ตอนที่ 88
“เพื่อน แกว่าจะมีใครกล้าตาย เข้าไปห้ามปราม 2 คนนั้นไหมว่ะ?”
“ไม่มีหรอก นายคิดว่าในที่นี้ มีใครกล้าอาสาเอาหน้าไปลองรับอารมณ์ของพวกเขาบ้าง? เผลอๆโดนพวกเขารุมสกรัมกลับมาอีก”
“กิลด์มาสเตอร์เมดอิแค็ลอยู่ไหน ทำไมฉันถึงไม่เห็นวี่แววเขาเลย?”
“สงสัยยังมาไม่ถึง เพื่อน…นายคิดจริงๆเหรอว่า หากเขาอยู่ที่นี่จะหยุด 2 คนนั้นได้?”
ฝูงผู้ตื่นขึ้นจับกลุ่มกันกระซิบกระซาบ พวกเขาสังเกตการณ์ จอร์แดน และ โคลอี้ ทะเลาะจากระยะไกลๆ…
ความจริง ข่าวลือทั้ง 2 คนไม่ถูกคอกัน ล่วงรู้ไปถึงหูผู้ตื่นขึ้นคนอื่นนานมาก….
จอร์แดน เป็นชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยความดื้อรั้นไม่ยอมใครและยังเป็นพวกอนุรักษ์นิยมสมัยเก่า
โคลอี้ เป็นหญิงที่ปราศจากความหวาดกลัว ต่อให้คู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งกว่า เธอก็พร้อมวิ่งเข้าไปประมือ ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังมีระดับความหลงตัวเองที่ไม่รู้จะอธิบายเป็นคำพูดยังไง…
พวกเขา 2 คนก็เหมือนน้ำกับไฟ ที่ไม่มีวันบรรจบกัน…
เมื่อได้ยินข่าว ว่าสหรัฐอเมริกาเหนือเพียง จอร์แดน และ โคลอี้ เท่านั้นที่สามารถโจมตีดันเจี้ยนได้…
ผู้ตื่นขึ้นที่ถูกเบื้องบนสั่งการให้รับหน้าที่โจมตีดันเจี้ยนทุกคน รู้สึกเหมือน มีความกังวลจากที่ไหนไม่ทราบ ประเดประดังเข้ามาจนแน่นหน้าอก.. ระหว่างมอนสเตอร์ จอร์แดน โคลอี้ พวกเขาต้องระวังอะไรมากกว่ากัน?
การทะเลาะเบาะแว้งที่เกิดจากสาเหตุเล็กๆ ไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ…
“หวังว่าพวกเราทุกคน คงผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นนี้ ไปได้อย่างปลอดภัย”
ตุบ!! ตุบ!!
เสียงย่ำฝีเท้าของใครบางคนดังขึ้นตามกลางความเงียบสงัด…
ผู้ตื่นขึ้นที่อยู่บริเวณนี้ แทบไม่มีใครกล้าส่งเสียงดังเลยสักคน พวกเขาทำได้แค่กระซิบกระซาบกันเบาๆเท่านั้น ขนาดก้าวเดินเพียงครึ่งก้าว พวกเขายังไม่กล้า…
แต่แล้วกลับมีเสียงฝีเท้าของใครบางคนทำลายบรรยากาศที่เงียบสงัด ความสนใจทั้งหมด จึงมุ่งตรงไปยังคนผู้นั้น..
ใบหน้าของอีกฝ่าย เป็นใบหน้าที่พวกเขาไม่คุ้นและไม่เคยเห็น แถมดูจากสรีระภายนอก เขาไม่ใช่ชาวอเมริกาอย่างแน่นอน..
“เขาเป็นใคร?”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
“อ่า..เหมือนเขาจะเป็นคนเอเชียนะ”
“เพื่อน…นายเห็นเหมือนฉันหรือป่าว เขากล้าเดินไปหาปีศาจทั้ง 2 คนจริงดิ?”
รอบข้างบ่นกันให้เซ่งแซ่ แต่ซูฮยอนไม่สนใจ เขายังคงเดินหน้าต่อไปอย่างขะมักเขม้น….
ระยะห่างระหว่างซูฮยอนและพวกเขาเริ่มกระชั้นชิดขึ้น ออร่าเย็นยะเยือกเหมือนยืนอยู่ทามกลางอาร์กติกถูกปล่อยออกมาจาก จอร์แดน และ โคลอี้
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ซูฮยอนรู้สึกเหมือนโดนเข็มเล่มเล็กๆทิ่มแทงตามชั้นผิวหนัง
เมื่อผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S 2 คน สัมผัสได้ว่ามีคนเดินเข้ามาหา ทั้งคู่จึงเลิกจิกกัดทางสายตา ก่อนย้ายไปจ้องซูฮยอนแทน…
ซูฮยอนให้ความสนใจกับโคลอี้มากเป็นพิเศษ เพราะยิ่งเดิมใกล้เข้าไปเรื่อยๆ หล่อนแสดงสีหน้าประมาณว่า [ไอ้โง่เง่านี้ใคร?] ออกมา หลังจากเห็นการปรากฏตัวของเขา
“ผมรู้สึกกระดากปากเหมือนกันที่ต้องพูดโกหก ว่ายินดีที่ได้พบ แต่ช่างมันเถอะ…ผมได้ยินมาว่า พวกคุณกำลังพูดเรื่องของผมอยู่เหรอ”ซูฮยอนพูด
“นายเป็นใคร?”โคลอี้ไม่รู้จักอีกฝ่าย เธอจึงเริ่มสำรวจร่างกายของเขาตั้งแต่ล่างขึ้นบน…
จอร์แดนลูบคาง เหมือนกำลังคิดวิเคราะห์แยกแยะอะไรบางอย่าง…
“คุณคือคิมซูฮยอน?”
“ใช่ผมเอง”
“คิมซูฮยอนคนนั้น..?”จอร์แดนถามอีกครั้ง
“คนที่จะร่วมมือกับพวกเรา เพื่อเข้าโจมตีดันเจี้ยนสินะ”
“หึ…ไม่น่าเชื่อว่ากิลด์เล็กๆอย่างเมดอิแค็ล จะเชื้อเชิญแรงค์ S มาได้ ครั้งนี้พวกเขาคงหวังได้คะแนนผลงานมากกว่ากิลด์แห่งอื่นแหง่ๆ แต่คงเป็นได้แค่ฝันลมๆแล้งๆ กิลด์สตาร์ของฉันต่างหากที่จะได้คะแนนผลงานมากที่สุด”
การปรากฏตัวของซูฮยอน ทำให้บริเวณรอบๆตกอยู่ในความวุ่นวาย
ในที่สุดคำอธิษฐานต่อพระเจ้าก็เป็นผล…ชายหนุ่มที่สามารถทำลายบรรยากาศตึงเครียดระหว่างจอร์แดนและโคลอี้ลงได้ เสด็จลงมาโปรดพวกเขาสักที…
ผู้ตื่นขึ้นที่อยู่ในอาการกลืมไม่เข้าคายไม่ออก ต่างดีใจจนเนื้อเต้น
อย่างไรก็ตามมีอยู่ 1 คน ที่มองซูฮยอนด้วยแววตาคมกริบ
“นายได้ยินฉันพูดไหม?”
โคลอี้ถามซูฮยอนด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น….
ซูฮยอนจ้องมองอีกฝ่ายกลับไป ก่อนพยักหน้าตอบ “เธอพูดดังจนได้ยินไป 3 บ้าน 8 บ้าน ไม่ได้ยิน คงมีแค่คนหูหนวก”
“หึ…เข้าเรื่องดีกว่า นายต้องการอะไร?”
คำถามของเธอ บอกเป็นนัยๆ ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าคุณผู้หญิงคนนี้พูดอะไรเกี่ยวกับนาย…ต้องการให้เธอทำอะไร บอกมาตรงๆเลยดีกว่า ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง..
หล่อนเป็นผู้หญิงที่หน้าหนาเหมาะสมกับเครื่องสำอางที่แต่งแต้มบนให้หน้าจริงๆ
เธอไม่สนอารมณ์ความรู้สึกของซูฮยอนเลยสักนิด..
“ผมไม่เอาความหรอกครับ แต่ช่วยชี้แนะผมด้วยคุณ [ป้า]”
ซูฮยอนตอบกลับไปโดยทำท่าไม่รู้สึกรู้สา..
“ปะ…ป้า?”
ขนคิ้วของโคลอี้ขมวดชนกัน…ทำให้ใบหน้าของเธอดูหน้ากลัวขึ้น
หากซูฮยอนได้ยินการพูดคุยของเธอกับจอร์แดนจริงๆ เขาต้องรู้อยู่แล้ว ว่าเธอเกลียดคนที่เรียกเธอว่า [ป้า] มากที่สุด ต่อให้อีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจ คงไม่มีผู้หญิงคนไหนบนโลก อยากโดนคนอื่นเรียกตัวเองว่า[ป้า] หรอก โดยเฉพาะผู้หญิงที่อยู่ในวัยบานสะพรั่งอย่างเธอ..
ยั่วยุ นี้มันเป็น คำยั่วยุชัดๆ…
ซ่า!!! ซ่า!!!
ออร่าพลังของโคลอี้แผ่ซานไปทั่วบริเวณพื้นที่ ระดับความเข้มข้นสูงยิ่งกว่ารอบแรกมาก
รอบตัวของโคลอี้เต็มไปด้วยความหนาวเย็น อุณหภูมิลดต่ำลงจนถึงจุดเยือกแข็ง วัตถุอะไรก็แล้วแต่ ที่ไม่มีพลังเวทย์ไหลเวียนเริ่มมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะตามพื้นผิว..
ร่างกายของผู้ตื่นขึ้นก้าวข้ามความเป็นมนุษย์ไปแล้ว ทำให้พวกเขามีภูมิต้านทานความหนาวเย็นและความร้อน
แม้พวกเขาจะยืนอยู่ห่างกับโคลอี้ แต่คลื่นความเย็นยังส่งผลกระทบมาถึงพวกเขาจนรู้สึกแสบผิว
ซูฮยอนและจอร์แดนยืนอยู่ใกล้เธอมากที่สุด คงได้มีโอกาสสัมผัสความเย็น มากกว่าพวกเขาถึง 100 เท่า..
“แก…แกอยากตายมากใช่ไหม?”โคลอี้ข่มขู่
“โคลอี้”
ครืน!!!
ทันใดนั้นเองออร่าของจอร์แดนพลันเรืองรองออกมา ลำแสงสีขาวที่ดูร้อยแรงพวยพุ่งออกมาจากพื้นโลกก่อนบินตรงไปหาโคลอี้
โคลอี้ไม่เกรงกลัว เธอยกฝ่ามือขึ้นมาแล้วปล่อยพลังส่วนกลับไป
ตูม!!!!!
พลัง 2 สายเข้าปะทะกัน หมอกควันจากการระเบิดปกคลุมอยู่รอบๆตัวของพวกเขา…
“ลดออร่าของเธอลงไปซะ อย่าลืมว่าภารกิจของเราคือการโจมตีดันเจี้ยน ถ้ายังไม่ยอมเก็บมันลงไป ฉันจะหักแขนเธอทิ้งซะ ที่นี่และตอนนี้” จอร์แดนพูด
“หักแขนฉัน นายน่ะเหรอ?”
“ถูกต้อง จะเป็นใครไปได้อีกนอกจากฉัน?”
“แก!! ไอ้ลูกโสเภนี ฉันจะถลกหนังแก”
“พอได้แล้ว”ซูฮยอนเบรก
ออร่าพลังของทั้ง 2 คน ที่เปิดฉากกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่กลางอากาศ 2 สาย ถูกออร่าพลังเวทย์สายที่ 3 เข้าแทรกแซง
พลังเวทย์สายที่ 3 เริ่มปราบปรามพลังเวทย์ทั้ง 2 สาย ที่นัวเนียกันอยู่กลางอากาศอย่างดุเดือนให้กลับมาอยู่ในความสงบ..
จอร์แดนและโคลอี้คิดไม่ถึงมาก่อน ว่าจะมีคนกล้าขั้นกลางการปะทะพลังของพวกเขา ผู้ตื่นขึ้นที่อยู่ที่นี่ ไม่มีใครมีความสามารถกดขี่ออร่าของทั้งคู่ได้แน่…
พวกเขาจึงหันหน้าไปมองซูฮยอนเป็นตาเดียว
“อย่าให้ความโกธรเข้าครอบงำ จนสร้างความเดือนร้อนกลางเมืองได้ไหม ถ้ายังไม่หยุดมีหวังภาพลักษณ์ของผู้ตื่นขึ้นย่อยยับหมดพอดี”ซูฮยอนกล่าว
“กะ กะ แก!!!”
“ผมพูดอะไรผิด? หรือว่าไม่พอใจที่ผมพูดขัดคอ? ถ้าไม่พอใจ ทำไมเราไม่ไปหาที่เงียบๆคุยกัน แล้วสะสางปัญหาค้างคาใจ ตามจริงพวกเรายังพอมีเวลาว่างอยู่อีกเยอะ สนใจไหม?”นัยน์ตาซูฮยอนหรี่ลงจนแหลมคมดุจใบมีด
โคลอี้กัดฟันของตัวเองและเดินตรงดิ่งไปหาซูฮยอน “คำพูดของแก ฉันจะสนองให้”
“เฮ้อ….”จอร์แดนเห็นว่าโคลอี้มีท่าทางเอาจริงเอาจัง เขาจึงต้องปรับเปลี่ยนบทบาทกลายมาเป็นกรรมการชั้วคราวและเข้าไปห้ามทั้งคู่ให้แยกจากกัน
“ใจเย็นก่อนทุกคน ฉันผิดเอง เพราะฉันพูดแรงเกินไป ทำให้เรื่องราวบานปลาย นี่ครั้งแรกที่คุณและพวกเราได้มีโอกาสพบปะกัน หยุดทะเลาะและจบปัญหาทุกอย่างกันเถอะ”
“จอร์แดน นาย…”
“โคลอี้พอได้แล้ว เลิกทำตัวเป็นหญิงเจ้าปัญหาสักที ไม่เห็นหรือไงว่าผู้ตื่นขึ้นคนอื่นๆ กำลังมองมาทางเรา อีกอย่างซูฮยอนเป็นแขก เธอไม่สามารถลงมือกับเขาได้”
คำพูดของจอร์แดน เป็นผลให้โคลอี้ทำอะไรไม่ได้นอกจากกัดรีมฝีปาก ก่อนหมุนตัวเดินจากไป
ซูฮยอนเฝ้ามองแผ่นหลังโคลอี้ที่เริ่มเดินห่างออกไป…สุดท้ายแผนการที่วางเอาไว้ก็มีมารผจญขัดขวางจนได้
เขาเลียรีมฝีปากของตัวเองด้วยความเสียดาย…
“ดูเหมือนคุณอยากต่อสู้กับเธอจริงๆนะ”จอร์แดนพูดในสิ่งที่สังเกตเห็น
“ช่วยไม่ได้ เธอใช่คำพูดเหยียดหยามคนอื่นทั้งๆที่ไม่เคยเจอหน้ากัน เป็นใคร ใครก็โกธร”
“นายดูดุดันกว่ารูปลักษณ์ภายนอกมาก ฉันชอบนิสัยของนายจริงๆ”
รอยยิ้มเริงร่าปรากฏบนใบหน้าของจอร์แดน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าตัวกำลัง นึกถึงสีหน้าอมทุกข์ของโคลอี้ ขณะที่เธอเดินจากไป..
“ฉันข้อแนะนำตัวอย่างเป็นทางการหน่อยก็แล้วกัน ฉันชื่อจอร์แดน เป็นรองกิลด์มาสเตอร์แม็กซิมั่ม ฉันหวังว่า นายคงไม่เก็บคำพูดของโคลอี้มาคิดให้รกสมอง ถือซะว่าเธอเป็นหมาแล้วถ่ายมูลทิ้งไว้ก็พอ”
“ผมคิมซูฮยอนครับ”
“จากนี้ไปฉันจะดูแลคุณเอง ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากจัดการดันเจี้ยนให้ได้ภายในวันนี้ เพื่อลดการสูญเสียมากที่สุดเท่าที่ทำได้ ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าครอบครัวกิลด์ของฉันที่มาแค่หยิบมือ จะทำงานร่วมกับคุณได้”
พูดจบจอร์แดนก็ยืนมือออกไปหาซูฮยอน เพื่อจับมือทักทายตามมารยาททางสังคม..
จอร์แดนมีอัธยาศัยดีมาก จนโคลอี้เทียบไม่ติด…แค่สังเกตจากการแนะนำตัวซูฮยอนก็รับรู้ได้
ระหว่างที่จอร์แดนกำลังแนะนำตัว เขาไม่ลืมยกชีวิตสมาชิกกิลด์แม็กซิมั่มขึ้นมา เหมือนเขากำลังข้อร้องทางอ้อมกับซูฮยอน ว่าถ้าเป็นไปได้ โปรดช่วยเหลือสมาชิกกิลด์ของเขาด้วย…
เจอร์แดนช่างเอาใจใส่สมาชิกในกิลด์ได้สมกับเป็นรองกิลด์มาสเตอร์จริงๆ แถมมารยาททางสังคมที่ปฏิบัติต่อผู้อื่น ยังทำให้ซูฮยอนที่เจอเขาครั้งแรก อดรู้สึกประทับใจไม่ได้
แต่น่าเสียดาย….
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ จากท่าทีของคุณ เหมือนกำลังคิดว่าเรื่องที่กำลังเผชิญหน้าต่อจากนี้เป็นเรื่องตลกสินะ”ซูฮยอนพูด
“เรื่องอะไร?”
“ผมว่า คุณควรเก็บความคิดเรื่องการเคลียร์ดันเจี้ยนในได้เร็วที่สุด เพื่อลดการสูญเสียไว้ก่อน”
ซูฮยอนปล่อยมือจากจอร์แดน และเก็บไว้ข้างลำตัว..
“พวกเราควรหันมากังวล ว่าจะกลับออกมาได้อย่างมีชีวิตหรือป่าวดีกว่าครับ”
จอร์แดนไม่ได้ตอบโต้กลับไป เขาทำได้เพียงมองดูแผ่นหลังของซูฮยอนค่อยๆเดินห่างออกไป
คำพูดของอีกฝ่าย ฟังดูเหมือนผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชน เกี่ยวกับการโจมตีดันเจี้ยนระดับสีเงิน แม้ความจริงจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ตาม เพราะดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงินปรากฏขึ้นมาที่สหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก แต่ไม่รู้ทำไม หลังจากได้ยินพูดของซูฮยอน จอร์แดนกลับรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ..
เหนือสิ่งอื่นใด พลังเวทย์ของซูฮยอนปล่อยออกมามีความหนาแน่นสูงมาก ถึงขนาดกดขี่รัศมีพลังเวทย์ของจอร์แดนและโคลอี้ได้..
<<ตอนที่ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเขา ฉันคิดว่าบรรดาผู้ตื่นขึ้น คงพูดเกินความจริง แต่มาตอนนี้ ฉันเชื่อแล้วว่าเขามีความสามรถตามข่าวลือจริงๆ…>>
จอร์แดนก้มมองมือของตัวเองและบ่นพึมพำ..
“บางที่ ฉันอาจมองข้ามความจริงบ้างอย่างไป”
******************
แกร็ก!!! แกร็ก!!!
ฟุตบาทที่โคลอี้กำลังเหยียบย่ำอยู่ ถูกเกล็ดน้ำแข็งแผ่นบางๆเคลือบไว้
อารมณ์ฉุนเฉียวของเธอทำให้บรรยากาศรอบๆหนาวเหน็บลงอย่างเห็นได้ชัด
<<ไม่สบอารมณ์เลยจริงๆ เพราะไอ้บ้านั้นแท้ๆ>>
ยิ่งนึกถึงสายตาซูฮยอน ใบของโคลอี้ก็น่ากลัวมากขึ้น..
<<เขายับยั้งออร่าของฉันได้ยังไง?>>
ซูฮยอนเป็นผู้ตื่นขึ้นที่อยู่บนชั้นที่ 30 เท่านั้น
เธออยู่ชั้นสูงกว่าซูฮยอนตั้งหลายชั้น เหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้เธอไม่อาจยอมรับ..
โคลอี้เชื่อว่าประสบการณ์ในฐานะผู้ตื่นขึ้นต้องมีมากกว่าเขา ไม่ใช่แค่ประสบการณ์เท่านั้นที่มีมากกว่า เธอยังมั่นใจอีกว่าสกิลการต่อสู้ก็มีมากกว่าอีกฝ่าย..
แต่การปะทะพลังเวทย์เมื่อครู่ เธอเป็นฝ่ายถูกเขากดดัน….แม้เธอและเขาจะยังไม่เคยประมือกันจริงๆจังๆ เธอกล้ายืนยันว่าอีกฝ่ายมีฝีมืออยู่พอตัว ความภาคภูมิและความทะนงตนเริ่มพังทลายลงอย่างช้าๆ
<<อืม…หรือเป็นเพราะว่าฉันประชันพลังเวทย์กับคนนอกรีตอย่างจอร์แดนนานเกินไป ทำให้พลังเวทย์ในร่างกายอ่อนแอลง?>>
โคลอี้พยายามมองโลกในแง่ดี ถึงอย่างงั้น ก็ยังมีอะไรบางอย่างขัดแย้งกันอยู่…
“คุณผู้หญิงหยุดทำสีหน้าบูดบึ้งเถอะ เครื่องสำอางบนใบหน้าคุณลอกออกหมดแล้ว”
โคลอี้หันหน้ามองไปยังต้นตอของเสียง…..
เจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มรูปร่างอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน บนหัวของเขาสวมหมวกบัคเก็ตปิดบังใบหน้าเอาไว้ เขาคือผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ที่ติดตามโคลอี้มาด้วย..
อารมณ์ฉุดเฉียวของโคลอี้ที่เริ่มบรรเทาลงไปบ้าง ปะทุขึ้นมาใหม่อีกรอบ..
“นายเองก็อยากทะเลาะกับฉันเหมือนกันใช่ไหม?”โคลอี้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงอำมหิต
ชายคนนั้นไม่กลัวการข่มขู่ของโคลอี้ เขาหัวเราะเบาแล้วตอบกลับไป “เธอกำลังตกมันอยู่หรือไง เรื่องราวทุกอย่าง เธอเป็นคนเริ่มต้นก่อนแท้ๆ ไหงกลายเป็นว่าฉันผิดซะงั้น?”
“ถ้าไม่อยากในคุณผู้หญิงคนนี้อารมณ์เสียไปมากกว่านี้ ปิดปากเหม็นๆของแกไปซะ”
“ชายหนุ่มคิมซูฮยอนคนนั้น….”ชายสวมหมวกบัคเก็ตเปลี่ยนเรื่องคุยและทอดสายตามองไปยังจุดที่ซูฮยอนเดินหายไป
“ฉันจะพิสูจน์ให้เห็น ว่าเขาไม่ใช่ตัวแปรสำคัญในแผนการโจมตีครั้งนี้”
“ตัวแปร? ตัวแปรอะไรของแก”โคลอี้ตอบกลับมาอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว เหมือนต้องการสื่อว่า [พูดเรื่องอะไรของแก?]
อารมณ์ผีเข้าผีออกของเธอในตอนนี้ ไม่เหมาะเป็นคู่สนทนากับใครทั้งสิ้น ชายสวมหมวกบัคเก็ตคิดในใจและสายหัวไปมา..
“ป่าว ไม่มีอะไร”
ชายสวมหมวกบัคเก็ตตอบกลับอย่างคลุมเครือ เขาดึงหมวกให้ต่ำลงมาเพื่อซ่อนสายตาและหมุนตัวเดินจากไป…ปล่อยให้โคลอี้ยืนสับสนคนเดียว…
<<คิมซูฮยอน จอร์แดน โรเจอร์ส>>
เหมือนเธอกำลังจินตนาการถึงสีหน้าเยาะเย้ยของทั้ง 2 คน สายตาขุ่นมัวของเธอลุกโชติช่วงไปด้วยเพลิงโทสะ
“คอยดูเถอะ ฉันจะฆ่าแกทั้ง 2 คน ให้ตายอย่างทรมาน”
*****************
ปาร์ตี้การโจมตีดันเจียนระดับสีน้ำเงินประกอบไปด้วย 4 กิลด์
การนัดรวมตัวกันจึงใช่เวลานานกว่าปกติมาก เพราะแต่ละคน ต้องเตรียมอาหารและของใช้ส่วนตัวของใครของมัน…
สิ่งที่รอคอยนานที่สุดไม่ใช่การเตรียมตัวของผู้ตื่นขึ้น แต่เป็นการตั้งโต๊ะสัมภาษณ์ข่าวต่างหาก…
ถึงเวลานัดรวมพลในที่สุดจอร์แดนก็มีโอกาสพบผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ที่โคลอี้พามาสักที่..
นิสัยของชายสวมหมวกบัคเก็ตดูเป็นมิตร แถมยังสุภาพกว่าโคลอี้มาก..
การสัมภาษณ์ข่าวเป็นไปได้อย่างราบรื่น โคลอี้ที่เคยมีสีหน้าบูดบึ้งกลับส่งยิ้มในนักข่าว ราวกับกำลังประกวดนางงามจักรวาลอยู่..
จอร์แดนยืนรอเธอสัมภาษณ์ข่าวและก้มหน้ามองดูนาฬิกาเป็นระยะๆ ในที่สุดเขาเริ่มทนไม่ไหว
“โคลอี้พอได้แล้ว ถึงเวลาเตรียมตัว”
ความอดทนของจอร์แดนมีจำกัด การสัมภาษณ์ของโคลอี้กินเวลานานกว่าคนอื่นเยอะมาก…
กำหนดการโจมตีดันเจี้ยนก็กระชั้นชิดเข้ามา ถ้าไม่เข้าไปหยุดเธอมีหวังมืดค่ำก่อนพอดี
โคลอี้ไม่ตอบโตกลับ เธอแค่ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจเท่านั้น
“เตรียมตัวก็เตรียมตัว นักข่าวทุกท่าน ฉันต้องขอตัวก่อน”
ตุบ!!
บางที่อาจเป็นเพราะความประหม่า ฮักจุนทุบหน้าอกของตัวเองและบ่นงึมงัมเบาๆ
ไม่แปลกที่เขาจะรู้สึกประหม่าขึ้นมา..
การเป็นคนแรกๆที่ได้ครอบครองสิ่งของที่ผู้คนทั่วโลกหมายตา นอกจากจะทำให้คนอื่นอิจฉาตาร้อน ยังทำให้ผู้ครอบครองตื่นเต้นหวั่นไหวไปกันมันด้วย…
ดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงินก็เปรียบเสมือนสิ่งของที่ผู้ตื่นขึ้นทั่วโลกหมายตา ฮักจุนที่กำลังได้มีโอกาศสัมผัสกับสิ่งนั้นจึงเกิดความรู้สึกประหม่าขึ้น
ดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงินก็เหมือนกับประตูสู่ความตาย ไม่มีใครทราบ ว่าพวกเขาจะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่หรือไม่
ดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงินแห่งแรกของโลก ความคาดหวัง ความกังวล ความตื่นเต้น วิ่งแล่นอยู่เต็มอกฮักจุน
ซูฮยอนที่ยืนอยู่ข้างๆรับรู้ได้ว่าช่วงเวลานี้ ห่วงอารมณ์ของฮักจุนกำลังผสมปนเปกันมั่วไปหมด..
“นายจำคำพูดที่ฉันเคยพูดไปก่อนหน้านี่ได้ใช่ไหม?”ซูฮยอนถาม
“แน่นอนครับ ผมจำได้ขึ้นใจ”
เมื่อจอร์แดนและโคลอี้เตรียมตัวทุกอย่างเสร็จสิ้น กลุ่มผู้ตื่นขึ้นก็เดินขบวนไปยังปากทางเข้าของดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงิน
ฮักจุนเดินตามตาหลังพวกเขาและเริ่มนึกถึงคำพูดของซูฮยอนที่ บอกให้ฟังช่วง 2-3 วันก่อน
“ภายในดันเจี้ยนเต็มไปด้วยอุปสรรคและกับดักมากมายที่พวกเราคิดไม่ถึง ดันเจี้ยนก็เหมือนกับการเสี่ยงดวง มันสามารถออกหัวออกก้อนได้ตลอดเวลา และที่สำคัญ…”
หมับ!!!
ฮักจุนเอื้อมมือไปจับดาบที่เหน็บไว้อยู่ข้างเอว “ขณะที่คุณก้าวเข้าสู้ดันเจี้ยน หมายความว่า การต่อสู้ที่เดินพันด้วยชีวิตและความตาย กำลังเริ่มต้นขึ้น”
“อืม…ดีมาก นายจำเอาไว้ให้ดี”ซูฮยอนพูด
“รับทราบครับ”
“ทุกคนเตรียมความพร้อมเสร็จกันหมดแล้วใช่ไหม”
จอร์แดนและโคลอี้หัวหอกหลักในการโจมตีดันเจี้ยน ยืนอยู่ห่างจากปากทางเข้าไม่เกิน 5 ก้าว หันหลังกลับมาตะโกนถามสมาชิกผู้ตื่นขึ้น….
“ในเมื่อทุกคนเตรียมตัวเสร็จกันหมดแล้ว งั้นออกปฏิบัติการได้.”
ทันทีที่สิ้นเสียงของจอร์แดน เขาไม่รอช้า รีบนำผู้ตื่นขึ้นที่จัดขบวนอยู่ด้านหลัง เดินเข้าไปในดันเจี้ยนทันที..
*****************
[การทดสอบเริ่มต้นขึ้น]
[เพื่อหลบหนีออกจากดันเจี้ยนที่เต็มไปด้วยภยันตราย พวกคุณมี 2 ทางเลือก ทางเลือกที่ 1 คุณต้องออกค้นหาประตูที่ติดตั้งเอาไว้ที่ไหนสักแห่งในดันเจี้ยน ทางเลือกที่ 2 มีชีวิตรอดให้ครบ 10 วัน]
ข้อความแสนเรียบง่ายและกระชับ สามารถทำความเข้าใจได้ง่ายๆโดยไม่ต้องใช้หัวคิด ดังขึ้นมาให้ผู้ตื่นขึ้นทุกคน….
เป็นสัญญาณการันตีว่าการโจมตีดันเจี้ยนระดับสีฟ้า เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
“พวกเราติดแหง็กอยู่ในดันเจี้ยนซะแล้ว?”
“เวรจริงๆ ทางเข้าถูกปิดตาย….ฉันจะหนียังไงละเนี่ย?”
ดันเจี้ยนแห่งนี้ยากกว่าระดับสีเขียวหลายเท่า เพราะมันเป็นดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงิน
แถมดันเจี้ยนยังมีบทสอบและกฎข้อบังคับที่เหมือนหอคอยแห่งการทดสอบไม่มีผิด หากอยากออกไปจากที่นี่ พวกเขาจำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อความที่ได้ยินเมื่อสักครู่
ช่างแตกต่างกับดันเจี้ยนทั่วไป เช่น สีส้ม สีเหลืองจริงๆ ดันเจี้ยนทั่วไป พวกเขาสามารถเข้าออกไปดันเจี้ยนอย่างอิสระ ในการเคลียร์ก็ง่ายแสนง่าย แค่จัดการมอนสเตอร์ที่อยู่ข้างในให้หมดก็เป็นอันเสร็จ แต่วิธีเช่นนั้นใช้กับดันเจี้ยนระดับสูงไม่ได้..
ยิ่งดันเจี้ยนระดับสูงขึ้น ความยากยิ่งก็ยกระดับตาม ดังนั้นไม่แปลกใจ ว่าทำไมดันเจี้ยนระดับสูงถึงมีบทสอบในผู้ตื่นขึ้นทำ สำหรับซูฮยอนดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงินจัดการง่ายกว่าดันเจี้ยนระดับสีม่วงหลายขุม
“ทุกคนทำใจให้ผ่อนคลาย ระวังกังวลมากไปกางเกงในอาจเปียกชุมโดยไม่รู้ตัว ถ้าลบความกลัวไม่ได้ คิดซะว่าพวกเรากำลังจัดงานเลี้ยงในธีมแฟนตาซีก็ได้”จอร์แดนเดินอยู่ด้านหน้า พูดสร้างขวัญและกําลังใจให้กับสมาชิกในปาร์ตี้ ที่กำลังตกอยู่ในอาการตื่นกลัว คำพูดของเขาเหมือนเชื้อไวรัส มันค่อยๆแพร่กระจายไปยังผู้ตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว ความตื่นกลัวเริ่มจางหาย..
จอร์แดนเลิกสนใจสมาชิกที่ยืนอยู่ด้านหลัง เขาหันหน้ากลับมาแล้วมองสำรวจบริเวณรอบๆ
หลังจากเข้ามาในดันเจี้ยน วิวทิวทัศน์ก็เปลี่ยนแปลงไป ตึกรามบ้านช่องที่รายล้อมพวกเขาอยู่ ตอนนี้กลับกลายเป็นป่ารกทึบที่แสนกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
เขาเจอเคยลักษณะดันเจี้ยนที่คล้ายคลึงแบบนี้มาเยอะมาก จึงมีความคุ้ยชินกับมันเป็นอย่างดี…ความกังวลที่กัดกินหัวสมองของจอร์แดนเริ่มเบาบางลง..
หลังจากจิตใจเริ่มกลับสู่สภาวะปกติ จอร์แดนรีบหาจุดปลอดภัยแวะหยุดพัก เพราะต้องการเช็คจำนวนสมาชิก…
ดวงตาเย็นชาของเขากวาดไล่มองผู้ตื่นขึ้นที่ละคน ทันใดนั้นเองดวงตาที่ราบเรียบไร้อารมณ์ พลันสั่นไหวอย่างตื่นตระหนก…
“ทุกคนกรุณาอยู่ในความสงบ”ระหว่างจอร์แดนกำลังเช็คจำนวนสมาชิกปาร์ตี้ อยู่ๆเขาก็ตะวาดเสียงดังขึ้นมา….
“มีคนหายไป?”
ในปาร์ตี้มีคนหายไป 2 คน…
“ชายสวมหมวกบักเก็ตและ…”
แววตาคมกริบของจอร์แดนหันมองไปทางฮักจุนและถามออกมา “คิมซูฮยอนอยู่ไหน?”