ตอนที่ 102
<<ตัวใหญ่ชะมัด>>
คาดคะเนความกว้างของมอนสเตอร์ด้วยสายตาเพียงอย่างเดียวก็หนาหลายเมตร ตัวมันใหญ่เทอะทะ ซูฮยอนตั้งคําถามในใจ หากมีคนพบเห็นตัวมันครั้งแรก จะคิดว่ามันเป็นงูจริงๆเหรอ?
มอนสเตอร์ตัวใหญ่เกินงูไปหลายเท่า เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจน ควรยกให้มันเป็นมังกรโตเต็มวัยมากกว่า
โฮกกกก!!!
อูโรโบรอสยกหัวขึ้นมาเหนือผิวน้ำครู่หนึ่งและดำดิ่งลงใต้มหาสมุทรเหมือนเดิม อูโรโบรสโชว์ตัวช่วงเวลาสั้นๆ แถมยังมาถูกที่ถูกเวลา ราวกับรู้ล่วงหน้าว่าซูฮยอนต้องถ้ำมองมันจากที่ใดสักแห่ง
<<นี่มันคือโชว์เรียกน้ำย่อย ก่อนการทดสอบอย่างเป็นทางการจะเริ่มขึ้นชัดๆ ฉันควรแสดงท่าที่เกรงกลัวสักหน่อยดีไหม?>>
การทดสอบระดับ 10 เป็นอุปสรรคที่ซูฮยอนต้องฝ่าฟันไปให้ได้
ซูฮยอนกังขาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ อาจเป็นตัวบงชี้ให้เห็นถึงความยากของการทดสอบ ว่ารุนแรง อันตรายแค่ไหน และมีผลกระทบอะไรบ้าง
ไม่ใช่เรื่องพิลึกหากผู้ตื่นขึ้นจะเกิดความรู้สึกกลัวเมื่อเจอเหตุการณ์แบบซูฮยอน พวกเขาคงคร่ำครวญประมาณว่า “ไอ้การทดสอบเฮงซวย ใครจะไปจัดการงโอฬารตัวนั้นได้ ไอ้เวรเอ๋ย”
อย่างไรตาม…
<<ขนาดตัวไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง>>
ซูฮยอนละทิ้งมหาสมุทรไว้เบื้องหลัง และเริ่มออกเดินทาง
<<เทียบฟาฟเนียร์>>
ฟาฟเนียร์ไม่ใช่ทั้งเผ่าพันธุ์มังกรหรือเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่เป็นมอนสเตอร์ที่มีความแข็งแกร่งและชั่วช้าสาธารณ์มากที่สุด เท่าที่ซูฮยอนเคยประชันหน้า
ขนาดร่างกายฟาฟเนียร์ถือว่าเล็กกว่าอูโรโบรอสพอสมควร หากมีคนถามเฉพาะเจาะจงว่า ระหว่างฟาฟเนียร์และอูโรโบรอส ตัวไหน [ใหญ่กว่ากัน] ซูฮยอนกลางพูดได้เต็มปากปราศจากความลังเล สําหรับเขา คิดว่าฟาฟเนียร์ใหญ่กว่าอูโรโบรอส..
เมื่อเทียบกับฟาฟเนียร์ อูโรโบรอสตัวใหญ่ยักษ์นั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับงูเลี้ยงสามัญ..
“งั้นก็…”
“ฉันควรเริ่มออกสํารวจส่วนไหนของเกาะดีนะ?”
ซูฮยอนเดินสํารวจเกาะรอบนอกก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อรู้โครงสร้างคร่าวๆจึงเดินลึกเข้าไปส่วนกลางด้านใน ไม่นานเขาก็เจอกําแพงขนาดใหญ่ตั้งเด่นสะดุดตา
กําแพงสร้างมากจากเหล็กเนื้อดี แข็งแรงมีคุณภาพ ความสูงโดยเฉลี่ยคือ 50 เมตร
มองด้วยสายตาไม่เห็นรูหรือช่องลมเลยแม้แต่น้อย สมแล้วที่เป็นปราการเหล็กแท้จริง
<<เทคโนโลยีการสร้างกําแผง ดีกว่าหลายเมืองที่เคยเห็นผ่านตา เป็นเพราะเมืองนี้คือเมืองของเหล่านักเวทย์หรือป่าวนะ?>>
ซูฮยอนนึกย้อมถึงคําอธิบายของการทดสอบพลางเดินเข้าใกล้กําแพง ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินน้ำเสียงแข็งกร้าวตะโกนออกมาจากเชิงเทิน
เสียงนั้นมีคลื่นพลังเวทย์ผสมโรง แม้จะอยู่หางไกลออกไป ซูฮยอนสามารถได้ยินเสียงอย่างชัดถ้อยชัดคํา
“หยุดเดี๋ยวนี้! เป็นใครมากจากไหน ระบุมา!”
ซูฮยอนหยุดชะงัก แหงนหน้าขึ้นมอง
ด้านบนเชิงเทินมีทหารยามเฝ้ายามอยู่ 2 คน พวกเขากําลังจ้องเขม็งไปยังจุดที่ซูฮยอนยืนอยู่
“ผมเป็นคนหลงทาง คลื่นลมมหาสมุทรนําพาผมมาที่นี้ ระเหเร่ร่อนนานนับคืน สุดท้ายก็เจอความหวัง ไม่ทราบว่าพี่ชาย 2 ท่าน ช่วยอนุเคราะห์ผมได้หรือไม่”
ทหารยามแสดงท่าที่ลังเล ไม่เชื่อใจการปั้นน้ำเป็นตัวของซูฮยอน
ทหารยาม 2 คน หันหน้าหารือกันสักพักหนึ่ง ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะกระโดดลงมาด้านล่าง
พรึ่บ!!!
ทหารยามอาศัยแรงลมพยุงตัวปลายเท้าแตะพื้นอย่างนุ่มนวล คนที่ปรากฏตรงซูฮยอนส่วนชุดเกราะเติมยศ ดูองอาจผึ้งพาย แต่เครื่องแต่งกายไม่เหมือนทหารกล้ากวัดแกว่งดาบสังหารข้าศึก มันเหมือนชุดของนักเวทย์มากกว่า
เมื่อซูฮยอมช้อนตามอง ทหารนายนี้ไม่มีอาวุธคู่กายป้องกันตัว ดาบที่อๆคุณภาพต่ำสักเล่มยังไม่มี จะเป็นทหารได้เหรอ?
“เจ้าถูกมหาสมุทรพัดพามางั้นเหรอ?”
ดวงตาของทหารยามเต็มไปด้วยความแครงใจ ภูมิประเทศเป็นหมู่เกาะ มีมหาสมุทรล้อมรอบไม่พิกล หากมีคนแปลกหน้าโผล่ขึ้นมา หลายครั้งที่เภทภัยทางทะเลโอบอุ้มคนแปลกหน้ามาเกยพื้นที่เกาะแห่งนี้ แต่ว่าช่วงนี้มันไม่เหมือนกัน เป็นการยากมากที่จะมีคนรอดชีวิตขึ้นเกาะได้อย่างปลอดภัย
“พี่ชายหลักแหลมนัก พอรู้สึกตัวอีกที่ผมก็นอนอยู่บนเกาะนี้แล้ว” ซูฮยอนพูด
“เจ้ากําลังบอกความจริง ไม่โป้ปด?”
“ผมจะกล้าให้ความเท็จกับพี่ชายได้ไง ก่อนจะสลบผมเห็นอสูรกายใต้ทะเลด้วย ผมพูดจริงนะ”
คําตอบของซูฮยอน ไม่สามารถบรรเทาความแคลงใจของทหารได้
ระหว่างบรรยากาศเริ่มอึมครึมทหารยามด้านบนอีกคนก็กระโดดลงมาสมทบ
“เจ้าไม่รู้เหรอ เมื่อวานถึงคราวกําหนดการเซ่นสังเวย ความอยากอาหารของอูโรโบรอสจึงทุเลาลง”
“งั้นเหรอ? ไม่แปลกใจเลยทําไมเขาถึงรอดชีวิตอยู่และจับพลัดจับผลูมาถึงที่นี่ได้”
“เจ้าหนู ข้าขอแสดงความยินดีที่เจ้ามีลมหายใจ แต่เมืองหลังกําแพงไม่ใช่ใครหน้าไหนก็สามารถทัศนาจรได้ ถ้าเจ้าอยากเข้าไปต้องพิสูจน์เสียก่อน”
“พิสูจน์อะไรเหรอครับ?”ซูฮยอนถาม
“นี่คือเมืองของเหล่านักเวทย์ หากเจ้าต้องการเข้าไปหลังกําแพง…”
วุป!!
ทหาร 2 นายเงียบกริบปากปิดแน่นสนิท
เปลวเพลิงเล็กๆ ลุกโชนขึ้นบนฝ่ามือของซูฮยอน พวกเขาลองตรวจสอบมันดูแล้ว ไม่ใช่มายากลหรือเล่ห์เหลี่ยม แต่มันถูกจุดออกมาจากพลังเวทย์ภายใน
“อืม อย่างน้อยเจ้าก็รู้พื้นฐาน”
ทหารนายหนึ่งยักไหล่และกระโดดกลับขึ้นไปบนเชิงเทิน
ครืน!!!
เขาวางมือลงบนแท่นไม้แกะสลัก ประตูป้อมปราการที่ปิดแน่นหนา เริ่มค่อยๆเปิดแง้มขึ้น..
“เจ้าหนูโปรดจําเอาไว้อย่างหนึ่ง นี่คือโมรอส เมืองแห่งนักเวทย์ ความฝันใฝของนักเวทย์หลายชีวิตรวมตัวอยู่ที่นี่ คลื่นพลังเวทย์แผ่ซานออกมาทหารยาม บรรยากาศเริ่มสั่นระริก พลังเวทย์เข้มข้นห่อหุ้มร่างกายของทหารนายสายตาตรึงไว้ที่ซูฮยอน
“ก่อนมาที่นี่ข้าไม่สนว่าพื้นเพของเจ้าเป็นใคร ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะไม่ซ่อนเร้นเจตนารมณ์ไม่บริสุทธิ์เอาไว้และสร้างความวุ่นวาย ถ้าเจ้าฝ่าฝืนกฏโดยกระทําความผิด เจ้าไม่มีทางรอดไปจากที่นี่ได้ จําเอาไว้”
“เชิญพักผ่อนตามสบาย ถ้ายังรักษากฎ เจ้าสามารถอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ก็ได้”
“ขอบคุณครับพี่ชาย ผมจะเจียมเนื้อเจียมตัว อยู่ในโอวาทสํารวม”
เมื่อซูฮยอนตอบกลับด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ทหารโบกมือส่งสัญญาณให้ซูฮยอนเข้าไปได้แล้ว
ซูฮยอนค่อยเดินผ่านประตูป้อมปราการที่เปิดโล่ง สายตาทหารยาม 2 นายยังคงจ้องแผ่นหลังของซูฮยอนอยู่
<<เจตนารมณ์ไม่บริสุทธิ์งั้นเหรอ…>>
จากสีหน้าและกิริยา พวกเขากังวลความประพฤติของซูฮยอนมาก แต่พวกเขาก็ยังปล่อยให้ซูฮยอนเดินเข้ามาให้เมืองได้ง่ายๆ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะกฎระเบียบเคร่งครัดของเมืองนี้..
กฎระเบียบบัญญัติเอาไว้ชัดเจนว่าใครก็ตามมีคุณสมบัติเป็นนักเวทย์ จะถูกยอมรับในเมืองแห่งนี้และสามารถของเข้าเมืองได้ มันจึงกลายเป็นเหตุผลว่าทําไม เมืองนี้ถึงถูกเรียกขานว่า เมืองแห่งนักเวทย์
<<กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือพวกเขามั่นใจในกองกําลังของตัวเอง>>
เป็นสถานที่น่าสนใจจริงๆ
นักเวทย์ ระหว่างปืนปานหอคอยแห่งการทดสอบซูฮยอนมีประสบการณ์เกี่ยวกับนักเวทย์นับไม่ถ้วน เพราะเคยปะกลุ่มคนเหล่านี้มาหลายครั้งในชีวิตก่อนหน้า พวกเขามีนิสัยอวดดีและมีความคิดนอกกรอบ
ซูฮยอนสาวเท้าพ้นประตู ผู้คนสัญจรบนตามท้องถนนคับคั่ง สายตาแพรวพราวของเขาพินิจกลุ่มคนที่กําลังทํากิจวัตรประจําวัน อนุมานจากความรู้สึกทุกคนควรเป็นนักเวทย์
เป็นการเปิดหูเปิดตาที่ตื่นตาตื่นใจสุดๆ
ฮี้!! ฮี้!! ฮี้!!
กี้!! กี้!! กี้!!
เหนือหัวขึ้นไปมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์รูปโฉมภายนอกแปลกตาบินโฉบไปโฉบมา ยกตัวอย่างเช่นปักษาที่ลําตัวรุ่งโรจน์ด้วยเปลวเพลิง หรือ อาชาสีฟ้าหม่นวิ่งเหยาะๆอยู่กลางอากาศ
ในฐานะที่พวกเขาเป็นถึงนักเวทย์ การฝึกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ให้เชื่องไม่ใช่เรื่องนักหนาอะไรมาก แต่ไม่ใช่ทุกคนจะทําสําเร็จ
“มิรุ”
คิ้ว!!!
กรงเล็บมิรุฉีกกระชากแหวกอากาศ หัวและลําตัวโผล่แย้มออกมาให้เห็น เมื่อมิรุพาร่างกายออกมาจากมิติกลางอากาศได้สําเร็จ มันรีบบินไปคลอเคลียแก้มชนแก้มกับซูฮยอน ราวกําลังลิ้นกระดาษทราย
มิรุดีใจมาก ในที่สุดตัวเองก็ได้ออกมาโลกภายนอก
“ขอโทษนะมิรุ ที่ต้องเก็บนายไว้ในมิติตลอด ฉันคิดว่าเมืองนี้ นายออกมาเล่นเล่นสูดอากาศคงไม่มีใครตกใจกลัว”
คิ้ว!!!
สาเหตุที่ซูฮยอนเก็บมิรุไว้ในมิติตลอดเพราะมีโอกาสที่ผู้ตื่นขึ้นอาจคิดว่ามิรุเป็นมอนสเตอร์จนเผลอลงมือโจมตี ดังนั้นเขาจึงนํามิรุออกมาเดินเล่นด้านนอกบ่อยๆไม่ได้
แต่ภายในเมืองแห่งนี้ เขาเชื่อว่าเรื่องที่เป็นห่วงในโลกแห่งความจริง จะไม่เกิดขึ้นที่นี่ เพราะสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นอกเหนือจากมิรุมีให้เห็นดาษดื่น
ซูฮยอนอุ้มมิรวางไว้บนหัว จากนั้นจึงเริ่มเดินไปตามท้องถนน
ตลอดทางซูฮยอนรู้สึกได้ถึงสายตาของผู้คน จ้องมองขึ้นลงสํารวจตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับพวกเขามองซูฮยอนเป็นพวกแปลกแยก ไม่แปลกใจว่าทําไมพวกเขาถึงแสดงสายตาแบบนั้นออกมา เพราะการแต่งตัวของพวกเขากับซูฮยอนไม่เข้าพวก
«แทนที่จะสวมชุดเกราะป้องกันร่างกายตัวเอง แต่ที่นี่ส่วนใหญ่กลับสวนเสื้อผ้าลักษณะเป็นเสื้อคลุม ทหารเฝ้ายามหน้าประตูก็เหมือนกัน หรือจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของที่นี่? >>
ขนบธรรมเนียมของเมืองนี้เป็นการยากที่ผู้มาเยือนหน้าใหม่อย่างซูฮยอนจะทําความเข้าใจและปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม แม้จะพึ่งมาถึงที่นี่ แต่เขามั่นใจว่เมืองนี้แตกต่างจากเมืองที่เขาเคยไป
ย่านการค้า ปกติบนแผงลอยต้องเป็นเนื้อสัตว์หรือผักอุปโภคบริโภคที่ชาวเมืองรับประทาน แต่ตลาดของที่นี่กลับถูกแทนที่ด้วยซากศพมอนสเตอร์ ผู้ซื้อกระจายไปตามแผงลายที่ตัวเองสนใจ บางคนเอานิ้วจุ่มลงไปในโพชั่น เพื่อลิ้มรสและสัมผัสประสิทธิภาพ
สมแล้วที่ผู้คนเรียกกันว่าเมืองแห่งนักเวทย์ ทุกอย่างแปลกหูแปลกตาไปหมด
<<เงียบสงบกว่าที่คิดอีกแฮะ ไม่สอดคล้องกับคําอธิบายเลย>>
คําอธิบายที่ระบุในการทดสอบ ทุกๆเดือนต้องส่งเครื่องสังเวยให้แด่ อูโรโบรอส
เมืองที่ใช้ผู้คนเป็นเครื่องสังเวย ลักษณะบางมุมคล้ายๆการทดสอบของชั้นที่ 10 ดังนั้นซูฮยอนจึงคิดมาเสมอว่าบรรยากาศภายในเมืองต้องมืดมนไร้ชีวิตชีวา
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ดูเต็มไปด้วยพลังงานและความมีชีวิต อย่างที่เมืองในชั้นที่ 10 ไม่มี ซูฮยอนไม่รู้ว่าเพราะลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของนักเวทย์หรือป่าวทําให้เมืองนี้ดูครึกครื้น หรืออาจเป็นเพราะมีปัจจัยสําคัญอะไรซ่อนอยู่
<<หนึ่งเดือนนั้นเหรอ…>>
เป็นเวลาที่ยาวนานพอสมควร
จากคําพูดที่ทหารเฝ้าประตูบอก เมื่อวานฟังถึงคราวกําหนดการเซ่นเครื่องสังเวยให้เจ้าอูโรโบรอสไปหมาดๆ
หมับ!!
ขณะกําลังรวบรวมข้อมูลเล็กๆน้อยเข้าด้วยกัน มีใครบางคนย่องมาด้านหลังแล้วจับไหล่
ซูฮยอนหันหลังกลับไปมอง คนที่จับไหล่เป็นชายชราหนวดเคราสีขาวหลังค่อมหน่อยๆ สายตาตรวจสอบซูฮยอน…
“เจ้าหนุ่ม มาเยือนเมืองนี้ครั้งใช่หรือไม่?” ชายชราถาม
“ผู้อาวุโสรู้ด้วยเหรอครับ?”
ต่อให้อาศัยอยู่ในเมืองมาตั้งแต่เกิด การจดจําใบหน้าคนนับหมื่นได้หมดทุกคน แทบเป็นไปไม่ได้..
ชายชราหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของซูฮยอน
“เจ้าหนุ่มไม่รู้ตัวเองเลยรี อาการของเจ้าแสดงออกผ่านสีหน้าหมดแล้ว แถมสายตายังสาดส่องรอบราวกับเด็กหลังเขา เข้าเมืองใหญ่เป็นครั้งแรก ข้าอาศัยอยู่ที่นี่มานาน ชายที่ข้าเคยเจอเมื่อนานมาแล้ว ก็มีท่าที่ล่อกแล่กอย่างเจ้าเนี้ยแหละ ข้าจึงสันนิฐานว่าเจ้าเป็นคนมาเยือนหน้าใหม่”
กล่าวจบชายชราชม้อยสายตามองมิรุ ที่กําลังเกาะหัวซูฮยอนเอาไว้..
“ข้าขอกล่าวเข้าประเด็น สาเหตุที่ข้าเข้ามาสนทนากับเจ้า เพราะสนใจมังกรตัวน้อยที่พึ่งฟักออกจากไข่”
“ผู้อาวุโสหมายถึงมิรุเหรอครับ?”
“มิรุ? ชื่อของเจ้ามังกรสินะ มันมีความหมายหรือไม่?”
“มันมีความหมายว่า [มังกร] เป็นภาษาบ้านเกินผมนะครับ”
“เป็นชื่อที่คร่ำครึมาก บงบอกถึงความไม่ใส่ใจ”
โดนคนพึ่งพบกันครั้งแรกตําหนิ ทําไมความรู้สึกผิดถึงแล่นอยู่ในจิตใจของซูฮยอนได้ละเนี้ย?
ซูฮยอนไม่อยากให้ชื่อมรุกลายเป็นหัวข้อสนทนาเลยเถิดไปมากกว่านี้ เขาจึงเป็นฝ่ายเปลี่ยนหัวข้อสนทนาใหม่ “ผู้อาวุโสบอกว่าสนใจมังกรของผม ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสอยากบอกอะไรกับผมกันแน่?”
“เด็กคนนี้ไม่เหมือนมังกรสามัญ นั้นแหละคือเหตุผลที่ข้าสนใจ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์สายพันธุ์มังกรมีน้อยมาก ยากต่อการพบเห็น”
“ผู้อาวุโสทราบความเป็นมาของมิรุเหรอครับ?”
“เจ้าหนุ่มอยากไปบ้านข้าไหมล่ะ ข้าแก่หงําเหงือก ความทรงจําเลยหลงๆลืมๆ บ้านข้าอาจมีข้อมูลเก็บไว้อยู่ ดูจากสภาพของเจ้าแล้ว คงเป็นประเภท เจ้าไม่มีศาล สมภารไม่มีวัด ไปพักผ่อนบ้านข้าก็ได้ ข้าอาศัยอยู่ตัวคนเดียว”
เป็นประโยคชักชวนที่ซูฮยอนตั้งตัวไม่ทัน
ซูฮยอนอยากได้ที่พักผ่อนเหมือนกัน แต่ติดปัญหาตรงที่เขาไม่มีเงินติดตัวเลยสักแดงเดียว คําชักชวนของอีกฝ่ายดึงดูดความสนใจของเขาได้มาก เพราะเดิมที่เขาก็อยากรู้ความเป็นมาของมิรุอยู่แล้ว…
คําชักชวนไม่มีผลเสียหายอะไรมาก ซูฮยอนชั่งใจไตร่ตรองและพยักหน้าตอบตกลง “ความอารีของผู้อาวุโส ผู้น้อยนอบรับด้วยความเต็มใจ”
“ตามข้ามา”
ซูฮยอนก้าวเดินตามหลังชายชรา…
ด้วยความที่ชายชราอายุเยอะและหลังค่อม การเดินไปบ้านพักของชายชราจึงเชื่องชาเหมือนเต่าคลาน
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนนิสัยตามธรรมชาติของชายชราจะเป็นคนช่างพูด อีกฝ่ายเริ่มอธิบายเรื่องเกี่ยวกับเมืองแห่งนักเวทย์ให้ฟัง แม้การไปบ้านชายชราจะคลาไคลเนิบๆไม่รีบร้อน สําหรับซูฮยอนมันไม่รู้สึกน่าเบื่อเลยนิด คงเพราะอีกฝ่ายอธิบายคลายข้อสงสัยให้หลายเรื่องกระมัง
ใช้เวลาเดิน 20 นาทีพวกเขาก็มาถึงจุดหมาย บ้านพักของชายชราใหญ่ที่สุดในละแวกใกล้เคียง
ภายในบ้านยังมีสวนหย่อมขนาดใหญ่ด้วย ชายชราพาซูฮยอนเดินลัดสวนหย่อนและพูดขึ้นว่า
“สาธยายคอแหบ ยังไม่ได้บอกชื่อในเจ้ารู้ ข้ามีชื่อว่า มัลคอล์ม”
“ผมชื่อคิมซูฮยอน”
“คิม…อะไรนะ? ชื่อของเจ้าพิกลยิ่งกว่ามิรุเสียอีก”
ขณะนําซูฮยอนเดินเข้าไปในบ้าน มัลคอล์มพูดทวนชื่อของซูฮยอนซ้ำหลายรอบ
เมื่อเข้ามาในบ้านสิ่งแรกที่ปรากฏทักทายสายตาของซูฮยอนคือห้องโถงกว้างขวาง เพดานยกสูงชะรูด ห้องนั่งเล่นอยู่ถัดจากห้องโถงไม่ไกลนัก มองเข้าไปจะเห็นหนังสือหลายเล่มวางซ้อนทับถมกันไว้เป็นกองๆ
“เจ้าหนุ่มรู้สึกอ่อนเปลี้ยบ้างไหม? ถ้ายังปกติดีอยู่ละก็ วางของไม่จําเป็นลงก่อน แล้วลงไปห้องใต้ดินกัน ที่นั้นเป็นห้องสําหรับการค้นคว้าของข้าเอง”
“แล้วที่กองอยู่ตรงนั้นคืออะไรเหรอครับ?”
“อ่อเจ้าหมายถึงหนังสือเหล่านั้นสินะ เป็นหนังสือการค้นคว้าของข้าที่คัดออกไป เมื่อใดก็ตามที่ข้ารู้สึกระอมระอากับงานค้นคว้าข้าจะแยกออกมาไว้ที่ห้องนั่งเล่น หนังสือที่ข้าเอาไว้อ้างอิง ค้นคว้าจริงจังอยู่ในห้องใต้ดิน”
ซูฮยอนคิดว่าหนังสือที่กองอยู่เป็นภูเขาเลากา คงมีไว้สําหรับอ่านแก้เซ็งหรืออ่านฆ่าเวลา นักเวทย์ส่วนใหญ่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนอนหนังสือ วันๆหมกมุ่นอยู่กับหนังสือ กิน นอน ต้องมีหนังสือกองอยู่ข้างกาย และมัลคอล์มก็ไม่มีนิสัยต่างกัน กล่าวได้ว่าทั้งเขาและนักเวทย์ส่วนใหญ่มีนิสัยเหมือนกันยังกับแกะ
ซูฮยอนและมัลคอล์มเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น มุมห้องมีประตูบานขนาดพอดีตัวปิดไว้อยู่
เมื่อเปิดออกจะเห็นบันไดทอดยาวต่ำลงไปด้านลงซึ่งเป็นทางเดินสู่ห้องใต้ดิน มัลคอล์มจุดเปลวเพลิงบนฝ่ามือ
“เจ้าหนุ่มข้างล่างค่อนข้างมืดสลัว เดินดูขั้นบันไดด้วย”
ห้องค้นคว้าชั้นใต้ดินอยู่ลึกกว่าที่คิดไว้ หลังจากซูฮยอนและมัลคอล์มเดินมาถึงชั้นล่างสุด
มัลคอล์มดีดนิ้ว
ฟรึ่บ!!
ประทีปในห้องใต้ดินมอดดับ ลุกพรึ่บส่องสว่างขึ้นพร้อมกัน
แสงสว่างทําให้ความกว้างและความใหญ่ของห้องใต้ดินประจักษ์สู่สายตา มันใหญ่จนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ปกติซูฮยอนไม่ใช่คนขี้ตกใจ แต่ครั้งเขาอดแสดงใบหน้าตกใจออกมาไม่ได้จริงๆ ดวงตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า
<<ชั้นใต้ดินกว้างมาก>>
แทนที่จะเรียกว่าห้องค้นคว้า ต้องเรียกห้องนี้ว่าหอสมุดส่วนกลางถึงจะเหมาะสมกว่า
อย่างบอกนะว่าชายชราอ่านหนังสือในห้องนี้หมดทุกเล่นแล้ว คงไม่หรอกมั้ง จะหาเวลาว่างขนาดนั้นมาจากไหน? กะด้วยสายตามีหนังสือมากกว่าหมื่นเล่ม
คิ้ว!! คิ้ว!! คิ้ว!!
ขณะซูฮยอนกําลังเพลิดเพลินไปกับห้องค้นคว้า มิรุที่เกาะอยู่บนหัวร้องคํารามขึ้น สายตาจ้องมองไปยังทางหนึ่ง
ซูฮยอนชําเลืองมองมัลคอล์ม ซึ่งเดินดื่มไปกลางห้องค้นคว้าไม่สนใจพวกเขา
เขาละสายตากลับมาและหันมองไปอีกทิศทางที่มิรุทักท้วง
“อืมอยู่ไหนกันนะ เหมือเคยเห็นแวบๆอยู่แถวๆนี้”
มัลคอล์มดึงหนังสือเล่มหนึ่งออกมาและเปาฝนที่เกาะคร่ำเครอะออก
“เจอสักที ไม่ได้หยิบอ่านนาน ฝุ่นเกาะเต็ม”
มัลคอล์มยิ้มกริ่มจนพอใจและหันหลังกลับมา อย่างไรก็ตาม ซูฮยอนที่ควรติดตามมาอย่างใกล้ชิด หายไปไหนก็ไม่รู้
“เขาหายไปไหน อย่าบอกนะว่าหลงทางในห้องค้นคว้า?”
“ผมไม่ได้หลง ผมอยู่ตรงนี้ครับ”
ทิศทางเสียงที่ชายหนุ่มตะโกนออกมา เป็นเหตุให้มัลคอล์มเผลอแสดงสีหน้าตื่นตระหนัก เขารีบเดินอ้าวไปตามเสียง
ภาพที่มัลคอล์มเห็นคือซูฮยอนหยิบหนังสือออกมาจากตู้ และอ่านอย่างพินิจตั้งใจ..
“เขาหาหนังสือเล่มนั้นเจอได้ยังไง?”
สายตาร้อนผะผ่าวจ้องมองซูอยอน ก่อนมัลคอล์มจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเลิ่กลั่ก “เจ้าหนุ่ม หนังสือเล่มนั้นคือว่า…”
“ผมรู้ว่าผู้อาวุโสคือนักเวทย์แห่งความมืด” ซูฮยอนพูด สายตาจดจ่ออยู่กับหนังสือ
“แต่ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าผู้อาวุโสจะมีส่วนเกี่ยวกับการอัญเชิญอูโรโบรอส”