การกลับมาของฮีโร่ – ตอนที่ 71

ตอนที่ 71

ตอนที่ 71

โฮกกกกกกกกกกก

ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ

ดาบแกรมในมือของซูฮยอนเริ่มเฉือนร่างของหนอนยักษ์ จนเศษเนื้อที่น่าขยะแขยงหลุดลุ่ยออกมาจากผิวหนังของมัน

แม้พลังชีวิตของหนอนยักษ์จะฟื้นตัวได้เร็วกว่าปกติ แต่เมื่อโดนซูฮยอนโจมตีไปยังจุดเดิมซ้ำๆ ทำให้ร่างของมันซ่อมแซมตัวเองไม่ทัน เมื่อขาดการห่อหุ้มของผิวหนัง แท่งกระดูกสีขาวๆก็โผล่ออกมาด้านนอก..

กี้ กี้

แมลงปรสิตที่อาศัยอยู่ในตัวของหนอนยักษ์ เมื่อรู้ว่าเสาหลักของมันกำลังจากไป พวกมันก็พากันคลานออกมาด้านนอก เพื่อหวังอพยพไปอยู่ยังแหล่งอาศัยแห่งใหม่ แม้ว่าแมลงปรสิตจะดูไม่มีพิษมีภัย แต่มันก็สามารถฆ่าคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ได้ง่ายๆ เพราะความสามาของมันอยู่ที่พิษ พิษของมันมีฤทธิ์ร้ายแรงมากว่าแมงกระพรุนกล่องถึง 100 เท่า…

เมื่อแมลงปรสิตคลานออกมาจากลำตัวของหนอนยักษ์ พวกมันก็พร้อมใจกันพ่นพิษสีเขียวออกมาจากปากเล็กๆเพื่อหวังเผด็จศึกซูฮยอน…

แต่ทันใดนั้นเอง….

ตูม!!!!!!!

รอบๆตัวของซูฮยอนก็เต็มไปด้วยความร้อนแรงของเปลวเพลิง ทำให้พิษที่พ้นออกมาจากปากของแมลงปรสิตไม่สามารถผ่าวงล้อมของเปลวเพลิงมาได้..

เมื่อพิษของแมลงปรสิตถูกกำจัดออกไป ซูฮยอนก็ปล่อยลูกบอลเปลวเพลิงออกมา แล้วบังคับให้โจมตีแมลงปรสิตทุกตัวที่อยู่บริเวณรอบๆ

ใช้เวลาไม่นาน…ทั้งบอสใหญ่และแมลงปรสิตก็ถูกเปลวเพลิงของซูฮยอนเผาไหม้จนกรอบ…

[ได้รับคะแนนความสำเร็จ 1000 คะแนน]

[ไข่เทวะได้รับความอบอุ่น]

[สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ภายในไข่ กำลังอยู่ในอารมณ์อิ่มเอม]

[ไข่เทวะกำลังอยู่ในช่วงฟักตัว]

<<สำเร็จสักที>>

ซูฮยอนกู่ร้องออกมาด้วยความดีใจ..

ตลอดสิบวันที่ผ่านมา ซูฮยอนตระเวนไปทั่วดันเจี้ยนเพื่อฟักไข่ใบนี้ มอนสเตอร์ทุกตัวที่เขาฆ่าไป ไข่เทวะมักได้รับความอบอุ่นเสมอ…

เมื่อการทดสอบในปัจจุบันสิ้นสุดลง ไข่เทวะที่ใกล้ถึงช่วงฟัก ก็มาถึงเวลาสำคัญของมันสักที

ตลอดเวลา 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา มอนสเตอร์ที่วิ่งออกมาจากเส้นทางทั้ง 5 มันมีมากจนทำให้ซูฮยอนอยากยกมือขึ้นมาพนมมือ เพื่อสักการะบูชาเทพเจ้า ที่ประทานโชคลาภมาให้..

และอย่างที่ซูฮยอนสันนิษฐานเอาไว้ ว่ามอนสเตอร์หนอนยักษ์ตัวนี้ อาจเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ไข่เทวะฟักตัว..

<<มันจะฟักออกมาเลยหรือป่าว? หรือต้องรอไปก่อน?>>

ซูฮยอนสัมผัสได้ว่าไข่เทวะที่อยู่ในคลังเก็บของ เริ่มมีการขยับเขยื้อนเล็กน้อย เหมือนมันอยากออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ด้านนอกเร็วๆ

ดูเหมือนไข่เทวะคงกำลังอยู่ในช่วงฟักตัวอย่างเชื่องช้า หากมันอยากออกมาตอนนี้ เปลือกไข่คงแตกไปนานแล้ว ซูฮยอนก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากระบวนการนี้ใช้เวลานานไหม ถึงมันจะนานเขาก็ไม่มีเวลาไปสนใจ เพราะเวลานี้ควรเป็นเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง เพราะในที่สุดพวกเขาก็พ้นจากหายนะสักที..

“จบแล้วเหรอ”ไอลีถาม

“แม้จะยังไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็ตาม แต่ก็น่าจะจบแล้ว”

เมื่อซูฮยอนพูดจบ เขาก็หันไปตรวจสอบเวลาที่เหลืออยู่..

[เวลาผ่านไปแล้ว : 01:57:54]

เวลา 2 ชั่วโมง เหลืออีกแค่ 2 นาทีก็จะครบตามที่ระบบกำหนด

ในเมื่อบอสของดันเจี้ยนแห่งนี้สิ้นลมหายใจ ก็แสดงว่าในดันเจี้ยนไม่มีอะไรทำอันตรายต่อพวกเขาได้อีกต่อไป..

ซูฮยอนหันหน้าไปมองไอลีก่อนพูด “เธอทำได้ดีมาก เหนื่อยหน่อยนะ”

“ขอบคุณ นายก็ด้วย ที่ฉันรอดมาได้จนถึงตอนนี้เป็นเพราะนายแท้ๆ ขอบคุณนายจริงๆ”

ไอลีเชื่อว่า หากไม่มีซูฮยอนอยู่ด้วย ผู้หญิงอย่างเธอไม่มีทางอยู่รอดมาได้นานขนาดนี้แน่ๆ ดังนั้นเธอจึงขอบคุณเขาจากใจจริง

หลังจากได้ยินคำขอบคุณของไอลี ซูฮยอนก็เลิกมองใบหน้าของเธอ ก่อนเลื่อนสายตาไปมองหินอีเธอร์ที่กองอยู่ตามพื้นและตรงกลางของหอคอยทรงกลม

“หินอีเธอร์หมด..ถ้าเอาพวกมันไปขาย ราคาต้องออกมาดีใช่หรือป่าว?”

“แน่นอน โดยเฉพาะหินอีเธอร์ระดับกลางและระดับสูง นายสามารถเรียกร้องราคาได้ตามใจปราถนา”

เหมือนโลกในฝั่งนี้หินเธอร์จะเป็นทรัพยากรที่หายากด้วยเช่นกัน….เห็นได้ชัดว่าขนาดผู้ตื่นขึ้นบ้างคนมีทรัพย์สินมีค่าอยู่กับตัวมากมายจนไม่ในชาตินี้ก็ไม่มีทางหมด แต่พวกเขาก็ยังเสี่ยงอันตรายเพื่อให้ได้หินอีเธอร์สักก้อน…

“งั้นเหรอ ค่อยโล่งอกหน่อย”

“โล่งอก? นายหมายถึงอะไร?.”ไอลีแสดงสีหน้าสับสนออกมาหลังจากได้ยินคำพูดที่ออกมาจากปากของซูฮยอน แต่ไม่นานเหมือนเธอจะนึกอะไรบางอย่างออก

“อ่า…ฉันรู้แล้วว่านายหมายถึงอะไร วาร์ริค นายคงไม่เคยเอาหินอีเธอร์ไปขายด้วยตัวเองสินะ แต่ไม่ต้องห่วง หากพวกเรานำหินอีเธอร์ทั้งหมดไปขายได้ละก็ เงินที่ได้มา มันสามารถชำระหนี้สินของตระกูลฉันได้สบายๆ แถมยังมีเงินเหลือไว้ทำอย่างอื่นอีกต่างหาก”

หินอีเธอร์ที่กองอยู่ใต้หอคอยไม่ได้มีแค่ระดับต่ำเท่านั้น แต่ยังมันมีระดับกลางและระดับสูงปะปนมาด้วย หากนำหินอีเธอร์ทั้งหมดไปขาย มันสามารถฟื้นฟูตระกูลขุนนางที่ตกต่ำให้กลับมาเฟื่องฟูได้อีกครั้ง…

แม้จะไม่ทราบว่าหลังจากชำระหนี้สินทั้งหมด เงินจะเหลือกลับมาจะเยอะหรือป่าว แต่มันก็น่าจะเหลือพอเปิดร้านค้าเล็กได้สักแห่ง…

ซูฮยอนยิ้มขึ้นเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำพูดของไอลี โชคดีสำหรับเขาที่คำตอบของไอลีเป็นคำตอบที่ดูสมเหตุสมผลมากที่สุด ทำให้ซูฮยอนไม่ต้องยกข้ออ้างอย่างอื่นมาโกหกเธอ “ใช่แล้ว ฉันไม่เคยนำหินอีเธอร์ไปขายเองเลยสักครั้ง ถ้าคำพูดขอเธอเป็นความจริง มันฟังดูเข้าท่ามากๆ”

[การทดสอบถูกเคลียร์]

[ทางออกกำลังจะเปิดในไม่ช้า]

ซูฮยอนเดินไปตรวจทานความเรียบร้อยของหอคอยทรงกลมที่ตั้งอยู่กลางห้องโถง ก่อนปรับเปลี่ยนพิกัดทางออกให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม…

“นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม ฉันถึงโล่งอกยังไงหล่ะ”อยู่ๆซูฮยอนก็พูดคำว่าโล่งอก ออกมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย

“คะ?”

เขาพูดว่าโล่กอกอีกแล้ว?

เขากำลังหมายถึงอะไรกันแน่?

ไอลีแสดงสีหน้าสับสนออกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอจริงจังมากกว่าคราวที่แล้วมาก…เมื่อเธอออกจากห้วงความคิด เธอก็เงยหน้าขึ้นไปมองหาซูฮยอน แต่ทว่า…

“วะ..วาร์ริค???”

ซูฮยอนที่เคยยืนอยู่ตรงหน้าของเธอ อยู่ก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย โดยไม่บอกไม่กล่าว…

ไอลีรีบหันหน้า ซ้าย ขวา เพื่อตามหาร่างกายของซูฮยอน เธอเดินสำรวจไปทั่วห้องโถงทุกซอกทุกมุม ไม่ว่าจะเป็นหลังโขดหินหรือหลังซากศพของมอนสเตอร์ แต่จนแล้วจนรอดเธอก็หาตัวซูฮยอนไม่พบ..ทำให้เธอยืนอยู่กลางห้องโถงด้วยอาการเหม่อลอย

และแล้วหินอีเธอร์ที่กองอยู่ตามพื้นก็ดึงสติของเธอกลับคืนมา…

“เป็นไปไม่ได้ หรือว่า…”

<<หินอีเธอร์หมด..ถ้าเอาพวกมันไปขาย ราคาต้องออกมาดีใช่หรือป่าว?”>>

<<นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม ฉันถึงโล่งอกยังไงหล่ะ>>

<<ในอนาคตจะต้องมีเจ้าชายขี่ม้าขาว ยืนมือเข้ามาช่วยเหลือเธออย่างแน่นอน>>

เมื่อไอลีนึกย้อนกลับไปถึงคำพูดที่ซูฮยอนเคยพูดไว้ก่อนหน้า…ดวงตาเล็กๆของเธอก็ขยายขึ้นเรื่อยๆ

ในที่สุดเธอก็เข้าใจความหมายที่แท้จริงสักทีว่าซูฮยอนหมายถึงอะไร…

ตุบ

ไอลีล้มลงไปนั่งกับพื้น…..คนที่ซูฮยอนบอกว่าจะมาช่วยเหลือเธอในอนาคต ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตัวซูฮยอนเอง

“ฮือ ๆ ฮือ ๆ”

น้ำตาที่ไม่เคยไหลออกมาเลยนับตั้งแต่ตระกูลของเธออยู่ในสภาวะตกต่ำ แต่บัดนี้กลับไหลออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุ..

“ขอบ…คุณ”

ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ว่าเธอจะข้อร้องใคร ก็มีแต่คนเบี่ยงหน้าหนี.. แต่ในสุดคนที่กล้ายืนมือช่วยเหลือตระกูลของเธอกลับเป็นคนแปลกหน้า..

เธออยากพูดอะไรบางอย่างเพื่อขอบคุณความอนุเคราะห์ที่เขามอบให้ แต่เจ้าตัวกลับหายไปโดยไม่บอกลาสักคำ

“ขอบคุณ ขอบคุณจริง”

แม้เวลาจะล่วงเลยมานาน ไอลีก็ยังนั่งอยู่กับพื้นเหมือนเดิมพร้อมพร่ําเพรื่อคำว่าขอบคุณอย่างไม่รู้จบ…

***************

อย่างที่ซูฮยอนคิดไว้ไม่มีผิดว่า คะแนนความสำเร็จที่ได้จากการเคลียร์ชั้นที่ 21 จะได้ไม่เยอะเท่าชั้นที่ผ่านๆมา แต่มันก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ…

หากว่ากันตามตรงซูฮยอนก็อยากเอาหินอีเธอร์ออกมาเหมือนกัน แต่มันมีวิธีที่ยุ่งยากเกินไป

นอกจากการสกัดหินอีเธอร์ ยังมีอีกหนึ่งวิธีที่สามารถนำข้าวของออกจากหอคอยแห่งการทดสอบได้ นั้นก็คือใช้ [ใบสินทรัพย์ต่างมิติ] มันคือแบบฟอร์มคำสั่งซื้อที่อนุญาตในนำสิ่งของออกไปสู่โลกแห่งความจริงได้

แน่นอนว่าหากซูฮยอนอยากได้หินอีเธอร์จริงๆโดยไม่ต้องสกัด เขาก็แค่เข้าไปที่คลังเก็บของแล้วเอา [ใบสินทรัพย์ต่างมิติ] ออกมา แค่นี้หินอีเธอร์ระดับสูงสุดก็ตกเป็นของซูฮยอนอย่างง่ายดาย…

<<แม้ฉันจะรู้สึกเสียหายที่ทิ้งหินอีเธอร์ระดับสูงสุดไว้ด้านหลัง แต่ทว่า…>>

เพราะสถานการณ์ทางครอบครัวของไอลีก็ทำให้จิตใจของซูฮยอนได้รับผลกระทบ หากไอลีจะแบ่งหินอีเธอร์ให้ซูฮยอนจริงๆ เขาก็ทำใจรับไม่ลงอยู่ดี..

<<ในเมื่อฉันตัดสินใจไปแล้ว ฉันก็ไม่ควรเก็บมานึกเสียใจที่หลัง>>

ความคิดของซูฮยอนตีกันไปมา แต่ในเมื่อตัดสินใจไปแล้วเขาก็ไม่อยากเก็บมาคิดให้เสียเวลา อีกอย่างซูฮยอนไม่ใช่พวกหน้าเงิน หากเขาต้องการเงินจริงๆมันมีอีกตั้งหลายวิธีในการหาเงิน….

สำหรับซูฮยอน ยังมีคนที่ลำบากมากกว่าเขามากมายนัก ยกตัวอย่างเช่นไอลี

ในเมื่อเธอต้องการใช้หนี้ให้กับครอบครัว วิธีเดียวที่เห็นผลเร็วที่สุด คงเป็นการขายหินอีเธอร์ที่ซูฮยอนทิ้งไว้ให้….

จะว่าไปซูฮยอนก็ไม่เคยใจกว้างขนาดนี้มาก่อน….แต่การกระทำครั้งนี้ของเขากลับทำให้จิตใจเต็มไปด้วยความสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก ต่อไปนี้เรื่องราวของไอลี….ไม่มีอะไรที่ซูฮยอนต้องกังวลอีกต่อไป

แม้ซูฮยอนจะปล่อยวางเรื่องราวของไอลีไปได้ แต่เขาก็ยังมีอีกเรื่องที่กังวล…

<<ไข่เทวะ>>

หัวใจของซูฮยอนกระสับกระสายไปหมด เพราะไข่ที่อยู่ในคลังเก็บของเริ่มสั่นสะเทือนแรงขึ้น เหมือนมันกำลังจะฟักออกจากไข่

<<ในเมื่อมันเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ตัวที่อยู่ในไข่จะเป็นตัวอะไรกันแน่?>>

เมื่อมาถึงชั้นที่ 22 ซูฮยอนก็เปิดประตูมิติเพื่อกลับสู่โลกแห่งความจริงทันที แต่ก่อนที่จะก้าวออกไป ซูฮยอนไม่ลืมใช้แบบฟอร์มคำสั่ง [ใบสินทรัพย์ต่างมิติ] เพื่อนำไข่เทวะออกไปกับเขาด้วย…

ไข่เทวะที่ปรากฏตรงหน้าของซูฮยอนมันใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก จากที่มันมีขนาดเล็กๆเหมือนกันไข่ไก่ธรรมดา บัดนี้มันกับขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดเท่ากับหัวของมนุษย์ ที่สำคัญความอบอุ่นที่เคยเกาะอยู่บริเวณรอบๆเปลือกไข่ตอนนี้ก็หายไป มันแทนที่ด้วยความเย็นจากเปลือกไข่ซะงั้น..

<<มันคงไม่ระเบิดตูมออกมาหรอกนะ>>

ตั้งแต่ซูฮยอนเกิดมา เขาก็ไม่เคยเห็นการกำเนิดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เลยสักครั้ง ทำให้เขากังวลว่า ในระหว่างที่มันกำลังฟักตัว อาจมีปฏิกิริยาระเบิดเกิดก็ได้..

<<หากมันมีการระเบิดจริงๆ ฉันคงต้องใช้ร่างกายของตัวเอง บังรัศมีของระเบิดเอาไว้>>

ในขณะที่ซูฮยอนกำลังคิดเรื่องการระเบิด เขาก็ใจจดใจจ่อไปที่ไข่เทวะ เพื่อรอเจ้าตัวน้อยโผล่ออกมาจากไข่

ถ้าเกิดซูฮยอนนำเจ้าไข่ใบนี้ไปฟักด้านนอก เขาคงเสียใจไปตลอดชีวิต

เพราะซูฮยอนเคยอ่านเจอในหนังสือว่า เมื่อสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ถือกำเนิดออกมา

หากเจ้าตัวน้อยเห็นใครเป็นคนแรกมันจะถือว่าคนผู้นั้นเป็นพ่อและแม่ผู้ให้กำเนิดของมัน และมันจะค่อยติดตามคนผู้นั้นไปตลอดชีวิต จนกว่าชีวิตของมันจะหาไม่..

ซึ่งก็หมายความว่า หากซูฮยอนอยากเป็นเจ้าของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวจริงเสียจริง บริเวณรอบๆต้องไม่มีคนอื่น นอกจากตัวเขาเพียงคนเดียว…

ในระหว่างซูฮยอนเฝ้ารออย่างตื่นเต้น เขามักยืนมือไปสัมผัสกับเปลือกไข่เสมอ และแล้วเวลาก็ล่วงเลยไปครึ่งวัน…

ขนาดเวลาผ่านมานานกว่าครึ่งวัน แต่เจ้าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีวี่แววว่าจะฟักออกมาจากไข่เทวะเลยสักนิด แม้รอบๆเปลือกไข่จะมีรอบปริแตกเกิดขึ้นให้เห็นแล้วก็ตาม..

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

ซูฮยอนขมวดคิ้วขึ้นมาพร้อมกับความไม่สบายใจที่เริ่มก่อขึ้นในใจ

ซูฮยอนไตร่ตรองอะไรบ้างอย่างจนได้ข้อสันนิษฐานที่พอเชื่อถือได้…..เขายกมือขึ้นมาก่อนสัมผัสลงไปบนเปลือกไข่ ซูฮยอนค่อยๆถ่ายเท-พลังเวทย์ลงไปที่ละนิดเพื่อกระตุ้นในไข่เทวะเกิดการตอบสนอง

หลังจากซูฮยอนลองถ่ายเทพลังเวทย์เข้าไป…

กรอบแกรบ

รอยปริแตกเล็กๆก็เริ่มวิ่งแล่นไปตามพื้นผิวเปลือกไข่เร็วขึ้น ไม่นานแขนของตัวอะไรบ้างอย่างก็โผล่ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์…

สิ่งที่ปรากฏออกมาให้ซูฮยอนเห็นเป็นมังกรสีแดงตัวเล็กๆ กิริยาท่าทางที่มันแสดงออกมา น่ารักน่าเอ็นดูมากๆสำหรับซูฮยอน เพราะมันกำลังงัวเงียเหมือนคนพึ่งตื่น..

“มังกร?”

สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่พึ่งฟักออกมาจากไข่ มีความยาวประมาณ 50 เซนติเมตร

หากคนทั่วไปเจอมันข้างนอก พวกเขาอาจคิดว่ามันเป็นงู เพราะลำตัวของมันยาวเหมือนกับงู แต่ถ้าลองสังเกตดูดีๆจะเห็นว่าบริเวณหน้าอกของมันมีแขนเล็กเก็บไว้อยู่..ยิ่งไปกว่านั่นส่วนหลังของมันยังมีปีกอีก 1 คู่ ซึ่งมันเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเจ้าหนูน้อยตัวนี้ไม่ใช่งูอย่างแน่นอน เพราะมันกำเนิดมาจาก ไข่เทวะ..

หลังจากซูฮยอนยืนสังเกตเจ้าตัวน้อยมาได้สักพัก หัวของมันที่ควรเป็นหัวมังกรกลับมีลักษณะคล้ายๆกับหัวของเต่าซะงั้น ซูฮยอนคิดว่าสาเหตุที่เป็นแบบนี้ อาจเป็นเพราะเจ้าตัวน้อยยังอยู่ในวัยทารกอยู่ก็ได้..

เมื่อเจ้ามังกรน้อยได้อาบพลังเวทย์ของซูฮยอนจนพอใจ มันก็จมลงสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง..

เหมือนซูฮยอนจะพอเดาได้คราวๆว่าทำไมไข่เทวะถึงไม่แตกสักที..

“ที่แท้เพราะเจ้าตัวน้อยขี้เซาเกินไปต่างหาก ก็ว่าทำไมไม่ฟักออกมาซักที”

ในขณะที่ซูฮยอนยืนดูเจ้าตัวน้อยอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน…

เขาก็ร้องคร่ำครวญออกมา เพราะเวลาครึ่งวันที่เสียไป เสียไปกลับการรอให้เจ้าตัวน้อยฝักออกมาจากไข่ แต่ที่ไหนได้เจ้าตัวน้อยฝักออกมาตั้งนาน สาเหตุที่ลำตัวของมันยังไม่โผล่ออกมาจากไข่ ก็เพราะมันมีนิสัยขี้เซาไปหน่อยก็เท่านั้น…

ขนาดซูฮยอนถ่ายเท-พลังเวทย์ไปให้มัน เพื่อปลุกให้มันสดชื่น มันก็ยังงัวเงียเหมือนเดิม..

แม้จะเสียพลังงานชีวิตไปเยอะ แต่ผลตอบแทนที่ได้กลับมาก็คุ้มค่า

<<มังกรงั้นเหรอ….เกินกว่าจินตนาการของฉันซะอีก>>

ตามหนังสือที่ซูฮยอนเคยอ่านสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ประเภทมังกร จัดอยู่ในสายพันธุ์ที่สูงส่งที่สุดในบรรดาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล

มังกรที่พึ่งลืมตาดูโลกมาสดๆร้อนๆ มีรูปร่างคล้ายๆกับตำนานของชาวตะวันออก มากกว่าชาวตะวันตก ถึงซูฮยอนจะไม่รู้ว่าความสามารถที่แท้จริงของมังกร จะเป็นเหมือนจินตนาการหรือป่าว…แต่ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา แค่ซูฮยอนมีมังกรเป็นคู่หู มันก็เหมือนกับถูกรางวัลที่หนึ่งแล้ว

“นับจากนี้ไป ฉันจะเป็นคนดูแลแกเอง”

ซูฮยอนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าควรตั้งชื่อให้เจ้ามังกรน้อยว่าอะไรดี…ไม่นานเขาก็ปิงไอเดียขึ้นมา..

“มิรุ จากนี้ไปฉันจะเรียกแกว่า มิรุ”

มิรุ เป็นคำเกาหลีดั่งเดิมที่ใช่สำหรับเรียกมังกรโดยเฉพาะ

หลังจากตั้งชื่อให้ลูกมังกรเสร็จ เขาก็ค้นพบว่า ทุกๆครั้งที่ตั้งชื่อให้กับใคร เขามักปวดหัวเสมอ…

*************

มิรุที่หลับไหลมาตลอดทั้งวัน ในที่สุดก็เริ่มรู้สึกตัว

ซูฮยอนที่เฝ้าอดทดมาตลอดทั้งวัน เมื่อเห็นว่ามิรุเริ่มตื่นขึ้นมาจากอาการงัวเงีย เขาก็ลุกออกมาจากที่นั่ง ก่อนจ้องมองไปที่มิรุด้วยสายตาคาดหวัง

เมื่อมิรุเห็นคนมายืนอยู่ตรงหน้า มันก็คิดว่าซูฮยอนเป็นผู้ให้กำเนิดทันที มิรุสะบัดปีกเล็กน้อย ก่อนบินไปอยู่ด้านหน้าของซูฮยอน

คิ้ว คิ้ว

มิรุร้องออกมาอย่างมีความสุข แล้วบินไปเกาะไหล่ของซูฮยอน ก่อนใช้แก้มของมันถูไถไปมากับแก้มของเขา..

พฤติกรรมที่มิรุแสดงออกมามันน่ารักมากๆ จนซูฮยอนอดเอ็นดูไม่ได้..

“มิรุน้อย ความสามารถของเธอคืออะไรกันแน่?”

“คิ้ว?”

มิรุเอียงคอด้วยความสงสัยจากคำถามของซูฮยอน ไม่นานมันก็ถูแก้มของซูฮยอนต่อไปเหมือนไม่เข้าใจคำถามของเขา…

ซูฮยอนทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่..

<<มันน่ารัก น่าเอ็นดูก็จริง แต่ว่า…>>

สาเหตุหลักที่ซูฮยอนแบกสังขารเพื่อล่ามอนสเตอร์ในชั้นที่ 21 ไม่ใช่เพราะอยากเป็นพี่เลี้ยงเด็กสักหน่อย

ในเมื่อมิรุเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ประเภทมังกร ความสามารถของมันต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ ดังนั้นมิรุจึงกลายเป็นกำลังสำรองที่สำคัญต่อซูฮยอน…

คิ้ว คิ้ว

มิรุเริ่มใช้ห่างเล็กของมันพันรอบๆของคอซูฮยอนแล้วใช้หัวคลอเคลียไปมา ด้วยผิวหนังของมิรุยังไม่มีเกล็ด ทำให้ซูฮยอนสัมผัสได้ถึงผิวหนังที่แสนนุ่มนวลเหมือนผิวเด็กทารก…

“มิรุ…”

ซูฮยอนลองพยายามสื่อสารกับมิรุอีกครั้ง…แต่ผลที่ออกมาก็เหมือนเดิม ดูเหมือนมิรุน้อยจะเด็กเกินไปทำให้เขาไม่รู้ว่าซูฮยอนกำลังสื่อสารกับมันอยู่…

<<เฮ้อ…ฉันละอยากได้สกิลแปลภาษาอะไรก็ได้จริงๆ>>

แต่โชคร้ายสกิลที่ซูฮยอนอยากได้…มันไม่มีบนโลก ซึ่งหมายความว่า หากซูฮยอนต้องการสื่อสารกับมิรุ เขาต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง..

<<ตอนนี้มิรุยังเด็กเกินไป ทำให้เขายังไม่รู้เรื่องมากนัก คงต้องปล่อยให้มิรุเติบโตไปอีกสักพัก>>

ข่มเหงจิตใจของมิรุ โดยการใช้กำลังเพื่อบีบบังคับให้มิรุเปิดเผยความสามารถที่แท้จริงออกมาหลังจากฟักออกมาจากไข่ได้ไม่นานเนี่ยนะ มันเป็นสิ่งที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่ควรทำ..

ซูฮยอนก้มลงไปดูมิรุตัวน้อยที่กำลังโอบคอของเขาอยู่ หลังจากเจ้าตัวน้อยเที่ยวเล่นจนสนุกสนาน มันก็เข้าสู้ดินแดนแห่งความฝันอีกครั้ง…เมื่อทุกอย่างกลับมาเงียบสงบเหมือนเดิม ซูฮยอนก็ยืนคิดอะไรเงียบๆคนเดียว

<<ในเมื่อไม่มีทางเลือก นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันต้องค่อยแลหนูน้อยคนนี้ด้วยความรักและความทะนุถนอมสินะ>>

<<จริงสิ จะว่าไปรู้สึกจะมีผู้ตื่นขึ้นคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านสัตว์ศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะเลยนี้น่า รู้สึกจะชื่อ ซงฮย็องกิ>>

คนที่ซูฮยอนนึกถึงก็เป็นหนึ่งในผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ของประเทศเกาหลีเหมือนกัน

ซงฮย็องกิก็มีนิสัยเหมือนกับซูฮยอนคือชอบทำอะไรคนเดียว ฉะนั้นหากคิดจะตีสนิทกับซงฮย็องกิจึงแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะเขาไม่ค่อยเข้าร่วมสังคมกับผู้ตื่นขึ้นบ่อยนัก จนซูฮยอนคิดว่า การตามหาตัวของซงฮย็องกิก็เหมือนกับการงมเข็มในสมุทร…

ตอนแรกซูฮยอนก็ไม่อยากเสียเวลากับกับการหาตัวของซงฮย็องกิ แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว…

<<ถ้าคุณอยากเป็นพ่อที่แสนสมบูรณ์แบบ คุณต้องเรียกรู้เรื่องการลูกแลเด็กมากกว่านี้>>

ซูฮยอนเดินไปพร้อมกับมิรุที่กำลังนอนหลับอยู่บนคอ เขาเดินไปเปิดคอมพิวเตอร์แล้วเข้าเว็บไซต์อเวจีออนไลน์

[คุณซงฮย็องกิ หากคุณเห็นกระทู้นี้ ช่วยติดต่อมาหลังไมค์หน่อยได้ไหม? พอดีผมมีลูกมังกรที่พึ่งฟักออกมาจากไข่ ผมมีเรื่องอยากสอบถามคุณสักหน่อย…]

ซงฮย็องกิชายหนุ่มผู้เป็นหนึ่งใน [ผู้ตื่นขึ้น แรงค์ S] ของประเทศเกาหลี แถมเขายังคลั่งไคล้เรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มาเป็นพิเศษ นอกเหนือจากความแข็งแกร่ง ความรู้เกี่ยวกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของเขายังเป็นที่เชิดหน้าชูตาอีกต่างหาก ขนาดผู้เชี่ยวชาญสายตรงยังสู้ความรู้ของซงฮย็องกิไม่ได้

การกลับมาของฮีโร่

การกลับมาของฮีโร่

คิมซองอิน ฮีโร่ ที่แข็งแกร่งที่สุดของมวลมนุษยชาติ

เขาเดิมพันด้วยพลังทั้งหมดของเขา ในการต่อสู้กับเหล่ามอนสเตอร์ที่กำลังรุกรานโลก

ทว่า…ความตั้งใจของเขาก็ไม่สำเร็จ โลกมนุย์ถูกทำลาย

แต่ตำนานยังไม่ตาย เมื่อเขาได้มีโอกาสย้อนกลับไปในอดีต เมื่อ 20 ปีที่แล้ว

การเดินทางครั้งใหม่ของเขาได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน