ตอนที่ 139
<<เขามาอยู่ที่นี่ได้ไง?>>
อาเดลแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เขาขยี้ตาซ้ําแล้วซ้ําเล่าเพื่อยืนยันว่าใบหน้าคิมซูฮยอนที่สายตามองเห็นเป็นของจริงไม่ใช่ตาฝาด
ผู้ตื่นขึ้นชาวเกาหลีใต้คนนี้ควรต่อสู้ติดพันอยู่กับสเตฟานและเหล่าผู้ตื่นขึ้นจากทวีปยุโรปเหตุผลที่เขามาปรากฏตัวที่นี่
“พวกเราต้องการกําลังคนเพิ่ม แค่ 10 คนจัดการเป้าหมายไม่ได้!”
นั่นเป็นบทสนทนาครั้งสุดท้ายกับสเตฟาน ก่อนที่สายจะถูกตัดขาดเพราะการโจมตีของกอร์ดอนโรฮันเสียงร้อนรนขอความช่วยเหลือจากสเตฟานดังก้องในหัวของอาเดลอีกครั้ง
อาเดลจินตนาการว่าการต่อสู้ของกลุ่มสเตฟานคงกําลังดําเนินไปอย่างทุลักทุเลแต่ปรากฏว่าการต่อสู้ด้านบนยุติลงไปเรียบร้อยแล้วแถมยังเร็วกว่าที่เขาคิดไว้ซะอีก
“จํานวนคนชั้นใต้ดิน เยอะกว่าด้านบนจริงๆด้วยแฮะ” ซูฮยอนพูด
ซูฮยอนสาดส่องสายตาไปยังกลุ่มผู้ตื่นขึ้นที่ยืนอยู่ในสนามแข่งขันและพยักหน้าเหมือนกําลังทําความเข้าใจอะไรบางอย่าง กอร์ดอนโรฮันที่เห็นกิริยาท่าทางของซูฮยอนจึงเกิดความสงสัยเลยตัดสินใจตั้งคําถาม
“มีกลุ่มคนไปหาเรื่องนายด้วยใช่ไหม?”
“จะเหลือเหรอ สัก 10 คนได้ล่ะมั้งที่มาหาเรื่องฉัน”
“นายลงมือฆ่าพวกเขาทั้งหมดแล้ว?”
“ปาวหรอก ฉันไว้ชีวิตพวกเขา 6 คน”
“พวกเขาหนีไปเองหรือนายยอมปล่อยพวกเขาไป?”
“ฉันยอมปล่อยพวกเขาไปเองแหละ ถ้าพวกเขาเกิดตายกันหมด สมมุติยุโรปเกิดเหตุดันเจี้ยนระบาดขึ้น ใครจะเป็นคนหยุดยั้งดันเจี้ยนล่ะ จริงไหม?”
ซูฮยอนตอบกลับด้วยท่าทางผ่อนคลายพร้อมยักไหล่เหมือนไม่นึกเสียใจเรื่องที่ยอมปล่อยผู้ที่หมายเอาชีวิตให้หนีรอดไป
แม้เขาพึ่งผ่านการต่อสู้กับผู้ตื่นขึ้นนับ 10 คนมาหมาดๆ แต่จากการสํารวจสภาพร่างกายภายนอกของซูฮยอน เหมือนเจ้าตัวจะไม่เหนื่อยล้าเลยสักนิด
เป็นที่แน่ชัดว่าการต่อสู้กับกอร์ดอนโรฮันที่ผ่านมา ฝ่ายผู้ตื่นขึ้นจากยุโรปตกเป็นรอง ถ้าเกิดว่าซูฮยอนเข้าร่วมการต่อสู้ด้วยล่ะก็… พวกเขาคง
<<เสียท่าแล้วสิเรา>>
อาเดลส่ายหัว จากนั้นก็หันไปมองกอร์ดอนโรฮัน “คําพูดของนายก่อนหน้านี้ ยังมีผลอยู่ไหม?”
“คําพูดของฉันเหรอ?”
“ไม่เอาความและไม่คิดแก้แค้น นายเคยพูดแบบนี้ ลืมแล้ว?”
“อ่า จําได้แล้ว” กอร์ดอนโรฮันดึงหอกออกมาจากพื้นแล้วพาดบ่า
“ทําไมอยู่ๆนายถึงเท้าความคําพูดของฉันในอดีตด้วย อย่าบอกนะว่านายเกิดกลัวฉันขึ้นมา?”
“แล้วแต่นายจะคิด ยังไงนายก็ยกยอตัวเองว่าแข็งแกร่งที่สุดในโลกอยู่แล้วนี่ พูดไปเดี๋ยวก็กล่าวหาว่าฉันพูดโกหกพกลมอีก”
“รู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ นายก็เตรียมโดยอ้าวซะแล้ว”
แม้ถ้อยคําที่ออกมาจากปากของกอร์ดอนโรฮันจะให้อารมณ์กระแทกแดกดัน แต่กอร์ดอนโรฮันไม่ใช่พวกลิ้นไม่มีกระดูก เขาพูดคําไหนคํานั้น
“ช่างเถอะ ถ้านายอยากหนีฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอก เพราะฉันคร้านจะสู้กับพวกนายเต็มแก่ฉันเป็นคนรักษาคําพูด แต่นายต้องสัญญาหนึ่งข้อ ฉันถึงจะยอมปล่อยให้พวกนายหนีไปโดยไร้บาดแผล
“สัญญาอะไร?”
“พรุ่งนี้นายห้ามหนีเด็ดขาด”
“2”
“ฉันกําลังพูดถึงการแข่งขันรอบต่อไปของวันพรุ่งนี้ หวังว่าความล้มเหลวของนายในวันนี้จะไม่ทําให้นายปอดแหกแล้วอยากวิ่งหนีหางจุกตูดหรอกนะ คงไม่เป็นแบบนั้นใช่ไหม?”
คําพูดยั่วยุของกอร์ดอนโรฮัน ส่งผลให้ใบหน้าของอาเดลเคร่งขรึมขึ้นทันตา รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าของอาเดลตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ
เมื่อกอร์ดอนโรฮันเห็นอารมณ์สีหน้าของอาเดล เขายิ้มออกมาอย่างร่าเริงและเอ่ยปากพูด “ที่แล้วมาฉันเห็นนายยิ้มอยู่เป็นประจํา แต่ดูสีหน้าของนายตอนนี้สิ ฉันคิดว่ามันเหมาะกับตัวตนของนายมากเลยนะ ว่ายังไงดีดูเข้มๆสมเป็นลูกผู้ชายมากขึ้น”
“ไม่มีปัญหา เจอกันพรุ่งนี้”อาเดลกล่าวทิ้งท้ายและหันหลังเดินจากไป
ไม่มีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของอาเดล การหาเหตุความล้มเหลวที่เกิดขึ้นควรเก็บไปพิจารณาภายหลัง ตอนนี้หนีออกจากที่นี้ให้ได้ก่อนสําคัญที่สุด
กอร์ดอนโรฮันหันไปพูดกับซูฮยอน “เพราะนาย ทําให้ฉันใจอ่อนพลอยปล่อยพวกเขาตามไปด้วยแต่ไม่น่าเชื่อเลยนะว่านายจะยอมไว้ชีวิตพวกเขาไปง่ายๆ”
ซูฮยอนพยักหน้าตอบ “ช่วยไม่ได้นี้น่า หากพวกเขาเสียชีวิตกันหมดจะเกิดปัญหาใหญ่หลวงตามมาไม่รู้จบรู้สิ้น เพราะผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S เป็นกําลังรบสําคัญ ถ้าขาดพวกเขาไปดันเจี้ยนระดับสูงๆก็เคลียร์ไม่ได้กันพอดี”
“เหตุผลมีแค่นี้จริงๆเหรอ?”
“มีแค่นี้แหละ นายคาดหวังอะไรจากฉันอีก?”
“นายใจดีกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะเนี่ย ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกต้องตามหลักการ ฉันควรพูดว่า ความ[ชอบธรรม] ของนายมันเหลือล้มจริงๆ”
กอร์ดอนโรฮันตรึงสายตาไว้ที่ร่างกายซูฮยอน ราวกับว่ากําลังมองมนุษย์ต่างดาว
กอร์ดอนโรฮันเป็นคนรักอิสระและเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง จากมุมมองของเขาการที่ซูฮยอนเป็นห่วงเป็นใยผู้คนจากแดนไกล ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่แปลกมากๆ
แม้พวกเขาจะใจกว้างยอมปล่อยให้พวกหมาลอบกัดหนีรอดไป แต่แท้จริงแล้วความตั้งใจของทั้ง 2 คน แตกต่างกันอย่างชัดเจน อีกคนยอมปล่อยเพราะไม่อยากให้ยุโรปขาดผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ส่วนอีกคนยอมปล่อยเพราะไม่อยากต่อสู้ในศึกยืดเยื้อ
“เจ้าพวกบ้านั้น ต้องย้อนกลับมารังควานทั้งฉันและนายอีกครั้งแน่” กอร์ดอนโรฮันพูด
“ฉันรู้เรื่องนั้นดี”
ในอดีตซูฮยอนจําได้เลือนรางว่ามีข่าวลือว่าประชาชนจํานวนมากพบเห็นผู้ตื่นขึ้นจากทวีปยุโรปกําลังวิ่งหนีอะไรบ้างอย่าง ซึ่งครั้งนั้นเขาฟังผ่านหูเฉยๆ ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
ตอนที่ซูฮยอนเจอผู้ตื่นขึ้นจากทวีปยุโรปล้อมหน้าล้อมหลัง เขารู้สึกมึนงงเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้แปลกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมากนัก
สงครามแก่งแย่งอันดับในอดีตซูฮยอนไม่ได้ลงแข่ง กลุ่มผู้ตื่นขึ้นจากทวีปยุโรปที่ต่อสู้กับซูฮยอนด้วยอาจไปรวมกลุ่มกันต่อสู้พร้อมกับอาเดล และใช้ยุทธวิธีกองโจรตะลุมบอนกอร์ดอนโรฮันก็เป็นได้
<<ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าหน้าประวัติศาสตร์ในอดีต กลุ่มของอาเดลและกอร์ดอนโรฮัน จะเคย ปะมือกันด้วย>>
สหพันธ์ผู้ตื่นขึ้นแห่งทวีปยุโรป
องค์กรนี้จะกลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางคือช่วงปลายปี 2022 และเป็นหนึ่งในองค์กรที่น่าปวดหัวไม่ใช่น้อย
องค์กรของพวกเขายึดมั่นในผลกําไรเป็นหลัก หากในสัญญาได้ผลตอบแทนน้อย พวกเขาจะอยู่เฉยๆไม่ยอมเคลื่อนไหวแม้แต่นิ้วเดียว ต่อให้ปัญหาที่ระบุในสัญญาจะร้ายแรงแค่ไหนก็ตาม
บางครั้งการกระทําของพวกเขาก็กลายเป็นต้นเหตุแหล่งเกิดดันเจี้ยนระบาด เพราะมีหลายประเทศว่าจ้างให้พวกเขาโจมตีดันเจี้ยน ทว่าผลตอบแทนที่ระบุในสัญญาน้อยกว่าเกณฑ์ที่พวกเขาตั้งไว้พวกเขาจึงฉีกสัญญาดื้อๆ
<<เหตุผลที่ภายในองค์กรหมักหมมไปด้วยปัญหา เพราะไม่มีใครควบคุมองค์กรได้สมบูรณ์ผู้ตื่นขึ้นภายในองค์กรส่วนใหญ่รักอิสีภาพและแต่ละคนเชื่อมั่นในการตัดสินใจของตนเองเหนีอสิ่งอื่นใด>>
องค์กรขนาดใหญ่และไม่มีใครสามารถควบคุมได้อย่างเบ็ดเสร็จ มีสมาชิกผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S มากกว่า 30 คน แถมยังมีผู้ตื่นขึ้นมากฝีมืออีกหลายหมื่นคน
สุดท้ายก็มีการจัดตั้งองค์กรแห่งใหม่ขึ้น เพื่อควบคุมดูแลองค์กรแห่งทวีปยุโรปให้อยู่ ในกฎเกณฑ์ของสังคม และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของชนวนความขัดแย้งที่ลุกลามไปถึงผู้อื่นขึ้นทั่วโลกอย่างเลี่ยงไม่ได้
<<รู้สึกว่าพวกเขาพึ่งจะจัดตั้ง สหพันธ์ผู้ตื่นขึ้นแห่งทวีปยุโรปได้ไม่นาน หมายความว่ายังอยู่ในช่วงตั้งไข่สินะ?>>
ซูฮยอนไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสงครามแก่งแย่งอันดับมากนัก ฉะนั้นการที่เขาล่วงรู้ข่าวการจัดตั้งสหพันธ์ผู้ตื่นขึ้นแห่งทวีปยุโรปในเวลานี้ เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย
ซูฮยอนในตอนนี้ถือไพ่เหนือกว่า หากเขาเลือกไพ่ได้ถูกต้อง เขาสามารถตัดไฟแต่ต้นลมและขจัดต้นตอของปัญหาในอนาคตที่กําลังเกิดขึ้นได้
<<ปัญหาถาโถมมาไม่จบไม่สิ้นจริงๆ…>>
ซูฮยอนกําหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดโปนชัดเจน นัตน์ตาของเขาเปล่งรัศมีดุดันออกมา
<<การต่อสู้รอบต่อๆไป ฉันต้องพยายามให้หนักขึ้นกว่าเดิม>>
สนานแข่งขันคุณภาพดีทําให้เหมาะแก่การต่อสู้
เพราะนี่คืองานสงครามแก่งแย่งอันดับที่ผู้คนทั่วโลกให้การจับตามอง ในการแข่งขันรอบต่อไปคู่ต่อสู้ของเขามีโอกาสเป็นสมาชิกในสหพันธ์ผู้ตื่นขึ้นแห่งทวีปยุโรปหรืออาเดลก็ได้แม้โอกาสจะริบรี่แต่ก็พอมีหวัง
แถมเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในสงครามแก่งแย่งอันดับเหมือนจะเป็นใจให้เขาเสียเหลือเกิน
ต้องขอบคุณที่กลุ่มของอาเดลเคลื่อนไหวเร็วกว่าที่คิด ซึ่งเหมาะเหม็งเป็นอย่างยิ่งให้ซูฮยอนเตรียมแผนรับมือไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ป้อมปราการอันกล้าแกร่งที่เป็นต้นตอของปัญหาในอนาคตเขาจะบ่อนทําลายความมั่นคงจากภายใน เพื่อให้ป้อมปราการพังทลายด้วยตัวมันเองอย่างช้าๆ
“นายกําลังคิดอะไรอยู่เหรอ? สีหน้าของนายดูแปลกๆไปนะ” กอร์ดอนโรฮันถามด้วยความสงสัย
“ฉันนึกถึงวันพรุ่งนี้ แค่นึกภาพก็ทําให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นจนเนื้อตัวสั่นครั่นครื้นไปหมด”
“พรุ่งนี้เหรอ?” กอร์ดอนโรฮันคลี่รอยยิ้มถาม “นายมีความมั่นใจมากแค่ไหน?”
ดูเหมือนกอร์ดอนโรฮันจะตีความหมายคําพูดซูฮยอนผิดไปเพราะกอร์ดอนโรฮันคิดไปเองว่าซูฮยอนกําลังตั้งหน้ารอต่อสู้กับเขาในวันพรุ่งนี้
ในเมื่ออีกฝ่ายทึกทักไปเองซะขนาดนั้น ซูฮยอนทําได้แค่ปล่อยเลยตามเลยขึ้นเปิดปากอธิบายความจริงว่านายกําลังเข้าใจผิดมีหวังต่อล้อต่อเถียงถึงเช้าตรู่แน่
ซูฮยอนจึงพยักหน้าและตอบกลับ “ก็มั่นใจพอตัว”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เมื่อได้ยินคําตอบจากปากซูฮยอน กอร์ดอนโรฮันหัวเราะเสียงดังมือกุมท้องเหมือนคนปางตายจากการถูกยิงตัวงอเป็นกุ้งโดนน้ําร้อนลวก
กอร์ดอนโรฮันหัวเราะชอบใจอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ปรบมืออย่างอารมณ์ดีพลางตอบเสียงเลื่อย
“ฉันถูกใจคําตอบของนายจริงๆ ตอบตรงไปตรงมาโดยที่ตัวเองไม่เคอะเขินเหมือนฉันเบี้ยบเลยฉันก็ตั้งหน้าตั้งตารอวันพรุ่งนี้เช่นกัน”
กอร์ดอนโรฮันยื่นมือตบไหล่ซูฮยอนเบามือ ขณะที่เขาเดินผ่านตัวซูฮยอนไป
“ไว้เจอกันใหม่ในวันพรุ่งนี้ นอนหลับฝันดี พักผ่อนเอาเรียวเอาแรงที่ร่างกายสูญเสียไปกลับอมาฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพรุ่งนี้ร่างกายของนายจะอยู่ในสภาพสมบูรณ์
เมื่อกล่าวสิ่งที่ตัวเองต้องการเสร็จ กอร์ดอนโรฮันล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงและก้าวเท้าออกจากสนามแข่งขัน
หลังจากเหลือซูฮยอนคนเดียว เขากวาดสายตาสํารวจสนามแข่งขันที่เสียหายเละเทะพลางบ่นพึมพํากับตัวเอง
“ฉันหวังว่าสนามแข่งขันจะซ่อมแซมกลับมาสภาพเดิม ก่อนงานวันพรุ่งนี้จะเริ่มนะ”
ปัง!!
กําปั้นของอาเดลทุบลงโต๊ะเสียงดังสนั่น โต๊ะที่ดูแข็งแรงแยกเป็น 2 ซีก
หลังจากกลับมายังห้องที่เคยใช้ประชุมพร้อมกับสมาชิกในกลุ่ม อาเดลขบฟันกรอดไม่ยอมหยุด
สมาชิกคนอื่นในกลุ่มก็มีอารมณ์ความรู้สึกไม่ต่างกับอาเดล พวกเขาทุกคนเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก นั่งหน้านิ่งไม่ยอมพูดคุยกับใคร
โอกาสที่จะไขว่คว้าชัยชนะในงานสงครามแก่งแย่งอันดับเริ่มหม่นหมอง เพราะภารกิจกําจัดขวากหนามล้มเหลว แถมยังไปสร้างความบาดหมางให้แก่กอร์ดอนโรฮันและคิมซูฮยอนอีก
ซ้ําร้ายการต่อสู้ที่ผ่านมาทําให้สมาชิกหลายคนของสหพันธ์ผู้ตื่นขึ้นแห่งทวีปยุโรปล้มหายตายจากไม่น้อย การจากไปของพวกเขาเป็นปัญหาที่มองข้ามไม่ได้
ภารกิจที่ล้มเหลวครั้งนี้พวกเขาทุกคนมีส่วนรับผิดชอบร่วมกัน เนื่องจากภารกิจที่พวกเขาเลือกปฏิบัติ ยังไม่ได้รับคําอนุมัติจากทางการ หลังจากที่สงครามแก่งแย่งอันดับยุติลงพวกเขาอาจได้รับบทลงโทษ
อาเดลคาดคะเนภายในหัว หากทางรัฐบาลของสหภาพยุโรปทราบข่าวว่าสูญเสียกําลังรบแรงค์ S อันมีค่าไป พวกเขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไรต่อข่าวที่ใจหายเช่นนี้ อาเดลคิดว่า ความไว้เนื้อเชื่อใจและวิสัยทัศน์ที่มีต่อเขาอาจลดน้อยลง
“เวรเอ๊ย…”
อาเดลขบฟันด้วยความฉุนเฉียวพลางนึกถึงคําพูดเยาะเย้ยของกอร์ดอนโรฮัน
“พรุ่งนี้นายห้ามหนีเด็ดขาด”
เขาไม่มีวันลืมคําพูดและสีหน้าท่าทางที่ชาวอเมริกันแสดงออกมา ตอนที่ได้ยินคําพูดที่ออกมาจากปากของกอร์ดอนโรฮัน เหมือนอีกฝ่ายจะคาดคิดไว้อยู่แล้วว่ากลุ่มของพวกเขาไม่มีทางสู้ได้และต้องถอนกําลังแน่นอน
ความรู้สึกที่โดนกอร์ดอนโรฮันมองความคิดทะลุปรุโปร่งว่าเขากําลังหาช่องทางหลบหนีช่างน่าละอายใจและน่าอัปยศอดสูอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ความหยิ่งในศักดิ์ศรีของอาเดลได้รับบาดเจ็บร้ายแรง มากกว่าครั้งที่ผ่านมาเป็นไหนๆ
“พวกเราจะเอายังไงต่อดี?”
“ฉันก็ไม่รู้ สมองมันมืดแปดด้านไปหมด แม้กอร์ดอนโรฮันจะเป็นคนรักษาคําพูด แต่คิมซูฮยอนคนนั้นอาจจะไม่…”
“การคว้าอันดับหนึ่งในสงครามแก่งแย่งอันดับมาครอบครองเหมือนจะไกลเกินเอื้อมเข้าไปทุกทีและนั่นจะทําให้รากฐานหลักของสหพันธ์เกิดความไม่มั่นคง สมาคมผู้ตื่นขึ้นทั่วโลกที่เคยคิดจะว่าจ้างงานพวกเรา คงมีอาการกระฝึกกระหยัก ไม่กล้าตัดสินใจแน่ๆ”
“ยิ่งไปกว่านั้น จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนอื่นๆล่วงรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้?”
“กรณีที่เลวร้ายที่สุด พวกเราคงต้องยุติบทบาทหน้าที่ลงแค่นี้ และ สหพันธ์ก็ถึงวาระสิ้นสุด”
“ทุกคนหุบปากซะ!!” อาเดลตะโกนเสียงดัง
สุ่มเสียงของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและความหวาดกลัว จิตสังหารที่พรั่งพรูออกมาจากตัวอาเดลส่งผลกระทบให้ผู้ตื่นขึ้น 20 คนที่นั่งอยู่ในห้องประชุมหนาวสั่น
เมื่อบรรยากาศในห้องประชุมกลับมาอยู่ในความเงียบสงบ อาเดลกวาดตาไล่มองผู้ตื่นขึ้นทุกคนสายตาของเขาท่วมท้นไปด้วยความบ้าระห่ํา “เราต้องชนะ ต้องชนะเท่านั้น”
การต่อสู้รอบต่อไปในวันพรุ่งนี้
อาเดลจะไม่หนีตามคําที่กอร์ดอนโรฮันเคยพูดไว้
เขาหลับตาแล้วกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “สิ่งที่พวกเราควรทํา คือฆ่าเขา”
“ฆ่าเขา?”
“จะไปฆ่าใครอีก? อย่าบอกนะเป็นคิมซูฮยอน?”
“ถูกต้อง”อาเดลพยักหน้างอย่างหนักแน่น “ไม่ต้องสนใจกฏข้อบังคับ เราแค่แสร้งทําว่าทุกอย่างเป็นเพียงอุบัติเหตุสุดวิสัยก็สิ้นเรื่อง”
แม้การกระทําของเขาอาจได้รับคําประณามสาดเสียเทเสียจากคนทั่วโลก แต่เพื่อเป้าหมายเขาพร้อมยินยอมรับคําดุด่าด้วยความเต็มใจ
ซูฮยอนไม่ใช่พวกพ้องปากแตก ฉะนั้นนักข่าวไม่มีทางรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้แน่
ทําไมอาเดลถึงมั่นใจขนาดนั้น เพราะตลอดสงครามแก่งแย่งอันดับที่ผ่านมาซูฮยอนดูเป็นคนเลื่อยแฉะและใจเย็น เพื่อตัดต้นตอของปัญหาที่จะเกิดขึ้นภายหลัง อาเดลหมายมั่นลงมือฆ่าซูฮยอนกลางการต่อสู้ แล้วจัดฉากว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงอุบัติเหตุ
<<ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม..>
อาเดลกําหมัดแน่นและพูดพึมพํา
“พวกเราต้องคว้าชัยชนะมาให้ได้”
หนึ่งวันผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
วันนี้โลกทั้งใบเหมือนตกอยู่ในห้วงอภิรมย์ เป็นเพราะรอบต่อไปของสงครามแก่งแย่งอันดับใกล้ได้เวลาเปิดม่าน
ผู้เข้าแข่งขันที่ผ่านเข้าสู่รอบต่อไปมีด้วยกันทั้งสิ้น 33 คน อย่างไรก็ตาม 1 ใน 33 คน ถอนตัวออกกลางคัน ทําให้เหลือผู้เข้าแข่งขันเพียง 32 คน
การแข่งขันดําเนินมาถึง [รอบชิงชนะเลิศ] แล้วแท้ๆ แต่จํานวนผู้เข้าแข่นขันที่เหลือรอดเยอะกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก
ก่อนงานจะเริ่มกอร์ดอนโรฮันได้กล่าวสัมภาษณ์กับนักข่าวไว้ว่า
ตัวเลขผู้ผ่านเข้ารอบสมบูรณ์แบบเป็นอย่างมากและเขาพอใจต่อตัวเลขสุดๆ
ปัจจุบันเจ้าภาพหลักของงานยังไม่ปรากฏตัวในสนามแข่งขัน แต่ก่อนที่เขาจะเดินจากนักข่าวไปเขากล่าวทิ้งท้ายไว้ว่ากฏข้อบังคับยังคงยุติธรรมกับทุกคนเช่นเดิม หากใครอยากเปลี่ยนแปลงกฎก็เชิญมาท้าสู้เขาได้เสมอ… กอร์ดอนโรฮันช่างเป็นคนที่คงเส้นคงวาจริงๆ
ภายในสนามแข่งขันมีกล้องถ่ายทอดสดนับพันตัว ทําให้บรรยากาศในสนามแข่งขันดูวุ่นวาย
“เมื่อวานเกิดเหตุอะไรขึ้นหรือปาวครับ”
ฮักจุนเขยิบเข้าไปใกล้ซูฮยอนแล้วกระซิบข้างหู
ซูฮยอนเสแสร้งทําเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนตอบกลับ “ไม่มีนะ”
“แสดงว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นสินะ”
“นายอย่าคิดไปเอง ไม่มีอะไรเกิดจริงๆ เชื่อฉันเถอะ”
“หยุดโกหกผมได้แล้ว ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ พี่คงไม่ตอบแบบขอไปที อย่างคําว่า (ไม่มี) หรือ (คิดไปเอง] หรอกครับ พี่ควรไปฝึกโกหกใหม่นะ”
“ฉันพูดความจริง”
ขณะตอบกลับซูฮยอนพยายามหลบสายตาของฮักจุนที่จ้องมองมา ฮักจุนผู้ดื้อรั้นไต่สวนซูฮยอนอย่างเป็นจริงเป็นจัง เพื่อคาดคั้นความจริง แต่ซูฮยอนยังคงปากแข็ง ไม่ยอมคายความจริงออกมาง่ายๆ
“พวกนายมาถึงกันเร็วจัง”
กอร์ดอนโรฮันโผล่มาที่สนามแข่งขันเพียงลําพัง ครั้งนี้เขาไม่ได้ปรากฏตัวด้านบนเหมือนทุกทีแต่เขาเดินผ่านประตูทางเข้าเฉกคนอื่น
ไร้วี่แววเงาของ จอห์นนี เดปป์ แสดงว่าอีกฝ่ายคงจับตาดูการแข่งขันจากที่ไหนสักแห่ง
“คนที่ฉันรู้จักมากันครบเลยแฮะ นึกว่าจะมีบางคนไม่มาซะแล้ว”
พูดจบกอร์ดอนโรฮันก็ปรายตามองไปทางอาเดล ชายชาวบริเตนที่ทะนงตัวมีสีหน้าทิ้งตึงไม่ยิ้มแย้มเหมือนแต่ก่อน
กอร์ดอนโรฮันคลี่ยิ้มและเดินไปหยุดด้านหน้าสุดของผู้ผ่านเข้ารอบ 32 คน “เอาล่ะ ฉันจะอธิบายกติการอบต่อไปให้สั้นที่สุด แต่ก่อนอื่น”
เปาะ!!
กอร์ดอนโรฮันดีดนิ้ว สนามแข่งขันพลันเกิดการเปลี่ยนแปลง
จากสนามแข่งขันที่ดูจืดตากลายเป็นโคลอสเซียมขนาดใหญ่สุดอลังการ ผู้ตื่นขึ้นที่เทียวได้เทียวขอให้หอคอยแห่งการทดสอบเป็นเนือง ๆ ต้องมีประสบการณ์พบเจอโคลอสเซียมแบบนี้อย่างน้อยหนึ่งครั้ง
ผู้ผ่านเข้ารอบทั้ง 32 คน ถูกเคลื่อนย้ายไปบนอัฒจันทร์ของโคลอสเซียม กอร์ดอนโรฮันเปิดเผยตัวตนอีกครั้งบนอากาศเหนือสนามแข่งขัน เขาผายมือทั้ง 2 ข้างออกจนสุด
“เท่านี้คงเพียงพอสําหรับการต่อสู้ของพวกเรา ขออภัยในความไม่สะดวก พอดีเมื่อวานฉันเผลอออกกําลังกายเป็นบ้าเป็นหลังไปหน่อย สนามแข่งขันรองรับพละกําลังไม่ไหวเลยพังทลายลงฉันจึงจําใจต้องเปลี่ยนรูปแบบสนามใหม่ ผู้เข้าแข่งขันทุกคนคงไม่ว่าอะไรนะ”
คําพูดของกอร์ดอนโรฮัน ทําให้ซูฮยอนเผยรอยยิ้มมุมปาก เขาหันหน้ามองไปยังอาเดลเพราะอยากรู้ว่าอีกฝ่ายกําลังแสดงสีหน้ายังไง
และก็เป็นอย่างที่คิดไว้ ใบหน้าชายชาวบริเตนอัปลักษณ์ลงอย่างเห็นได้ชัด คําพูดเรียบง่ายของกอร์ดอนโรฮันเมื่อครู่ ตั้งใจบอกเป็นนัยๆว่าการต่อสู้ระหว่างตัวเขาและผู้ตื่นขึ้นจากทวีปยุโรปเปรียบเสมือนการออกกําลังกายที่สูญเสียหยาดเหงื่อเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“เสียเวลามามากพอ กลับเข้าประเด็นหลักที่พวกเราสนใจกันดีกว่า กฎการแข่งขันที่ กําลังเริ่มขึ้นต่อจากนี้เรียบง่ายเหมือนการต่อสู้รอบที่ผ่านมา พวกเราจะใช้การต่อสู้ตัวต่อตัวเช่นเดิมแต่จะปรับเปลี่ยนนิดหน่อย ขืนใช้กฏซ้ําซากมีหวังเบื่อกันก่อนพอดี พวกนายก็คงรู้สึกเหมีอนกับฉันใช่ไหม?”
กฎการแข่งขันตั้งแต่รอบคัดเลือกจนถึงรอบชิงชนะเลิศ ส่วนใหญ่มาจากความคิดของกอร์ดอนโรฮันเพราะเขาเป็นตัวตั้งตัวตีหลักในสงครามแก่งแย่งอันดับครั้งนี้
“ทุกคนไม่ต้องกังวล กฏในรอบชิงชนะเลิศจะแตกต่างจากรอบคัดเลือกเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้นฉันขอประกาศอย่างเป็นทางการว่า การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศจะใช้รูปแบบเอาตัวรอดตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อเฟ้นหาผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว”
“ตั้งแต่ต้นจนจบ?”
“การแข่งขันรูปแบบเอาชีวิตรอดเหรอ? งั้นคู่ต่อสู้ต้องใช้วิธีการสุ่มอีกหรือป่าว?
ผู้เข้าแข่งขันคาดเดากฎการแข่งขันไปต่างๆนาๆ แต่ก็ไม่มีใครเดาถูกเลยสักคน เพราะกฎที่ใช้ในการแข่งขันกอร์ดอนโรฮันเป็นคนกําหนด
“การแข่งขันจะใช้รูปแบบ (สับเปลี่ยน] หมุนเวียนไปเรื่อยๆ ผู้ที่จะลงสนามก่อนเป็นคนแรกตัดสินจากผู้ผ่านเข้ารอบล่าสุดมาได้ตามลําดับ หลายคนอาจจะสงสัยว่าเมื่อมีคนลงสนามแล้วใครจะเป็นคู่ต่อสู้ให้ล่ะ ฉันจะอธิบายให้ฟังครั้งเดียว ตั้งใจฟังให้ดี ผู้ที่จะต่อสู้กับคนที่ยืนรออยู่บนสนามจะเป็นใครก็ได้ในหมู่พวกเราทั้ง 32 คน การต่อสู้จะยุติลงก็ต่อเมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหมดสภาพต่อสู้หรือประกาศยอมแพ้”
กอร์ดอนโรฮันอธิบายขยายความเพิ่มเติม
“ผู้ชนะหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าผู้รอดชีวิต ห้ามก้าวออกจากสนามโดยเด็ดขาด ในเมื่อขึ้นชื่อว่าผู้ชนะต้องเตรียมใจน้อมรับคําท้าสู้จากผู้เข้าแข่งขันรายใหม่ต่อไป ทั้งนี้ทั้งนั้นคนที่สามารถยืนหยัดอยู่บนสนามแข่งขันได้เป็นคนสุดท้าย จะถือว่าเป็นผู้ชนะ กฏมีแค่นี้แหละเข้าใจง่ายใช่ไหมล่ะ”
“อะไรนะ?”
“พูดเป็นเล่น…”
“นี่เหรอที่เรียกว่าความยุติธรรม!”
ตามความเป็นจริงกฏที่กอร์ดอนโรฮันอธิบายง่ายต่อการทําความเข้าใจ ผู้ที่สามารถยืนหยัดอยู่บนสนามเป็นคนสุดท้ายถึงจะเป็นผู้ชนะ
อย่างไรก็ตามกฏยังมีช่องโหว่ที่ควรพึงระวังอยู่ ตัวอย่างเช่น สมมุติคุณต่อสู้กับผู้ท้าสู้คนให้ไม่ไปเรื่อยๆ แรงกายจะถูกเผาผลาญถดถอยไปตามระยะเวลา ยิ่งเจอศึกยืดเยื้อปลายทางสุดท้ายมีแต่ตายกับตายเท่านั้น การยืนหยัดอยู่บนสนามแข่งขันให้ได้เป็นคนสุดท้ายแทบเป็นไปไม่ได้เลย
“อย่าพึ่งพูดพร่ําเพรื่อฟังฉันอธิบายให้จบก่อน สมมุติไม่มีผู้ท้าสู้ ผู้ที่ยืนอยู่บนสนามสามารถระบุชื่อได้ว่าอยากเจอกับใคร แต่ละรอบมีเวลาเตรียมตัวไม่เกิน 5 นาที ดังนั้นไม่ต้องสนใจว่าอีกฝ่ายมีความแข็งแกร่งแค่ไหน สิ่งที่ใส่ใจคือต่อสู้ให้เต็มที่ประหนึ่งนักรบเดนตายที่กระหายชัยชนะ”
กอร์ดอนโรฮันที่กําลังลอยตัวกลางอากาศ เริ่มลดระดับลง เท้าแตะพื้นอย่างนุ่มนวล จากนั้นเขาก็เอามือล้วงกระเป๋ากางเกงและจ้องมองผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ
กิริยาท่าทางของกอร์ดอนโรฮันที่อยู่ตรงหน้า แตกต่างจากตอนที่อธิบายกฎการแข่งขันอย่างสิ้นเชิง
“เอาล่ะในเมื่อรอบล่าสุดฉันผ่านเข้ารอบมาได้เป็นคนแรก ฉันจึงมีสิทธิ์ลงสนามก่อน มีใครกล้าท้าสู้ฉันบ้าง?”
เพียงชั่วพริบตากอร์ดอนโรฮันผันตัวจากผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่ง กลายมาเป็นคนที่พวกเขาต้องท้าสู้แทน มองด้วยสายตาพฤติกรรมที่เหมือนกับพวกห้าวหาญช่างไม่เข้ากับบุคลิกของเขาเลยจริงๆ
ไม่สิ ต้องบอกว่าภาพปัจจุบันเหมาะสมกับตัวตนของกอร์ดอนโรฮันมากกว่าครั้งที่ผ่านมาเป็นไหนๆ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากตําหนิว่าการกระทําของเขาช่างดูโง่เขลาหรือคิดสั้นเลยสักนิด
เพราะกอร์ดอนโรฮันเป็นเจ้าภาพหลักงานสงครามแก่งแย่งอันดับ ซึ่งมีหน้าที่คิดกฎการแข่งขันและในตอนนี้เขาก็อาสาประเดิมการแข่งขันเป็นคนแรก ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาต้องคัดค้านการตัดสินใจของเจ้าตัว
<<เดี๋ยวก่อนนะ นี่พวกเราต้องต่อสู้กับกอร์ดอนโรฮันตั้งแต่รอบแรกเลยเหรอ? >>
<<เวรซ้ํากรรมซัดชิบเป๋ง จะมีไอ้โง่คนไหนกล้าต่อสู้กับกอร์ดอนโรฮันคนแรกฟะ?>>
ขณะที่การแข่งขันเริ่มอย่างเป็นทางการ แต่ผู้เข้าแข่งขันทุกคนจิตใจเริ่มไม่อยู่กับเนื้อตัวองคาพยพทุกส่วนในร่างกายลุกชูชัน ต้นเหตุเพราะท่อนไม้ชิ้นเบ้อเร่อวางเป็นอุปสรรคขวางทางอยู่ตรงหน้า
“นี่ไม่ใช่การท้าสู้ธรรมดา แต่มันมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง”
ซูฮยอนลุกขึ้นยืนจากที่นั่งบนอัฒจันทร์และเตรียมตัวเดินลงไปในสนามแข่งขัน
“ในเมื่อไม่มีใคร ฉันขันอาสาเป็นคู่มือให้นายเอง”