการโดนเผา…ด้วยบาลแผลที่เยอะขนาดนี้ทำให้ร่างกายของมันเซไปเซมาพร้อมลงกองกับพื้นได้ตลอดเวลา
มอนสเตอร์ที่ซูฮยอนกำลังเผชิญหน้าอยู่เป็นหนอนยักษ์ รูปลักษณ์ภายนอกของมันอธิบายได้เพียงคำเดียว คือ น่าสะอิดสะเอียน เพราะตามลำตัวของมันมีปรสิตอาศัยอยู่ หากการคาดเดาของซูฮยอนถูกต้อง หนอนยักษ์ตัวนี้ น่าจะเป็นบอสของดันเจี้ยนแห่งนี้…
“ยี้…น่าขยะแขยงเป็นบ้า”ไอลีพูดออกมาหลังจากได้เห็นรูปลักษณ์ของหนอนยักษ์แบบชัดๆ
เมื่อสิ้นเสียงของไอลี เปลวเพลิงสีแดงเข้มก็ระเบิดออกมาจากฝ่ามือของเธอ ก่อนที่เปลวเพลิงจะร่วมตัวเป็นลูกบอลเพลิงแล้วพุ่งโจมตีไปทางมอนสเตอร์ที่อยู่ด้านหน้า…
ตูม ตูม
โฮกกกกกกกก
หนอนยักษ์ที่ทุกข์ทรมานจากเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ของซูฮยอนมาก่อน เมื่อโดนเปลวเพลิงของไอลีมาสมทบอีก บาลแผลของมันก็ยิ่งเปิดกว้างขึ้นและทรมาน ทำให้มันคำรามออกมาอย่างโหยหวน
“ไอลีหยุดก่อน”ซูฮยอนพูด
“คะ?”
“ผมขออาสาจัดการมันเอง”
ไอลีกระพริบตาด้วยความประหลาดใจหลังจากเห็นซูฮยอนเดินมาอยู่ด้านหน้าของเธอ
ที่ผ่านมาซูฮยอนไม่ค่อยเต็มที่กับการต่อสู้มากนัก แต่เมื่อหนอนยักษ์โผล่ออกมาเขากลับจริงจังมากเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม หากจะพูดว่าเขากำลังเอาจริง ก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะจากสีหน้าของซูฮยอนเหมือนคาดหวังอะไรบ้างอย่าง..
<<เขามีเป้าหมายอะไรหรือป่าว?>>
เป็นไปได้ว่า ซูฮยอนอาจคาดหวังอะไรบ้างอย่างจากบอสมอนสเตอร์ตัวนี้ก็ได้…
ไอลีเดินถอยหลังกลับไป เพื่อในซูฮยอนต่อสู้ตัวต่อตัวกับมันตามความประสงค์
ซูฮยอนพยักหน้าขอบคุณไอลี ก่อนเดินไปเผชิญหน้ากับหนอนยักษ์
“ฉันของยอมรับเลยว่า พลังชีวิตของแกยืดหยุ่นสมคำลำลือ แต่การเคลื่อนไหวของแกมันเดาทางง่ายไปหน่อย”ซูฮยอนพูด
ในดันเจี้ยนระดับสีเหลืองหนอนยักษ์เป็นบอสมอนสเตอร์ที่มีระดับสูงพอสมควร จุดเด่นของมันนอกจากพละกำลังและร่างกายที่ใหญ่โต พลังชีวิตของมันก็เป็นอีกจุดสำคัญที่ทำให้มันแข็งแกร่ง เพราะมันสามารถฟื้นฟูบาลแผลและซ่อมแซมร่ายกายได้อย่างรวดเร็ว…จนผู้ตื่นขึ้นที่ต้องต่อสู้กับมันกว่าจะโค่นล้มมันได้กินเวลาไปหลายชั่วโมง..
แน่นอนว่าต่อให้บอสตัวนี้จะเป็นฝ่ายโจมตีซูฮยอนก่อน เขาก็เชื่อว่ามันไม่สามารถทำอะไรเขาได้…
“หวังว่าความแข็งแกร่งของแก จะทำให้ฉันสนุกขึ้นมาบ้าง”
โฮกกกกกกกกก
ทันใดนั้น ลำตัวของหนอนยักษ์ก็มีฝ่ามือขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมา มือที่ว่าสร้างมาจากปรสิตที่เกาะอยู่ตามตัวของมัน บอสหนอนยักษ์พยายามควบคุมมือขนาดใหญ่ให้โจมตีไปทางซูฮยอน…
ฉัวะ ฉัวะ
แต่ก่อนที่จะถึงตัวซูฮยอน มันก็ถูกดาบแกรมเฉือนออกจากกันจนเลือดสาดกระเซ็น ด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยบาลแผลทำให้ปรสิตที่เกาะอยู่ตามลำตัวของหนอนยักษ์อ่อนแอลงไปด้วย ไม่แปลกใจว่าทำไมดาบแกรมของซูฮยอนถึงตัดมันขาดได้ง่ายๆ
<<อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด กระดูกของมันเปราะบางจริงๆด้วย>>
หนึ่งในจุดอ่อนของหนอนยักษ์คือกระดูกของมันเปราะบางมากเป็นพิเศษ
เมื่อลองมาเปรียบเทียบกับร่างกายที่แข็งแกร่งเหมือนเหล็กกล้ามันไม่เข้ากับกระดูกเลยจริงๆ
เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ เพราะมันใช้พลังเวทย์เสริมสร้างความแข็งแกร่งเฉพาะผิวหนังด้านนอกเป็นหลัก ทำให้กระดูกไม่ได้รับการหล่อเลี้ยง……ทุกท้ายกระดูกของหนอนยักษ์ก็เปราะบางยิ่งกว่ากระดูกของมนุษย์ซะอีก..
ตูม!!!!!
ในระหว่างที่มันกำลังร้องโหยหวนอย่างทรมาน ซูฮยอนก็ระเบิดพลังออกมา ก่อนกระโดดขึ้นไปเหนือลำตัวของหนอนยักษ์
เมื่อหนอนยักษ์เห็นว่าเหยื่อของมันลอยอยู่เหนือศีรษะ มันจึงอ้าปากที่ใหญ่โตของมันเพื่อหวังกินกลืนร่างกายเล็กๆของซูฮยอน…
โฮกกกกกกก
งับ!!!!
หลังจากขากรรไกรปิดลง หนอนยักษ์ก็สัมผัสได้ว่า คมเขี้ยวของมันไม่ได้บดขยี้อะไรเลยนอกจากอากาศเปล่าๆ
หนอนยักษ์เมื่อรู้ว่าเหยื่ออันโอชะไม่ได้อยู่ในปาก มันจึงแสดงแววตาตื่นตกใจออกมา ก่อนหันไปมองบริเวณรอบๆเพื่อตามหาเหยื่อของมัน..
ตอนนั้นเองเสียงปริศนาก็ดังออกมาจากด้านหลังของบอส..
“เกือบไปแล้วเรา หากขยับช้ากว่านี้อีกเพียงก้าวเดียว ฉันคงกลายเป็นอาหารว่างไปแล้ว ไม่ได้การร่างกายของฉันอ่อนแอเกินไป ถ้ามันโจมตีที่เผลอฉันคงกลายเป็นเศษเนื้อแน่ๆ”
[สกิลจำแลง : อิมูกิ]
วุซ วุซ
เกล็ดของอิมูกิเริ่มโผล่ขึ้นมาจากผิวหนังของซูฮยอนที่ละนิด…
ไม่นานเกล็ดของอิมูกิก็ปกคลุมผิวหนังจนมิดชิด พลังในร่างกายของซูฮยอนเอ่อล้มออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด จนสามารถสัมผัสได้จากบรรยากาศที่หมุนวนอยู่รอบๆตัว…
ซูฮยอนเปลี่ยนไปถือดาบแกรมในมือที่ถนัดก่อนหันไปพูดกับหนอนยักษ์..
“เสียเวลามามากพอแล้ว พวกเรามาจบปัญหาทั้งหมดกันเถอะ ”