เขาคือหลิงเจิ้น อัสนีสะท้านฟ้า!
จีเย่ไม่คุ้นเคยกับชื่อนี้จนะกระทั่งเขาอ่านซ้องกั๋งอย่างละเอียด
ชายคนนี้แทบจะไม่ปรากฏตัวในหนังซ้องกั๋ง
เป็นเพราะเขาไม่ใช่นักรบที่มีชื่อเสียงที่เก่งกาจในการต่อสู้ระยะประชิด แต่เป็นนายพลที่ฟังคำสั่งเจ้าหน้าที่และยอมจำนนต่อบึงเหลียงซานด้วยความสามารถในการสร้างและยิงปืนใหญ่ของเขา
ในซ้องกั๋ง ปืนใหญ่ที่สร้างขึ้นสามารถโจมตีเป้าหมายที่อยู่ห่างออกไปได้เกือบสิบกิโลเมตร!
ต้องสังเกตว่าแม้แต่ปืนใหญ่ของฉิงในประวัติศาสตร์ก็มีระยะการยิงไม่เกินห้ากิโลเมตร
แม้ว่าในนิยายเรื่องนี้จะมีการกล่าวเกินจริงไปเล็กน้อย แต่หลิงเจิ้นก็สามารถทำสิ่งนั้นจริงได้ในดินแดนแห่งมรดกนี้
หรือมากกว่านั้น เนื่องจากเขาถูกนำมาที่นี่ด้วยวิญญาณแห่งอารยธรรมระดับวิสามัญอันดับ 3 หลิงเจิ้นอาจแม้กระทั่งเก่งกาจกว่านั้น
…
“ผู้นำหลิง พวกเขาพร้อมแล้ว คุณสามารถลองได้!”
ระยะการยิงถูกสร้างขึ้นเพื่อทดสอบปืนใหญ่โดยเฉพาะนั้นอยู่ใกล้กับป้อมปราการภูเขามังกรคู่…
หลิงเจิ้นนั้นสวมเกราะเต็มตัว โดยมีผ้าคลุมสีแดงโบกสบัดอยู่ข้างหลังเขา เขากำลังยืนอยู่ในตำแหน่งยิง แต่ที่น่าแปลกใจก็คือฐานด้านล่างปืนใหญ่หายไป
กระบอกปืนใหญ่ซึ่งทำจากเหล็กเหมันต์ระดับวิสามัญได้ถูกจับด้วยมือเปล่าของหลิงเจิ้น
“โอเค ขอบคุณสำหรับความลำบากนะ!”
หลังจากพึมพำกับทหารแล้ว หลิงเจิ่นก็จุดชนวนที่กำแพงด้วยไฟแช็กที่กำลังจะจุด
ฟู่ววว!
ในช่วงเวลาต่อมา ลูกกระสุนปืนใหญ่ก็พุ่งออกมาจากกระบอกปืนและยิงใส่เป้าหมายที่มีกระดูกที่เผ่าวิญญษณดร็อปออกมาและถูกห่อหุ้มด้วยขนกับไม้ไผ่หลายชั้นซึ่งอยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยเมตรด้วยอุณหภูมิและความเร็วสูง!
บูม!
เกราะของเป้าหมายแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทันทีพร้อมกับชิ้นส่วนที่กระเด็นไปทุกทิศทาง กระดูกแข็งที่ถูกเสริมความแข็งแกร่งจากเผ่าวิญญาณก็กระเด็นออกไปทันที
ในท้ายที่สุด แม้แต่ต้นไม้ที่กระดูกและเกราะก็หักโค่นลงมาเช่นกัน
กระสุนปืนใหญ่นี้ทรงพลังมากกว่าลูกกระสุนที่จีเย่ต้านทานด้วยมือเปล่าเมื่อเขาเข้าสู่เมืองแห่งมนุษย์
“เฮ้!”
หลิงเจิ้นผู้ที่ถือกระบอกปืนในตอนที่มันยิงกระสุนปืนใหญ่ออกมาก็อดไม่ได้ที่จะถอยหลัง อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงถือกระบอกปืนต่อแม้ว่ามันจะร้อนแค่ไหนก็ตาม
นั่นคือความสามารถพิเศษของหลิงเจิ้น แขนของเขาซึ่งมีผิวสีทองแดงอาจทนรับอุณหภูมิสูงในระหว่างการยิงและควบคุมปืนใหญ่ได้อย่างแม่นยำ ดังนั้นเขาจึงสามารถใช้ปืนใหญ่เหล็กเหมันต์ขนาดเล็กเป็นอาวุธพิเศษของเขาได้
“มาลองอีกครั้ง!”
เห็นได้ชัดว่าปืนใหญ่ที่ทำจากเหล็กเหมันต์และถูกออกแบบด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให่เขาพึงพอใจอย่างมาก
เขาร้องตะโกนให้มีการทดสอบอีกครั้งด้วยความตื่นเต้น
ครั้งนี้ เขาใส่ลูกกระสุนปืนใหญ่สองลูกเข้าไปในกระบอกปืนโดยไม่ใส่ผงดินปืน
จากนั้นเขาก็กลั้นหายใจและตั้งสมาธิของเขา
หลังจากนั้น ลมก็พัดแรงขึ้น และมวลอากาศอันหมาหาศาลก็ถูกดูดเข้าไปในกระบอกปืน
ปัง! ปัง!
ในเวลาต่อมา ลูกกระสุนปืนใหญ่สองลูกก็พุ่งออกมาจากกระบอกปืนทีละลูก ยิงใส่เป้าหมายอีกสองเป้าหมายที่อยู่ห่างจากกันประมาณ 50 เมตร เกราะของเป้าหมายแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในขณะที่พวกมันระเบิด!
การยิงต่อเนื่องครั้งนี้ไม่ได้ทรงพลังเท่ากับการยิงครั้งที่ผ่านมาที่มีผงดินปืน แต่มันก็น่ากลัวพอสมควร
นั่นคือความสามารถที่หลิงเจิ้นได้รับมาจากมอนเตอร์โคลนหลังจากที่เขาดูดซับหัวใจของมอนเตอร์โคลนในระหว่างการอัญเชิญของเขา
ความสามารถนี้เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับนักยิงปืนใหญ่ที่เก่งกาจที่สุดของซ่ง มันสามารถทำให้ดินปืนและปืนใหญ่โบราณซึ่งไม่มีพลังมากพอนั้นสามารถทรงพลังได้เท่ากับปืนใหญ่สมัยใหม่และวีรบุรุษขั้นเหนือชั้น
อย่างไรก็ตามหลิงเจิ้นมีความสำคัญต่อภูเขามังกรคู่มากกว่านักรบระดับวิสามัญธรรมดา
ความสามารถที่แท้จริงของเขาคือเขาสามารถสร้างปืนใหญ่ทุกชนิดเพื่อช่วยในการต่อสู้ได้
นอกจากนี้เขายังสามารถฝึกฝนนักยิงปืนใหญ่เพื่อให้ทหารธรรมดามีความสามารถในการต่อสู้เท่ากับระดับวิสามัญ!
“ผู้นำหลิง ท่านหัวหน้าเรียกคุณไปประชุมที่ศาลเจ้า”
ในขณะนั้นเอง ทหารคนหนึ่งก็ตะโกนบอกหลิงเจิ้น
…
ในศาลเจ้าบนภูเขามังกรคู่…
หลายคนนั่งอยู่ในศาลเจ้าแล้ว
ที่นั่งด้านซ้ายนั้นคือผู้อาวุโสเมิ่ง ผู้อาวุโสเจี้ยว ซูนงอิ๋ง ฉินเยว่หยู หลี่ชิงและผู้เล่นเก่าคนอื่น
ที่นั่งด้านขวานั้นคือหลู่จือเซิน อู่ซง ลุงเก้า หลิงเจิ้น และวีรบุรุษคนอื่น!
ผู้ที่นั่งอยู่ล้วนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภูเขามังกรคู่และต้องรับผิดชอบปัญหาต่างๆ ในป้อมปราการ
แน่นอนว่านอกเหนือจากพวกเขา บางคนที่พิสูจน์คุณค่าก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุมด้วย เช่น มือใหม่อย่างชูหยิน คุณชายบัก และชนพื้นเมืองอย่างเป่ยซาน
นอกจากนี้อู่เฉียวในฐานะ ‘ผู้ทดสอบเบต้า’ ก็ยังได่รับเชิญให้เข้าร่วมประชุมเนื่องจากประสบการณ์ในการพัฒนาถิ่นฐานของเธอ
“หลี่ชิงบอกสถานการณ์แก่ทุกคน!” จีเย่พยักหน้าให้กับหลี่ชิงและกล่าวออกมา
ในช่วงที่จีเย่อไม่อยู่ หลี่ชิงนั้นยุ่งมากกว่าใคร
ในฐานะอดีตทหารพรานและมีเครื่องตรวจจับความสามารถในการต่อสู้เป็นอุปกรณ์เริ่มต้นของเขา เขาจึงเป็นคนที่เก่งที่สุดในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวอย่างไม่ต้องสงสัย
ก่อนที่จีเย่จะออกไป จีเย่ก็ได้ทิ้งชุดคลุมล่องหนตั๊กแตนให้กับเขาด้วย
นอกจากนี้ถิ่นฐานก็ยังแลกเปลี่ยนหินแห่งอารยธรรมระดับวิสามัญอันดับ 2 เป็นกระสุนปืนลูกโม่สองร้อยนัดเพื่อที่เขาจะได้เข้าใจสถานการณ์ของมนุษย์ต่าางดาวที่อยู่ใกล้เคึยงภูเขามังกรคู่ได้อย่างปลอดภัย
เมื่อจีเย่และหลู่จือเซินกลับมาจากเมืองแห่งมนุษย์ มันก็ถึงเวลาสำหรับการขยายถิ่นฐานแล้ว!
“จากการลาดตระเวนของฉัน มีกลุ่มมนุษย์ต่างดาวสี่ถึงห้ากลุ่มที่อบู่ติดกับชายแดนถิ่นฐานของเรา”
“เรามีกลุ่มมนุษย์ต่างดาวสองกลุ่มที่อยู่ด้านล่างหน้าผา ได้แก่ เผ่าวิญญาณและมอนเตอร์โคลน ทุกคนรู้จักพวกมันเป็นอย่างดี ดังนั้นฉันจะขอข้ามไปก่อน”
“มีสิ่งมีชีวิตที่มีชื่อว่ามอนเตอร์พงไพร ถิ่นฐานของพวกมันอยู่ทางทิศตะวันตกของภูเขาเรา อาณาเขตของพวกมันเต็มไปด้วยต้นไม้สูง ความสามารถในการต่อสู้โดยเฉลี่ยของพวกมันเท่ากับอันดับ 5 ถึง 8 ระดับของประชากรของพวกมันไม่ชัดเจน”
“นั่นเป็นเพราะฉันถูกค้นพบในตอนที่แอบเข้าไปในป่าของพวกมัน ดูเหมือนว่าพวกมันจะสามารถตรวจจับผู้บุกรุกได้ ฉันจึงถอนตัวทันที!”
ในขณะที่กำลังพูดออกมา หลี่ชิงก็ขอให้อันหยวนแจกภาพประกอบที่เขาวาดไว้ก่อนหน้านี้ให้กับผู้เข้าร่วมประชุมทุกคน
“ในทางกลับกัน กลุ่มมนุษย์ต่างดาวที่มีชื่อว่า ‘มนุษย์โลหะ’ อาศัยอยู่ทางทิศใต้ของภูเขามังกรคู่”
“พวกมันดูเหมือนมนุษย์โลกมาก และดูเหมือนว่าพวกมันจะพัฒนาอารยธรรมมาถึงขีดสุดแล้ว ที่สำคัญก็คืออาณาเขตของพวกมันทำมาจากโลหะทุกชนิด นอกจากนี้มนุษย์โลหะทุกตัวที่ฉันพบก็ดูเหมือนจะโอ่อวดพลังระดับวิสามัญและสามารถควบคุมสารโลหะเพื่อโจมตีฉันได้!”
“สายพันธุ์โลหะทั้งตัว?”
เมื่อได้ยินแบบนั้น แววตาของผู้อาวุโสเจี้ยวก็เปล่งประกายราวกับว่าเขาพบเหมืองทองคำ
“พวกมันทุกตัวมีพลังระดับวิสามัญ?”
คนอื่นต่างตกตะลึงเล็กน้อยกับข้อมูล
“เพีนงเพราะพวกมันมีระดับวิสามัญไม่ได้หมายความว่าพวกมันแข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพลังของพวกมันไม่ได้มาจากตัวเอง”
“อย่าลืมว่าหากเราสามาารถสร้างปืนพกให้ทุกคนได้ พวกเราทุกคนก็จะครอบครองพลังระดับวิสามัญเช่นกัน!”
อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสเมิ่งก็ให้กำลังใจพวกเขา
ความรับผิดชอบหลักของเขาก็คือการสอนความรู้ให้กับคนในป้อมปราการ
ในเวลาเดียวกันเขายังเป็นนักวางกลยุทธ์ในป้อมปราการ เขาได้ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้อื่นที่จะทำให้อารมณ์ของทุกคนคงที่
“นั่นคือกลุ่มมนุษย์ต่างดาวทั้งสอง”
“ทำไมนายถึงบอกว่ามีห้ากลุ่ม? นายหมายถึงมนุษย์อินทรี?”
จีเย่ไม่เห็นด้วยกับผู้อาวุโสเมิ่ง
วิทยาศาสตร์และแม้แต่ไฟฟ้าก็เป็นพลังระดับวิสามัญเช่นกัน หากมีใครใช้มันได้
“ไม่ใช่มนุษย์อินทรี แม้ว่ามนุษย์อินทรีจะเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเรา แต่พวกมันก็ไม่ได้ติดกับอาณาเขตของเราโดยตรง”
“กลุ่มมนุษย์ต่างดาวกลุ่มสุดท้ายน่าจะอยู่ในน้ำ ทิศตะวันออกของป้อมปราการของเราไม่ใช่พื้นดิน แต่เป็นทะเล เมื่อฉันลาดตระเวน ฉันพบคลื่นชีวิตจากน้ำ แต่ก็ไม่เห็นกับตา ฉันจึงไม่แน่ใจว่าพวกมันเป็นกลุ่มมนุษย์ต่างดาวหรือแค่สิ่งมีชีวิตในทะเล!” หลี่งชิงอธิบาย
“ทะเล?”
“จะบอกว่าเราอยู่บนเกาะเหรอ?”
ซางเยี่ยนเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“บางทีเราอาจจะอยู่ในมุมหนึ่งของทวีป และถิ่นฐานของเราก็ติดกับทะเล!”
ในทางกลับกัน ฉินเยว่หยูก็เสนอความเป็นไปได้อื่น
สังเกตได้จากภูเขามังกรคู่ สถานที่ส่วนใหญ่นอกภูเขาถูกปกคลุมด้วยหมอก พวกมันมืดมนอย่างสมบูรณ์หากมองจากระยะไกล
การมองเห็นถูกปิดกั้นราวกับว่ามีหมอกแห่งสงครามซึ่งทำให้ยากที่จะระบุว่ามีอะไรอยู่รอบภูเขามังกรคู่
“อู่เฉียว ถิ่นฐานของเธอมีทะเลมั้ย?”
ซูนงอิ๋งนึกถึงอะไรบางอย่างและเอ่ยถามอู่เฉียว ผู้ทดสอบเบต้าที่ผ่านการทดสอบครั้งแรก
“ไม่นะ”
“อย่างไรก็ตามมีทะเลสาบอยู่ข้างหน้าเรา และมีมนุษย์ต่างดาวครึ่งบกครึ่งน้ำอาศัยอยู่ที่นั้น พวกมันทำลายถิ่นฐานของเรา!”
อู่เฉียวส่ายหัวพร้อมกับสีหน้าหวาดกลัวบนใบหน้าของเธอ
สายพันธุ์ที่สามารถบินหรือว่ายน้ำได้นั้นยากที่จะรับมือมากกว่าสายพันธุ์ที่อาศัยอยู่บนพื้น
“หยุดคิดเรื่องนั้นก่อน แม้ว่าเราจะอยู่บนเกาะจริงๆ แต่ก็เป็นไปได้ว่าแผนที่อาจถูกเปลี่ยนแปลงเหมือนกับตอนที่บททดสอบสิ้นสุดลง”
“ตอนนี้เรามาตัดสินใจกันดีว่าเราควรโจมตีมนุษย์ต่างดาวเผ่าไหนเป็นเผ่าแรก?”
ในที่สุดจีเย่ก็กล่าวออกมาและเข้าสู่หัวข้อที่สำคัญที่สุด
“โจมตีมนุษย์โหละ!”
“พื้นที่ที่เต็มไปด้วยโลหะมีความสำคัญสำหรับเรามากกว่าแหล่งทรัพยากรระดับวิสามัญอื่น”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉันสงสัยว่าพวกมันสามารถควบคุมโลหะได้เนื่องจากพวกมันเชี่ยวชาญเทคโนโลยีบางอย่างที่คล้ายกับการลอยตัวของแม่เหล็กเพราะภูมิประเทศ”
เสียงของผู้อาวุโสเจี้ยวดังออกมา และแววตาของเขาก็เปล่งประกาย
ในป้อมปราการมีเหล็กเหมันต์อยู่อย่างจำกัด และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพัฒนาและขัดเกลาแร่จากสถานที่อื่นแม้ว่าพมกันจะอยู่ที่นั้นก็ตาม
ถิ่นฐานที่เต็มไปด้วยโลหะหมายความว่ามันถูกสร้างจึ้นจากทรัพยากรพิเศษ
ด้วยทรัพยากรเหล่านั้น และการเปลี่ยนแปลงหินแห่งอารยธรรมระดับวิสามัญหลังจากที่ผู้เล่นศัตรูถูกสังหาร เราก็อาจจะสร้างรถถัง เครื่องบินและเรือได้!
“ฉันคิดว่าเราควรโจมตีมอนเตอร์โคลนก่อน ท้ายที่สุดแล้วเราก็รู้จักพวกมันเป็นอย่างดี”
“หลังจากติดตามมาหลายวัน พวกมันก็ไม่มีการพัฒนาที่ชัดเจน โดยทั่วไปพวกมันเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ที่เพิ่งเรียนรู้วิธีการใช้เครื่องมือ!”
ในทางกลับกันผู้อาวุโสเมิ่งส่ายหัวของเขา
“หากมนุษย์โลหะมีสมาชิกระดับวิสามัญหลายคน และพวกมันพัฒนาอย่างดี เราอาจต้องสูญเสียอย่างหาก เราควรสังหารมอนเตอร์โคลนก่อน!”
“ไม่ พวกมันไม่สามารถทรงพลังได้มากเกินไปเมื่อพิจราณาว่าพวกมันมีเพียงระดับหนึ่งเท่านั้น หรือไม่พวกมันก็อาจจะอัปเกรดเป็นระดับสอง นอกจากนี้หากพวกมันมีสมาชิกระดับวิสามัญจำนวนมาก เราก็จะเก็บเกี่ยวความสามารถในการต่อสู้ระดับวิสามัญมากมายหลังจากที่พวกเขาพิชิตพวกมันได้!”
“ทำไมคุณทั้งคู่ถึงไม่คิดถึงมอนเตอร์พงไพรล่ะ? อาณาเขตของพวกมันเหมาะสมกับการต่อสู้ของเรามากไม่ใช่เหรอ?”
หลังจากนั้นผู้เข้าร่วมคนอื่นก็เสนอความคิดเห็นเช่นกัน
“งั้นโจมตีมอนเตอร์โคลน ปลอดภัยไว้ก่อน”
“อย่างไรก็ตาม เราสามารถส่งคนบางส่วนไปค้นหาวิธีการโจมตีของอีกสองเผ่าก่อนได้”
ในที่สุดจีเย่ก็ตัดสินใจ
รางวัลหลังจากการพิชิตมนุษย์โลหะอาจจะมหาศาล แต่ก็ท้าทายมากเกินไป
ในทางกลับกันมอนเตอร์โคลนก็มีสมาชิกเพียงยี่สิบคน ประชากรของมันอาจเท่ากับครึ่งหนึ่งของภูเขามังกรคู่ซึ่งเพิ่งได้รับการเสริมพลัง เป็นเรื่องง่ายกว่าที่จะจัดการพวกมันก่อน
อย่างไรก็ตามหมอกในหุบเขาวิญญาณก็เป็นปัญหาสำคัญ
“อาจมีวิธีที่จะลองทำดูได้!”
“ผู้นำอู่ หลี่ชิงไปที่หน้าผากันเถอะ วันนี้เราจะตรวจสอบถิ่นฐานของมอนเตอร์โคลน” ตีเย่ครุ่นคิดสักพักหนึ่งและกล่าวกับอู่ซงและหลี่ชิง
พวกเขาโจมตีถิ่นฐานของเผ่าวิญญาณก่อนเพราะศัตรูทั้งหมดนั้นออกไปและไม่มีใครอยู่ปกป้องถิ่นฐาน
ถึงอย่างนั้นต้นเถาวัลย์วิญญาณกระหายเลือดระดับวิสามัญอันดับ 3 ก็โผล่ออกมาและต้านท่านพวกมัน
มอนเตอร์โคลนซึ่งตัดสินจากรูปแบบของพวกมัน เห็นได้ชัดเจนว่าพลังป้องกันนั้นทรงพลังกว่าพลังโจมตี ดังนั้นแผนการป้องกันใจกลางในแกนกลางถิ่นฐานของศัตรูจะต้องได้รับการพิจารณาก่อนที่เริ่มการโจมตีครั้งใหญ่