เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1043 การค้นพบที่น่าตกใจ
แปลโดย iPAT
เทือกเขาห้าภูมิภาคประกอบไปด้วยแสงห้าสีสัน
มันแบ่งออกเป็นห้าเขตแดนตามภูมิภาคทั้งห้า
แสงสีม่วงเลียนแบบกำแพงพลังงานของภาคใต้ แสงสีเขียวเลียนแบบกำแพงพลังงานของภาคเหนือ แสงสีแดงเลียนแบบกำแพงพลังงานของภาคตะวันตก แสงสีฟ้าเลียนแบบกำแพงพลังงานของภาคตะวันออก และแสงสีทองเลียนแบบกำแพงพลังงานของภาคกลาง
ผู้อมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งพลังปราณ ฉีช่าย ตายอยู่ในพื้นที่สีทอง
ฟางหยวนดึงดาบออกจากหน้าผากของฉีช่าย
เดิมทีวิญญาณดาบบินจะส่องแสงสีเงินออกมาแต่ตอนนี้มันกลับเป็นสีดำสนิท
นี่เกิดจากท่าไม้ตายอมตะดาบทมิฬ
ท่าไม้ตายนี้เป็นท่าไม้ตายสำหรับการลอบสังหาร มันสามารถปกปิดกลิ่นอาย แม้มันจะเป็นท่าไม้ตายอมตะระดับเจ็ด แต่ฝ่ายตรงข้ามจะไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของมัน
เมื่อมันถูกใช้งาน ศัตรูจะไม่มีเวลาตอบสนอง
จุดอ่อนเดียวของมันคือระยะการโจมตีที่สั้นมาก ผู้ใช้งานต้องอยู่ห่างจากเป้าหมายไม่เกินหนึ่งร้อยก้าว
โดยปกติท่าไม้ตายอมตะทั่วไปมักมีระยะการโจมตีค่อนข้างไกล
ด้วยเหตุนี้ฟางหยวนจึงต้องเสี่ยงใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยเพื่อเข้าประชิดตัวฉีช่ายก่อนจะหาโอกาสสังหารเป้าหมาย
นี่เป็นเหตุผลที่ฟางหยวนแสร้งได้รับบาดเจ็บสาหัสในการต่อสู้ก่อนหน้าเพื่อลดความสงสัย
ความตายของฉีช่ายไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่มันคือแผนการที่ฟางหยวนคำนวณมาเป็นอย่างดีโดยพึ่งพาท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคย
แม้มันจะไม่ใช่ท่าไม้ตายฉบับดั่งเดิม แต่มันยังใช้วิญญาณทัศนคติเป็นแกนกลาง วิญญาณอมตะดวงนี้ส่งอิทธิพลต่อจิตใจของฝ่ายตรงข้ามทำให้พวกเขาลดความระแวงสงสัยในตัวผู้ใช้งาน
กระทั่งฉีช่ายจะระวังตัวเป็นอย่างมาก เขาก็ยังไม่สามารถค้นพบช่องโหว่ของฟางหยวน ในทางตรงข้าม เป็นฟางหยวนที่ค้นพบจุดอ่อนของฉีช่าย
นั่นก็คือผู้อมตะระดับหกฉีอี้
ผู้อมตะระดับหกสามารถสังหารผู้อมตะระดับเจ็ด หากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ผู้คนจะยกย่องสรรเสริญฟางหยวน
แต่ฟางหยวนไม่ต้องการชื่อเสียงใดๆโดยเฉพาะในช่วงเวลานี้
หลังจากเหตุการณ์บนภูเขาอี้เทียน ฟางหยวนได้เห็นเทพปีศาจจิตวิญญาณต่อสู้กับภัยพิบัติที่น่าสะพรึงกลัวมากมาย ดังนั้นการสังหารผู้อมตะระดับเจ็ดเพียงคนเดียว มันจึงกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยในสายตาของเขา
‘หากเจ้าไม่ไล่ล่าข้าถึงเพียงนี้ ข้าจะไม่สังหารเจ้า เอาล่ะ ให้ข้าดูว่าเพราเหตุใดเจ้าจึงยืนกรานที่จะไล่ล่าข้า’
ฟางหยวนดึงดวงวิญญาณของฉีช่ายออกมาจากศพ
ฉีช่ายบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งพลังปราณ ในแง่ของจิตวิญญาณ เขาไม่มีความโดดเด่น ดังนั้นหลังจากตกตาย ดวงวิญญาณของเขาจึงไม่สามารถต่อต้านฟางหยวน
ฟางหยวนตรวจสอบดวงวิญญาณของฉีช่ายเป็นอันดับแรก เมื่อไม่พบปัญหา เขาจึงเก็บมันไว้ในมิติช่องว่างจักรพรรดิ จากนั้นวิญญาณบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งก็พุ่งเข้าจู่โจมดวงวิญญาณของฉีช่าย
ค้นวิญญาณ!
ขณะที่ฟางหยวนกำลังค้นวิญญาณ เขาใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นฉีช่าย
เขาไม่ลืมว่าผู้อมตะระดับหกฉีอี้ยังอยู่ด้านนอก
การฆ่านางเป็นเรื่องง่ายแต่เพื่อให้ให้ง่ายและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ฟางหยวนจึงตัดสินใจใช้วิธีนี้
หลังจากเปลี่ยนร่าง เขาเก็บศพของฉีช่ายและบินออกจากเทือกเขาห้าภูมิภาค
อย่างไรก็ตามเมื่อฟางหยวนมาถึง ฉีอี้ก็ตายไปแล้ว
ฆาตกรที่สังหารนางไม่ใช่ผู้ใดนอกจากราชสีห์ปราณที่นางนั่งอยู่
ราชสีห์ปราณตัวนี้ถูกกดขี่โดยฉีช่าย เมื่อฉีช่ายตาย มันจึงได้รับอิสรภาพกลับคืน
ราชสีห์ปราณถูกบังคับให้เดินทางมานานแล้ว ตอนนี้มันกำลังหิว
หากฉีอี้บ่มเพาะบนเส้นทางสายอื่นที่ไม่ใช่เส้นทางแห่งพลังปราณ นางอาจรอดชีวิต แต่บนร่างของนางมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งพลังปราณซึ่งเป็นอาหารอันโอชะของราชสีห์ปราณ ดังนั้นนางจึงถูกกิน
ฟางหยวนไล่ล่าราชสีห์ปราณและใช้ดาบแทงทะลุศีรษะของมัน
ราชสีห์ปราณร่วงลงจากท้องฟ้าและส่งเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดก่อนจะตกตายไปในที่สุด
ฟางหยวนดีใจเมื่อเห็นผลลัพธ์นี้
นี่คือพลังอำนาจที่แท้จริงของวิญญาณอมตะดาบบินระดับเจ็ด
หากเปรียบเทียบ วิญญาณอมตะดาบบินส่งผลกระทบต่อผู้อมตะหรือราชสีห์ปราณมากกว่าอสูรโคลนเดียวดายที่ไม่มีจุดอ่อนและสร้างปัญหาให้ฟางหยวน
อย่างไรก็ตามฟางหยวนยังรู้สึกเสียใจกับการสูญเสียความมั่งคั่ง
วิญญาณอมตะระดับเจ็ดใช้พลังงานอมตะมากเกินไป เพื่อสังหารราชสีห์ปราณ ฟางหยวนต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายครั้งใหญ่อีกครั้ง
หลังจากนั้นฟางหยวนก็ผ่าท้องของราชสีห์ปราณและนำซากศพของฉีอี้ออกมา
ศพของฉีอี้เหลือเพียงไม่มาก แต่ฟางหยวนยังเก็บมันไว้ในมิติช่องว่างจักรพรรดิ
หลังจากสังหารผู้อมตะ มีสองวิธีที่จะได้รับประโยชน์จากมัน หนึ่งคือวางมิติช่องว่างของพวกเขาลงบนพื้นและให้มันก่อตัวเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะบุกโจตีและขโมยทรัพยากรที่อยู่ภายใน สองคือวางมิติช่องว่างของพวกเขาในมิติช่องว่างของตนและกลืนกินร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าของมันเข้าไป
ครั้งนี้ฟางหยวนเลือกวิธีที่สอง
‘หลังการต่อสู้ครั้งนี้ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งพลังปราณของข้าเพิ่มสูงขึ้น น่าเสียดายที่ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งพลังปราณของข้าอยู่ในระดับทั่วไปเท่านั้น แต่มิติช่องว่างของข้าได้รับประโยชน์และกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างช้าๆ มันจะสร้างทรัพยากรบนเส้นทางแห่งพลังปราณให้ข้า’
ฟางหยวนปกปิดร่องรอยขณะบินผ่านกลุ่มเมฆและคิดถึงผลประโยชน์ที่ได้รับ
โดยไม่ต้องกล่าวถึงวิญญาณอมตะ
ดวงวิญญาณของฉีช่ายคือคลังสมบัติขนาดใหญ่ที่รอการขุดค้น
สำหรับร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งพลังปราณ ไม่ว่าฟางหยวนจะได้รับมันมากเท่าใด มันก็ยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับผลประโยชน์อื่น
ฟางหยวนพึ่งค้นพบคุณสมบัติใหม่ของร่างกายนี้ มันเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายของเขา นอกจากความประหลาดใจ เขายังเต็มไปด้วยความสงสัยและคาดหวัง
เมื่อเขาเข้าสู่เทือกเขาห้าภูมิภาค เขาค้นพบบางสิ่งที่น่าตกใจ
นั่นคือร่างใหม่ของเขาไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันของกำแพงภูมิภาค!
ฟางหยวนเป็นผู้อมตะภาคใต้ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายของภาคใต้ หากเขาเข้าไปในกำแพงพลังงานของภูมิภาคอื่น เขาจะได้รับผลกระทบจากมัน
แต่ฟางหยวนกลับสามารถเคลื่อนที่ผ่านกำแพงพลังงานเหล่านี้ได้อย่างอิสระโดยไม่มีสิ่งใดกีดขวาง
หลังจากตระหนักถึงเรื่องนี้ ฟางหยวนกลายเป็นงุนงง แต่ในไม่ช้ามันก็เปลี่ยนเป็นความสุข เขาคาดเดา ‘เทือกเขาห้าภูมิภาคถูกสร้างขึ้นโดยเลียนแบบกำแพงภูมิภาค หากข้าสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระที่นี่ นั่นหมายความว่าข้าสามารถเดินทางผ่านกำแพงภูมิภาคได้อย่างอิสระใช่หรือไม่?’
ขณะที่เขาถูกไล่ล่าอยู่ในเทือกเขาห้าภูมิภาค เขาแสร้งเดินทางด้วยความยากลำบากราวกับถูกกดดันอย่างหนัก
แต่หลังจากกำจัดศัตรู เขาจึงมีเวลาคิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องนี้
‘ร่างใหม่ของข้าไม่ใช่ร่างกายทั่วไป มันไม่มีพ่อแม่ ไม่มีต้นกำเนิด มันเกิดจากวิญญาณทารกอมตะระดับเก้า หากมันถือเป็นวิญญาณอมตะดวงหนึ่ง นั่นจะอธิบายได้ว่าเหตุใดข้าจึงสามารถเดินทางผ่านกำแพงภูมิภาคได้อย่างอิสระ’
กำแพงภูมิภาคจะส่งผลกระทบต่อผู้อมตะไม่ใช่วิญญาณอมตะ
ในอดีตเมื่อฟงจิวเก้อเดินทางข้ามกำแพงภูมิภาคไปยังภาคเหนือ เขาส่งวิญญาณอมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งข้อมูลกลับไปหาครอบครัวโดยไม่ถูกกีดขวางโดยกำแพงภูมิภาค
‘หากข้าเดาถูก แล้วเหตุใดข้าต้องรีบร้อนหลอมรวมวิญญาณท่องแดนอมตะ?’ ฟางหยวนคิดขณะบินตรงไปยังกำแพงภูมิภาค
เขาต้องการตรวจสอบการคาดเดานี้อย่างรวดเร็วที่สุด
เขาถามหนี่เซียงรุ่นปัจจุบันและสามารถคาดเดว่าวิญญาณท่องแดนอมตะระเบิดตัวเองไปแล้ว
นอกจากนี้เหตุผลที่เขาต้องการหลอมรวมวิญญาณท่องแดนอมตะเพราะเขาต้องการเดินท่างผ่านกำแพงภูมิภาคและกลับไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา
เพราะเหตุใด?
ประการแรก แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาปลอดภัยที่สุดในช่วงเวลานี้
ประการที่สอง ทรัพยากรมากมายของเขาอยู่ที่นั่น การขนส่งสมบัติผ่านสวรรค์สีเหลืองมีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป
ประการสุดท้าย แสงแรกกำเนิดเป็นส่วนประกอบสำคัญในการหลอมรวมวิญญาณท่องแดนอมตะ แม้ฟางหยวนจะมีเบาะแสบางอย่าง แต่มันก็มีความหวังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
สิ่งสำคัญที่สุดที่เขากังวลก็คือภัยพิบัติพิภพที่ใกล้เข้ามา ด้วยร่างกายที่น่าอัศจรรย์นี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าภัยพิบัติที่เขาต้องเผชิญย่อมไม่ธรรมดา
‘หากข้าเดาถูก ข้าควรยอมแพ้เรื่องการหลอมรวมวิญญาณท่องแดนอมตะ ข้าต้องรีบกลับแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาเพื่อเตรียมตัวรับมือภัยพิบัติ ต้องข้าเหลือเวลาอีกไม่ถึงสองเดือน!’
เขาไม่ใช่ผีดิบอมตะอีกต่อไป ภัยพิบัติไม่ต่างจากดาบที่วางอยู่บนลำคอของเขา
ฟางหยวนมองไปยังก้อนเมฆสีขาวที่อยู่ด้านหน้าและรู้สึกถึงความเร่งด่วน