เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – ตอนที่ 1024

ตอนที่ 1024

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1024 ฟางหยวนยืมวิญญาณ

แปลโดย iPAT

ฟางหยวนวิ่งผ่านภูเขาและแม่น้ำ แม้เขาจะไม่ใช้วิญญาณ แต่การเคลื่อนไหวของเขายังรวดเร็วมาก

เมื่อเขาออกจากสนามรบที่กลายเป็นที่ราบ ภูมิประเทศก็เปลี่ยนเป็นภูเขาและป่าไม้

ภาคใต้เต็มไปด้วยภูเขา นี่เป็นลักษณะพิเศษของภูมิภาคนี้

‘หลังจากวิ่งมานานโดยไม่หยุดพัก ข้ากลับไม่รู้สึกเหนื่อยล้า! สิ่งสำคัญที่สุดก็คือข้าไม่ได้ใช้วิญญาณแม้แต่ดวงเดียว!’

ฟางหยวนเริ่มตระหนักถึงความพิเศษของร่างใหม่

ร่างกายของผู้ใช้วิญญาณ หากปราศจากความช่วยเหลือจากวิญญาณที่ช่วยเสริมสร้างร่างกายเช่นวิญญาณหมูป่า พวกเขาก็ไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดา

เพียงเพราะร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าที่อยู่บนร่างกายจึงทำให้ผู้ใช้วิญญาณมีความพิเศษเฉพาะตัว

‘ร่างกายของข้าถูกสร้างขึ้นจากวิญญาณทารกอมตะระดับเก้า ดูเหมือนมันจะมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางความแข็งแกร่งมากกว่าร่างเดิมของข้า’

ฟางหยวนประเมินอยู่ในใจ

หลังจากกลายเป็นผีดิบอมตะ เขาไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย อย่างไรก็ตามหากร่างเดิมของเขาฟื้นคืนสู่ชีวิต เขาจะไม่สามารถวิ่งได้เช่นนี้

ฟางหยวนวิ่งไปในป่าลึก เขาใช้มือและเท้าปีนป่ายขึ้นหน้าผาอันสูงชัน

เขาอยู่ในร่างที่เปลือยเปล่า นั่นทำให้เขาดูราวกับเงาสีขาวพุ่งผ่านป่าทึบ

เขาสามารถมองเห็นป่าทึกที่รกร้างได้อย่างชัดเจน เขากระทั่งรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดสามารถกีดขวางเส้นทางของเขา

‘ข้าสามารถมองเห็นโลกได้อย่างชัดเจนขณะที่การเคลื่อนไหวของข้ายอดเยี่ยมมาก ช่างน่าอัศจรรย์นัก! ร่างเดิมของข้าจะสามารถบรรลุระดับนี้ด้วยการพึ่งพาวิญญาณเท่านั้น!’

ฟางหยวนขึ้นไปบนยอดเขา

เมื่อป่ารกทึบหายไป ขอบเขตการมองเห็นของเขาขยายกว้างขึ้น เขาสามารถมองเห็นทุกสิ่งรอบตัว

สายลมพัดผ่านทำให้เส้นผมของเขาสะบัดตัวไปด้านหลัง

ฟางหยวนสูดหายใจลึกก่อนจะนั่งลง เขารู้สึกผ่อนคลายราวกับการวิ่งทั้งหมดที่ผ่านมาไม่เคยเกิดขึ้น

ความแข็งแกร่งของเขาบรรลุถึงจุดที่ไม่น่าเชื่อ!

ลมเย็นพัดผ่านร่างกายที่เปลือยเปล่าของฟางหยวนแต่เขากลับไม่รู้สึกหนาว

การเต้นของหัวใจราบเรียบเป็นปกติและมีชีวิตชีวามาก

ในระยะหนึ่งหมื่นก้าว เขาสามารถมองเห็นทุกอย่างชัดเจนมาก

เขากระทั่งสามารถมองเห็นร่องรอยของการต่อสู้

‘ดูเหมือนไท่เป่ยหยุนเฉิงกับไห่ลั่วหลันจะเคยนำร่างของข้ามาที่นี่ พวกเขาพบผู้อมตะภาคใต้และเกิดต่อสู้’

ฟางหยวนกระโดดลงจากยอดเขาอย่างกะทันหัน

เขาเหยียบลงบนพื้นหินจากความสูงนับสิบเมตรแต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาไม่แม้แต่จะมีอาการชา

อย่างไรก็ตามหินใต้เท้าเขากลับแตกละเอียด

ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เขาเริ่มทดลอง

ระยะห่างระหว่างเขากับพื้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากสิบเมตรเป็นยี่สิบเมตรและห้าสิบเมตร

แต่นี่ยังไม่ถึงขีดจำกัดของเขา!

เมื่อถึงระดับหกสิบเมตร ฟางหยวนเริ่มรู้สึกเท้าชา

เขายังกล้าทดลองใช้ส่วนอื่นกระแทกพื้นไม่ว่าจะเป็นหน้าอกหรือแผ่นหลังและสร้างหลุมขึ้นบนพื้น

ฟางหยวนลุกขึ้นจากหลุมในสภาพสมบูรณ์แบบ

เขาทดลองกระโดดลงมาจากที่สูงแปดสิบเมตร

ความสูงระดับนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาแต่ประเด็นก็คือเขาใช้ศีรษะพุ่งลงมา

“บึม”

ด้วยเสียงระเบิด ศีรษะของเขาฝังลงไปใต้พื้นดิน

เขาดึงศีรษะขึ้นมาโดยปราศจากบาดแผล

ฟางหยวนรู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อยแต่อาการนี้เกิดขึ้นเพียงสามลมหายใจเท่านั้น

ฟางหยวนตรวจสอบร่างกายและพบว่ามันอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แบบ

ฟางหยวนพยายามดึงเส้นผมของตนเอง เส้นผมของเขาแข็งแรงมาก เขาต้องใช้แรงมหาศาลจึงจะสามารถถอนปอยผมออกมาได้เล็กน้อย

ฟางหยวนวิ่งไปตามร่องรอยของการต่อสู้ขณะที่เขากระโดดลงมาจากหน้าผาเพื่อทดสอบขีดจำกัดของตนเอง

ความสูงเพิ่มจากแปดสิบเมตรเป็นสองร้อยห้าสิบเมตร

ตอนนี้ฟางหยวนเริ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวดแต่เขายังทนได้

เมื่อถึงระดับความสูงสามร้อยสามสิบเมตรจากพื้น เขาก็หยุดการทดลอง

ณ ความสูงนี้ ร่างกายของเขาเกิดรอยแดงช้ำขึ้นเล็กน้อย

“สามร้อยสามสิบเมตรยังไม่ใช่ขีดจำกัดของร่างกายข้า” ฟางหยวนตกใจ

กระทั่งหอไอเฟลบนโลกมนุษย์ก็สูงเพียงสามร้อยเมตรเท่านั้น!

“ด้วยร่างกายนี้ โดยไม่ต้องใช้วิญญาณใดๆ ความสามารถของข้าก็บรรลุถึงระดับนี้ กระทั่งผู้อมตะทั่วไปก็ไม่บรรลุถึงระดับเดียวกับข้าในเวลานี้”

“ดูเหมือนร่างนี้จะมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าสายป้องกันอยู่มากมาย”

เรื่องนี้ทำให้ฟางหยวนรู้สึกมั่นใจมากขึ้น

ตอนนี้เขาไม่มีวิญญาณอมตะสายป้องกัน เขามีเพียงวิญญาณคลี่คลายความฝัน วิญญาณเปลี่ยนวิญญาณ และวิญญาณทัศนคติ

เมื่อมาถึงสถานที่เกิดการต่อสู้ ฟางหยวนนั่งลงและตรวจสอบ

“ดูเหมือนจะเป็นพวกเขา” ฟางหยวนยืนขึ้นและขมวดคิ้ว

ปราศจากวิญญาณสายตรวจสอบ ฟางหยวนไม่สามารถยืนยัน

แต่ฟางหยวนรู้ว่าเขาต้องไล่ตามต่อไป

“เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว”

เขาไม่มีเวลาทดสอบความสามารถของตนเองอีกและเลือกเส้นทางที่สะดวกที่สุด

ในไม่ช้าเขาก็พบร่องรอยที่สองและสาม

การต่อสู้ระหว่างผู้อมตะมักเกิดขึ้นบนท้องฟ้า มีร่องรอยอยู่บนพื้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และเนื่องจากฟางหยวนไม่มีวิญญาณที่ช่วยในการบิน มันจึงเป็นเรื่องยากที่เขาจะติดตามเป้าหมาย

เมื่อเวลาผ่านไป หัวใจของฟางหวนเริ่มจมดิ่งลง

เป็นเพียงเวลานี้ที่เงาร่างลึกลับพุ่งผ่านท้องฟ้ามาราวกับดาวหางก่อนจะตกลงบนพื้น

เปลวไฟลุกไหม้ขึ้นรอบๆ

“ผู้ใด?” ฟางหยวนกล่าวเสียงเย็น

“ข้าคือเฮากงตง เจ้ามาจากภูเขาอี้เทียนใช่หรือไม่?” ชายที่ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตร

การแสดงออกของฟางหยวนกลายเป็นเคร่งขรึมขณะที่เขาปลดปล่อยกลิ่นอายของวิญญาณอมตะเปลี่ยนวิญญาณออกมา เขาไม่ตอบแต่ถามกลับ “เจ้ามาในจังหวะที่เหมาะสม ระหว่างที่เจ้าบินมา เจ้าเห็นคนน่าสงสัยบ้างหรือไม่?”

เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของวิญญาณอมตะ เฮากงตงรู้ว่าฟางหยวนไม่ใช่ตัวตนที่สามารถล้อเล่น ดังนั้นท่าทีของเขาจึงเปลี่ยนแปลงไป

ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่ไม่มีวิญญาณอมตะ

แม้เฮากงตงจะเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ แต่เขาเข้าร่วมกับตระกูลช่ายของภาคใต้เรียบร้อยแล้ว

ตระกูลช่ายเป็นหนึ่งในกองกำลังใหญ่ที่เข้าร่วมในการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียน ผู้อมตะหลายคนของตระกูลช่ายเสียชีวิต ดังนั้นผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลช่ายจึงส่งเฮากงตงมาเพื่อตรวจสอบ

เมื่อได้ยินคำถามของฟางหยวน เฮากงตงคิด ‘คนน่าสงสัยงั้นหรือ? เจ้าที่วิ่งอยู่ที่นี่ด้วยร่างกายเปลือยเปล่าในยามกลางวันเช่นนี้้ เจ้านั่นแหล่ะน่าสงสัยที่สุด!’

เขาเงียบไปชั่วขณะก่อนจะเปิดปากกล่าว “ไม่มีบุคคลที่น่าสงสัยในระยะหนึ่งร้อยลี่นี้นอกจากเจ้า”

“บัดซบ!” ฟางหยวนสบถด้วยความโกรธเกรี้ยว

เขากำหมัดแน่นและกล่าวกับตนเอง “ดูเหมือนเขาจะหนีไปแล้ว ฮืม แม้เจ้าจะหนีไปจนสุดขอบโลก ข้าก็จะตามไปมอบความอัปยศนี้คืนให้กับเจ้าเป็นร้อยเท่าพันเท่า!”

เฮากงตงมองฟางหยวนและคาดเดา ‘ดูเหมือนคนผู้นี้จะถูกบางคนวางกับดักและสูญเสียวิญญาณจำนวนมาก เขามีบุคลิกที่ดุร้าย ข้าต้องระวังตัว’

ฟางหยวนไม่ได้อธิบายสิ่งใดแต่เฮากงตงได้รับคำตอบด้วยตนเองแล้ว

เขาไม่ต้องการยั่วยุฟางหยวน มันไม่คุ้มที่จะต่อสู้กับคนที่กำลังบ้าคลั่ง

“ข้าไม่ได้ตรวจสอบภูเขาอี้เทียนอย่างละเอียด เจ้าจงไปดูมันด้วยดวงตาของตนเอง” ฟางหยวนกล่าวก่อนเตรียมตัวจากไป

เฮากงตงต้องการขัดขวาง แต่ฟางหยวนกลับหยุดเท้าและถาม “เดี๋ยว! เจ้าคือเฮากงตง สมาชิกตระกูลช่ายใช่หรือไม่?”

“ถูกต้อง” เฮากงตงจ้องมองด้วยสายตาว่างเปล่า

ฟางหยวนเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ดี ข้าเป็นสหายเก่าของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่เก้าของเจ้า เขาสร้างท่าไม้ตายเขตแดนหมื่นประกายแสงเสร็จหรือนยัง?”

เฮากงตงเร่งตอบ “ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่เก้ายังอยู่ระหว่างเก็บตัวฝืนตน”

“เห้อ…เขาถูกบังคับโดยปู่ของเขา ก่อนหน้าเขาพยายามข่มเหงเทพธิดาซือซือ หึ หลังจากเหตุการณ์นี้ข้าจะไปเยี่ยมเขา” ฟางหยวนยื่นแขนออกไป “ให้ข้ายืมวิญญาณหน่อย”

“อา…” เฮากงตงตกตะลึง

“อันใด? เจ้าเป็นผู้อมตะที่ยิ่งใหญ่ วิญญาณระดับมนุษย์เพียงไม่กี่ดวง เหตุใดจึงตระหนี่นัก?” ฟางหยวนถามโดยปราศจากความอดทน

เฮากงตงคิด ‘ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่เก้ากำลังแก้ไขท่าไม้ตายเขตแดนหมื่นประกายแสง แต่นั่นเป็นเพียงข้ออ้างสำหรับคนนอกเท่านั้น ความจริงก็คือเขาคุกคามเทพธิดาซือซือ อีกฝ่ายรู้เรื่องนี้ เขาต้องเป็นสหายของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่เก้าจริงๆ ข้าเข้าร่วมกับตระกูลช่ายแต่ข้าเป็นเพียงผู้อาวุโสนอกขณะที่ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่เก้าเป็นสมาชิกที่แท้จริงของตระกูลช่ายและเป็นหลานชายของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง หากข้าพบสหายของเขาและปฏิเสธที่จะให้ยืมวิญญาณ ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่เก้าอาจไม่พอใจข้า”

ดังนั้นเฮากงตงจึงตัดสินใจให้ฟางหยวนยืมวิญญาณ

หลังจากทั้งหมดพวกมันเป็นเพียงวิญญาณระดับมนุษย์ที่มีค่าไม่มากนัก

เฮากงตงส่งมอบวิญญาณและถามฟางหยวน “ไม่ทราบว่านามของผู้อาวุโสคือ?”

“ข้าคือตงฟางเซียงจี้” ฟางหยวนโบกมือ

เฮากงตงคิด ‘เขาคือตงฟางเซียงจี้! เขาเป็นสหายที่มีชื่อเสียงของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่เก้า เขายังมีชื่อเสียงในเรื่องความตระหนี่ ยิ่งไปกว่านั้นเขาเป็นคนใจแคบและจะตามแก้แค้นหากไม่พอใจ แต่รูปลักษณ์ของเขาเป็นเช่นนี้งั้นหรือ? โอ้ เขาไม่เหลือเสื้อผ้าแล้ว เขาเปลี่ยนได้เพียงรูปลักษณ์เท่านั้น เอาล่ะ ข้าจะลืมวิญญาณเหล่านี้ไปซะ หากข้าได้รับพวกมันกลับมา นั่นจะถือเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่สุด!’

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท