เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1089 ปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง
แปลโดย iPAT
บิน!
วานรกลืนกินเปลวเพลิงทะยานร่างออกจากคลื่นสัตว์อสูรท่ามกลางกลุ่มฝุ่นควันและเข้าใกล้ซากศพของสัตว์อสูรแรกกำเนิด
พิจารณาจากรูปลักษณ์ มันเป็นซากศพช้างตัวหนึ่ง
ผิวของช้างตัวนี้เป็นสีฟ้าเทาที่มีเลือดแห้งกรังติดอยู่บนบาดแผล กระดูกสีขาวทะลุออกมาจากชั้นผิวขณะที่ร่างกายของมันเริ่มเน่าเปื่อย ดูเหมือนมันจะผ่านการต่อสู้ที่รุนแรงมาก่อนเสียชีวิต
ฟางหยวนเกิดคำถามขึ้นในใจ ‘สิ่งใดที่สามารถสังหารสัตว์อสูรแรกกำเนิดตัวนี้?’
ตอนนี้เขาอยู่ใกล้จุดศูนย์กลางของไท่ชิว
นี่เป็นหนึ่งในสิบเขตต้องห้ามของภาคเหนือ มันอันตรายมากและเต็มไปด้วยสิ่งที่มนุษย์ไม่รู้จัก สัตว์อสูรแรกกำเนิดที่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ทำให้กองกำลังใหญ่ต่างปวดศีรษะ
หลังจากทั้งหมดสัตว์อสูรแรกกำเนิดมีพลังการต่อสู้เทียบเท่ากับผู้อมตะระดับแปด
ด้านกองกำลังใหญ่ต่างๆ มีเพียงไม่กี่กองกำลังที่มีผู้อมตะระดับแปด
ในภาคเหนือมีผู้อมตะระดับแปดที่เป็นที่รู้จักในวงกว้างเพียงห้าคน
กระทั่งพวกเขาจะเข้ามาในไท่ชิว พวกเขาก็ยังต้องระวังตัว นี่เป็นเหตุผลที่กองกำลังใหญ่ของภาคเหนือปฏิเสธที่จะยุ่งเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้
ฟางหยวนเข้าไปใกล้ซากศพของช้างแรกกำเนิดมากขึ้น
เปรียบเทียบกับซากศพที่ใหญ่โต ฟางหยวนเหมือนแมลงวันตัวหนึ่งเท่านั้น
ที่นี่ปราศจากลม แต่ฟางหยวนกลับรู้สึกถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้น
คลื่นพลังงานอันไร้รูปลักษณ์พยายามขับไล่ฟางหยวนออกไป นี่ทำให้เขารู้สึกราวกับกำลังว่ายทวนกระแสน้ำ
หลังจากชั่วครู่ฟางหยวนเริ่มได้ยินเสียงเหมือนคลื่นน้ำ
‘ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งวารี!’ หัวใจของฟางหยวนสั่นสะท้านขึ้นเล็กน้อย
โดยไม่จำเป็นต้องคาดเดา ช้างแรกกำเนิดตัวนี้ต้องเป็นสิ่งมีชีวิตบนเส้นทางแห่งวารีอย่างแน่นอน
แม้มันจะตายไปแล้ว แต่ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งวารียังอยู่ในกระดูกและผิวหนังของมันและส่งผลกระทบต่อพื้นที่บริเวณนี้ตลอดเวลา
ฟางหยวนมองช้างแรกกำเนิดตัวนี้และคิดไปถึงช่วงเวลาแห่งภัยพิบัติของตงฟางชางฟาน
ย้อนกลับไปซากศพค้างคาวมรณะแรกกำเนิดที่ถูกจัดตั้งขึ้นโดยตงฟางชางฟานทำให้ฟางหยวนรู้สึกคุ้นเคยกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นในเวลานี้
ภายในค่ายกลวิญญาณของโลกใต้บาดาล ฟางหยวนได้รับทรัพยากรอมตะที่มีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าจำนวนมาก มันกระทั่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
แต่ทรัพยากรอมตะเหล่านั้นมีขนาดเล็ก ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าของพวกมันจึงไม่สามารถเปรียบเทียบกับร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าที่อยู่บนร่างกายของช้างแรกกำเนิดตัวนี้
สิ่งสำคัญที่สุดคือสัตว์อสูรแรกกำเนิดตัวนี้พึ่งตาย ดังนั้นฟางหยวนจึงรู้สึกถึงความยากลำบากในการเข้าใกล้มัน
‘เมื่อสัตว์อสูรแรกกำเนิดอาศัยอยู่ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่งเป็นเวลานาน พลังงานแห่งเต๋าของพวกมันจะค่อยๆเปลี่ยนสภาพแวดล้อม’
ฟางหยวนคิดขณะพยายามเข้าใกล้ซากศพมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เนื่องจากร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งวารี มันจึงทำให้พื้นที่รอบๆกลายเป็นเงียบสงบและไร้สัญญาณชีวิต
‘เมื่อพื้นที่บริเวณนี้เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์ มันจะเต็มไปด้วยหมอกหนาทึบ ทะเลสาบจะก่อตัวขึ้น อาจมีพืชเติบโตและมีสัตว์ป่าเข้ามาอาศัยอยู่รอบๆ’
ตอนนี้พื้นที่บริเวณนี้ยังไม่เสถียร ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าจากช้างแรกกำเนิดตัวนี้กำลังเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศ
กระบวนการนี้อาจใช้เวลาหลายสิบหลายร้อยหรืออาจกระทั่งหลายพันปี ทุกอย่างขึ้นอยู่กับร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าที่เหลืออยู่ในซากศพของช้างแรกกำเนิด
พื้นที่รอบๆจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจนกว่าร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนซากศพและสภาพแวดล้อมเกิดความสมดุล
ทันใดนั้นฟางหยวนพลันตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของคลื่นสัตว์อสูรที่อยู่รอบๆอีกครั้ง ตอนนี้พวกมันกำลังวิ่งชนกันและสร้างความปั่นป่วนขึ้นในระยะไกล
ฟางหยวนถอนหายใจและคิด ‘ดูเหมือนข้อมูลของนิกายเงาจะถูกต้อง แม้เจตจำนงสวรรค์จะสามารถส่งอิทธิพลต่อความคิดของสัตว์อสูรได้โดยง่าย แต่ผลกระทบของมันจะเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น กระทั่งเจตจำนงสวรรค์จะค้นพบข้า มันก็ไม่สามารถควบคุมคลื่นสัตว์อสูรให้พุ่งเข้ามาในอาณาเขตของซากศพสัตว์อสูรแรกกำเนิด ที่นี่ข้าปลอดภัย!’
ฟางหยวนหยุดเคลื่อนไหว
เขามองไปรอบๆและเงยศีรษะขึ้น
นี่เป็นตำแหน่งที่สมบูรณ์แบบมาก มันไม่ใกล้และไม่ไกลจากซากศพช้างแรกกำเนิดมากเกินไป
สิ่งสำคัญที่สุดคือปฏิกิริยาตอบสนองจากวิญญาณของฟางหยวน
ก่อนออกเดินทาง จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยามอบชุดวิญญาณจัดตั้งค่ายกลวิญญาณให้กับเขา วิญญาณเหล่านี้จะตอบสนองเมื่อพบตำแหน่งที่เหมาะสมในการจัดตั้งค่ายกลวิญญาณเคลื่อนย้ายสถานที่ พวกมันจะส่งเสียงเตือนผู้อมตะ
จัดตั้งค่ายกลวิญญาณ!
ฟางหยวนยืนนิ่งและส่งพลังงานอมตะให้กับวิญญาณของเขา
หลังจากนั้นวิญญาณอมตะจึงถูกกระตุ้นใช้งาน
วิญญาณบางดวงบินออกมาจากมิติช่องว่างของเขาขณะที่บางดวงเต้นรำอยู่ภายใน
แสงสว่างส่องประกายขึ้นและสร้างเป็นฉากที่งดงาม
ระหว่างกระบวนการนี้ฟางหยวนต้องใช้สมาธิขั้นสูงสุด ดังนั้นเขาจึงต้องยกเลิกท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนรูปลักษณ์และเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง
เจตจำนงสวรรค์รับรู้ถึงสิ่งนี้และทำให้ท้องฟ้าส่งเสียงคำราม
แต่มันไม่สามารถทำสิ่งใด
เจตจำนงสวรรค์สามารถเคลื่อนไหวด้วยตัวของมันเองเพียงเมื่อผู้อมตะเผชิญหน้ากับภัยพิบัติ ฟางหยวนไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั้น เขาไม่ได้หลอมรวมวิญญาณอมตะด้วยวิธีการของมนุษย์ขนเช่นกัน
เกลียวแสงเจ็ดสีหมุนวนรอบตัวฟางหยวนและค่อยๆขยายวงกว้างขึ้น
วิญญาณจำนวนมากเริ่มเรียงตัวตามตำแหน่ง บางดวงมุดลงไปใต้ดิน บางคนนอนอยู่บนพื้น บางดวงลอยอยู่กลางอากาศราวกับภูตผี และบางดวงผสานตัวเข้ากับห้วงมิติ
ด้วยความตั้งใจของฟางหยวน วิญญาณอมตะดวงหนึ่งบินเข้าสู่ตำแหน่งของค่ายกลวิญญาณ
วิญญาณวางค่ายกลระดับหก!
มันลอยอยู่เหนือศีรษะของฟางหยวนและรวบรวมพลังอำนาจของวิญญาณจำนวนมากที่อยู่รอบๆ
การจัดตั้งค่ายกลวิญญาณครั้งนี้ใช้เวลาถึงหกชั่วโมง
เมื่อดวงอาทิตย์ตกดิน ฟางหยวนเก็บวิญญาณกลับไป
วิญญาณระดับมนุษย์หลายดวงถูกทิ้งไว้ที่นี่ขณะที่วิญญาณอมตะถูกเรียกคืนทั้งหมด ค่ายกลวิญญาณเคลื่อนย้ายสถานที่ถูกซ่อนไว้ กระทั่งฟางหยวนก็ยังไม่พบร่องรอยของมัน
‘สำเร็จในที่สุด’ ฟางหยวนถอนหายใจ
ด้วยการจัดตั้งค่ายกลวิญญาณ เขาจะได้รับผลประโยชน์ครั้งใหญ่
กระทั่งความสำเร็จบนเส้นทางแห่งค่ายกลของเขาจะอยู่ในระดับทั่วไป เขาก็ยังมีความเข้าใจอยู่มาก
‘หากเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งค่ายกลที่มีความสำเร็จระดับปรมาจารย์เอก พวกเขาจะสามารถใช้ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าของสวรรค์พิภพเพื่อจัดตั้งค่ายกล ค่ายกลวิญญาณนี้คล้ายคลึงกับวิธีการนั้น มันทำให้ข้าคิดถึงตัวตนที่ยิ่งใหญ่ในอดีต’
บุคคลผู้นี้ถูกเรียกว่าท่านหญิงจิ่วฮวา นางเป็นปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งค่ายกลที่โด่งดังในประวัติศาสตร์
วิธีการจัดตั้งค่ายกลของนางสร้างแสงหลากหลายสีสันและดูงดงามมาก
สิ่งสำคัญที่สุดนางมีชีวิตอยู่ในยุคเดียวกันกับบรรพชนผมยาว หากกล่าวให้ถูกต้องมากกว่านั้นก็คือบรรพชนผมยาวมีชีวิตอยู่นานเกินไป
‘บางทีค่ายกลวิญญาณเคลื่อนย้ายสถานที่นี้อาจเกิดจากการทำธุรกรรมระหว่างบรรพชนผมยาวกับท่านหญิงจิ่วฮวา’ ฟางหยวนเดา
ค่ายกลวิญญาณนี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว
ฟางหยวนลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนที่เขาจะกระตุ้นใช้งานมัน
โดยนิสัย เขาต้องตรวจสอบค่ายกลวิญญาณนี้ก่อนใช้งาน
แต่เขาไม่มีความรู้ด้านค่ายกลวิญญาณมากนักขณะที่ค่ายกลวิญญาณนี้ถูกสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งค่ายกล มันยิ่งใหญ่และซับซ้อนเกินไป ฟางหยวนไม่สามารถตรวจสอบข้อบกพร่องใดๆของมัน
ค่ายกลวิญญาณเริ่มทำงานอย่างช้าๆ ไม่กี่นาทีต่อมา ขั้นตอนแรกก็เสร็จสิ้น
แสงสว่างส่องประกายขึ้นโดยมีฟางหยวนเป็นจุดศูนย์กลาง เขาได้ยินเสียงกระแสน้ำไหลเชี่ยวพร้อมกับแรงกดดันที่หายไป
‘ค่ายกลวิญญาณนี้พึ่งพาร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าจากซากศพของสัตว์อสูรแรกกำเนิด ไม่แปลกใจเลยที่จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาต้องการเลือกสถานที่เช่นนี้เพื่อจัดตั้งค่ายกลวิญญาณ’
‘ค่ายกลวิญญาณที่สามารถขนส่งผู้อมตะหาได้ยาก กระทั่งค่ายกลวิญญาณนี้จะทำได้ มันก็ยังใช้เวลาค่อนข้างนาน มันไม่สามารถใช้หลบหนีได้ในเวลาอันรวดเร็ว’
ฟางหยวนประเมินขณะที่เขากระตุ้นใช้วิญญาณอมตะที่อยู่ในมิติช่องว่างจักรพรรดิ
พลังอำนาจของวิญญาณอมตะทำให้ร่างกายของฟางหยวนส่องประกายขึ้น
พวกมันควบแน่นและกลายเป็นบอลแสงทรงกลม
ฟางหยวนรู้สึกถึงแรงกดดันอันเข้มข้น
“บึม!”
บอลแสงระเบิดขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับร่างของฟางหยวนที่อันตรธานหายไปในพริบตา
ครู่ต่อมาสถานที่แห่งนี้จึงกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้งราวกับไม่เคยเกิดขึ้นใดขึ้นทั้งสิ้น
‘ข้ากลับมาแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาแล้วงั้นหรือ?’ ฟางหยวนตกใจ สายตาของเขายังพร่าเลือนแต่เขารู้สึกถึงพื้นแข็ง หลังจากชั่วครู่เขาจึงสามารถมองเห็นแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาอย่างชัดเจน
เขายืนอยู่กลางค่ายกลวิญญาณขนาดใหญ่
เขากลับมาในตำแหน่งเดิมเช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่เขาใช้ค่ายกลวิญญาณเคลื่อนย้ายสถานที่เดินทางมาจากหน้าผาเฟิงโป้
ฟางหยวนเกิดความเข้าใจบางอย่าง ‘ดูเหมือนที่นี่จะเป็นค่ายกลหลัก ค่ายกลวิญญาณที่ไท่ชิว หน้าผาเฟิงโป้ และที่อื่นๆต่างเป็นค่ายกลย่อยของมัน ในการสร้างค่ายกลวิญญาณขนาดใหญ่ วิญญาณอมตะคือจุดสำคัญ’
จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาปรากฎตัวขึ้น
เขาหัวเราะเสียงดัง “ฟางหยวน เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”