เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – ตอนที่ 1111

ตอนที่ 1111

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1111 ภัยพิบัติพิภพครั้งที่สาม

แปลโดย iPAT

ภาคใต้

สายลมพัดไปตามทิวเขาอย่างไม่หยุดยั้ง

ผู้อมตะมากกว่าสิบคนยืนอยู่ห่างกันหลายพันลี้และจัดขบวนเป็นวงกลมขนาดใหญ่

ค่ายกลวิญญาณถูกกระตุ้นการทำงานและปลดปล่อยแสงสว่างระยิบระยับออกมาปกคลุมอาณาจักรแห่งความฝันเอาไว้ทั้งหมด

หลังการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียน เทพปีศาจจิตวิญญาณถูกกักขังไว้ในอาณาจักรแห่งความฝันแห่งนี้และกำลังอ่อนแอลงเรื่อยๆ

แม้ผู้อมตะภาคใต้จะไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับการต่อสู้ที่เกิดขึ้นแต่พวกเขารู้ว่าอาณาจักรแห่งความฝันเป็นผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่

ผู้อมตะกลุ่มนี้มาจากกองกำลังขนาดใหญ่ฝ่ายธรรมะของภาคใต้

หลังจากเจรจาอย่างยากลำบาก พวกเขาสามารถสร้างข้อตกลง

อาณาจักรแห่งความฝันแห่งนี้ใหญ่โตเกินไป ไม่มีกองกำลังใดกองกำลังหนึ่งสามารถยึดครองมันได้เพียงลำพัง พวกเขายังต้องระวังปีศาจอมตะและผู้บ่มเพาะสันโดษ ดังนั้นฝ่ายธรรมะจึงสร้างความร่วมมือและเข้ายึดครองสถานที่แห่งนี้และสร้างค่ายกลวิญญาณขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อเก็บเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างช้าๆ

“ไป!” ผู้อมตะบางคนตะโกน

พวกเขาต้องใช้ความพยายามและทรัพยากรจำนวนมหาศาล

หลังจากเก้าวันเก้าคืน ค่ายกลวิญญาณก็ใกล้ประสบความสำเร็จ

“พวกเขากำลังจะประสบความสำเร็จ!”

“หากเราไม่ลงมือตอนนี้…”

“เห้อ…ไม่มีโอกาสแล้ว ดูรอบๆ มีผู้อมตะซ่อนตัวอยู่มากมาย นอกจากนั้นอาจมีคฤหาสน์วิญญาณอมตะปกป้องพวกเขาอยู่”

“ในกรณีนี้…”

การสนทนาเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ

ปีศาจอมตะและผู้บ่มเพาะสันโดษตระหนักถึงคุณค่าของอาณาจักรแห่งความฝันเช่นกัน แม้จะไม่มีอาณาจักรแห่งความฝัน แต่สถานที่แห่งนี้ยังมีซากศพและมรดกของผู้อมตะ พวกมันล้วนเป็นสมบัติล้ำค่า

แต่ฝ่ายธรรมะดำเนินการอย่างระมัดระวังและไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายปีศาจสามารถลงมือ

เมื่อปราศจากโอกาส ผู้อมตะเหล่านี้จึงเลือกที่จะล่าถอยอย่างชาญฉลาด

“บึม!”

เป็นเพียงเวลานี้ที่เสาแสงระเบิดขึ้นสู่ท้องฟ้า

เมื่อเสาแสงเลือนหาย ค่ายกลวิญญาณขนาดใหญ่ก็เก็บซ่อนตัวมันเองจากสายตาของคนนอก

“หลังจากทำงานหนัก สุดท้ายก็ประสบความสำเร็จ!” ผู้อมตะฝ่ายธรรมะที่จัดตั้งค่ายกลวิญญาณบินเข้ามารวมตัวกัน

“ในการสร้างค่ายกลวิญญาณนี้ตระกูลวูของข้าใช้วิญญาณอมตะห้าดวง ดังนั้นสามสิบส่วนของอาณาจักรแห่งความฝันควรเป็นของตระกูลวู”

“ฮ่าฮ่า มีเหตุผล แต่…ตระกูลลั่วของข้าใช้วิญญาณอมตะเท่ากับตระกูลวู พวกเราต้องได้รับส่วนแบ่งเท่ากัน”

“พวกเจ้ากำลังกล่าวสิ่งใด! หากเราไม่ทำงานร่วมกันและใช้พลังงานอมตะของทุกคน ค่ายกลวิญญาณขนาดใหญ่เช่นนี้จะถูกสร้างขึ้นได้อย่างไร?”

“ในความคิดเห็นของข้า ในแง่ของการมีส่วนร่วม ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของข้า จื่อฉูโหยว่ รับผิดชอบการจัดตั้งแกนกลางของค่ายกล ในการจัดลำดับความสำคัญ เขาต้องได้รับอันดับหนึ่งอย่างแน่นอน!”

แม้ค่ายกลวิญญาณจะถูกจัดตั้งขึ้น แต่ฝ่ายธรรมะยังไม่ได้ตัดสินใจเกี่ยวกับการแบ่งผลประโยชน์

การโต้แย้งดังขึ้นอย่างต่อเนื่องก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปอย่างไม่มีความสุข

ไม่กี่วันต่อมา

ภูเขาเฉิงเหลียง

“ซินซื่อคารวะท่านหญิงชิงชิง” เฉิงซินซื่อทำความเคารพ

เฉิงชิงชิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ข้าคิดถูกเกี่ยวกับเจ้า เจ้าทำหน้าที่ผู้นำตระกูลได้ดีมาก ตอนนี้ตระกูลเฉิงเริ่มแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันแล้ว”

“ข้าสามารถทำสิ่งเหล่านี้เพราะได้รับการสนับสนุนจากท่านหญิงชิงชิง” เฉิงซินซื่อกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ

เฉิงชิงชิงกล่าวเข้าประเด็น “ข้าเรียกเจ้ามาที่นี่เพราะข้ามีคำถามบางอย่าง หลังจากขึ้นเป็นผู้นำตระกูล สิ่งแรกที่เจ้าทำคือประกาศจับปีศาจดำขาว แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่ไห่ถูของเจ้าไม่ใช่ฟางเจิ้งแต่เป็นฟางหยวน”

“ฟางหยวน?” เฉิงซินซื่องุนงง

นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าท่านหญิงชิงชิงจะเรียกนางมาพูดคุยเกี่ยวกับท่านพี่ไห่ถูของนาง

หลังจากเฉิงซินซื่อกลายเป็นผู้นำตระกูลเฉิง นางได้เปิดหูเปิดตาและเรียนรู้ความลับมากมาย นางรู้ว่าหญิงที่งดงามที่อยู่ตรงหน้าคือผู้อมตะที่สูงส่งและยิ่งใหญ่

แต่ตอนนี้ผู้อมตะที่ยิ่งใหญ่กลับกำลังพูดคุยกับนางเกี่ยวกับผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์ผู้หนึ่ง แล้วจะไม่ให้นางรู้สึกสับสนได้อย่างไร?

เฉิงชิงชิงกล่าวด้วยการแสดงออกที่เคร่งขรึม “ซินซื่อ เจ้าต้องฟังคำกล่าวต่อไปนี้ของข้าอย่างระมัดระวังเพราะมันสำคัญมาก”

“ทราบแล้ว ข้าจะตั้งใจฟังและเรียนรู้”

“ปีศาจดำที่เจ้ารู้จักในชื่อของฟางเจิ้งแท้จริงแล้วคือฟางหยวน เขามีภูมิหลังที่น่าตกใจ เขาไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นตัวตนที่อันตรายมาก เขาเป็นผู้อมตะฝ่ายปีศาจที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรง ไม่เพียงผู้อมตะของภาคใต้แต่ยังรวมถึงผู้อมตะของภาคกลาง ผู้อมตะของทะเลตะวันออก ผู้อมตะของภาคเหนือ และผู้อมตะของทะเลทรายตะวันตกที่ต้องการจับตัวเขาในเวลานี้” เฉิงชิงชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

เฉิงซินซื่ออ้าปากค้างด้วยตกตะลึง

ครู่หนึ่งนางรู้สึกราวกับหูฝาด

ท่านพี่ไห่ถูของนางกลายเป็นผู้อมตะตั้งแต่เมื่อใด? และเขายังอันตรายมากกระทั่งท่านหญิงชิงชิงยังต้องระวังตัว

“อย่าสงสัยว่าเจ้าได้ยินสิ่งใดผิดไปหรือข้ากำลังพูดเรื่องตลกกับเจ้า เจ้ากับปีศาจฟางหยวนอาจมีความสัมพันธ์บางอย่างในอดีต บอกข้าทุกสิ่งเกี่ยวกับมัน” เฉิงชิงชิงถาม

“อา…อา…ทราบแล้ว” เฉิงซินซื่อฟื้นคืนสติก่อนจะเริ่มทบทวนความทรงจำ “ข้าพบท่านพี่ไห่ถูครั้งแรกในขบวนสินค้า เขาเป็นคนใจดีมาก เขาช่วยข้าจากสถานการณ์ที่น่ากลัว…”

เฉิงซินซื่อนึกถึงอดีต ยิ่งนางนึกถึงมากเท่าใด ใบหน้าของนางก็ยิ่งอ่อนโยนลงมากเท่านั้น

ตลอดกระบวนการ เฉิงชิงชิงฟังอยู่อย่างเงียบๆโดยไม่กล่าวสิ่งใด

หลังจากเฉิงซินซื่อกล่าวจบ นางจึงรวบรวมความกล้าและพยายามแก้ตัวแทนฟางหยวน “ท่านหญิงชิงชิงเข้าใจสิ่งใดผิดไปหรือไม่? ฟางเจิ้ง…ข้าหมายถึงฟางหยวน เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นเพียงผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์ แล้วเขาจะกลายเป็นปีศาจอมตะได้อย่างไร?”

“ฮ่าฮ่า” เฉิงชิงชิงเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน “หากเขาไม่ใช่ปีศาจที่ยิ่งใหญ่ แล้วเขาคือผู้ใด? ความร้ายกาจและเล่ห์เหลี่ยมของเขาไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถจินตนาการถึง เขาได้พลิกคว่ำโลกของผู้อมตะภาคเหนือ กระทั่งวังสวรรค์ของภาคกลางยังไม่สามารถจับกุมเขา ตอนนี้ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนหรือวางแผนชั่วร้ายใดต่อไป การเผชิญหน้าระหว่างเจ้ากับเขาอาจไม่ง่ายอย่างที่คิด ข้าบอกได้เลยว่ามีแผนการซ่อนอยู่ในเรื่องนี้”

“เจ้ารู้หรือไม่เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับเขา ตอนนี้ตระกูลเฉิงของเรากำลังเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากผู้อมตะทั้งหมดของภาคใต้ จากนี้ไปเจ้าต้องรักษาระยะห่างจากเขา ไม่มีความสัมพันธ์ใดระหว่างพวกเจ้าทั้งสอง เจ้าเป็นผู้นำตระกูลที่ดี จงฟังคำกล่าวข้า เอาล่ะ ไปได้”

เฉิงซินซื่อทำได้เพียงจากไป

“ท่านจะปล่อยนางไปเช่นนี้งั้นหรือ?” หลังจากเฉิงซินซื่อจากไป ร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านข้างเฉิงชิงชิง

เขาเป็นชายร่างผอมที่มีใบหน้าซีดขาว เขาคือผู้อมตะของตระกูลเฉิง เฉิงเทียนโม่

เฉิงชิงชิงเผยรอยยิ้ม “ข้าจะทำสิ่งใดได้?”

เฉิงเทียนโม่กล่าว “เราไม่สามารถเชื่อเพียงคำกล่าวของนาง เราต้องค้นวิญญาณของนางและตรวจสอบด้วยตนเอง!”

เฉิงชิงชิงเผยรอยยิ้มกว้าง “ดูนี่”

หลังกล่าวจบคำนางยื่นมือออกมา

มือของนางไม่ใช่มือของมนุษย์อีกต่อไปแต่กลายเป็นกิ่งไม้ที่มีดอกไม้งอกออกมาจากเล็บ

เฉิงเทียนโม่กลายเป็นมึนงง “ข้าลืมไปว่าท่านมีท่าไม้ตายอมตะนี้ มันเชื่อถือได้มากกว่าการค้นวิญญาณ!”

“ข้ารู้การเคลื่อนไหวทั้งหมดของฟางหยวนเมื่อครั้งที่เขาเข้ามาในเมืองเฉิง เขามาที่นี่เพื่อฝึกฝน เขาไม่ได้วางแผนร้ายใดๆต่อตระกูลเฉิง เขาคู่ควรกับการเป็นผู้ครอบครองวิญญาณกาลเวลาจริงๆ” เฉิงชิงชิงกล่าว

เฉิงเทียนโม่พยักหน้า “เช่นนั้นเราจะอธิบายเรื่องนี้กับคนนอกอย่างไร?”

เฉิงชิงชิงเผยรอยยิ้มเย็นชา “พวกเขาใช้ฟางหยวนเป็นข้ออ้างเพื่อให้ได้รับส่วนแบ่งอาณาจักรแห่งความฝันที่มากขึ้น ตอนนี้เมื่อข้ามีหลักฐานชิ้นนี้ ข้าสามารถทำให้พวกเขาหุบปาก!”

ดวงตาของเฉิงเทียนโม่ส่องประกายขึ้นขณะที่เขาหันหน้าไปทางภูเขาอี้เทียน “บางที…ผู้อมตะตระกูลเฉิงของเราอาจนิ่งเฉยมากนานเกินไป ผู้คนจึงคิดว่าพวกเราไม่เหลือผู้มีความสามารถอีกต่อไป!”

สถานการณ์ที่แปลกประหลาดดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง

ในภาคเหนือ การต่อสู้ของเผ่าไห่จบลงแล้ว ทุกฝ่ายล้วนได้รับผลประโยชน์บางอย่าง เผ่าไห่ถูกยึดครองโดยเผ่าไป่ซู นี่ทำให้สถานการณ์ของภาคเหนือเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

ในภาคใต้ ผู้อมตะฝ่ายธรรมะร่วมมือกันปกป้องผลประโยชน์จากปีศาจอมตะและผู้บ่มเพาะสันโดษแต่ภายในกลับมีเกิดความขัดแย้ง การต่อสู้เพื่อแย่งชิงผลประโยชน์กำลังเริ่มขึ้นอย่างเผ็ดร้อน

ไม่ว่าที่ใดผู้คนล้วนต่อสู้เพื่อผลประโยชน์และทรัพยากร

สิบกว่าวันผ่านไป

ภาคเหนือ แดนน้ำแข็ง

ฟางหยวนวางมิติช่องว่างจักรพรรดิลงที่นี่

ภายในมิติช่องว่างจักรพรรดิ เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า “ในที่สุดภัยพิบัติพิภพครั้งที่สามก็มาถึง”

ปราณสวรรค์พิภพเกิดความปั่นป่วนขึ้นก่อนที่ฟางหยวนจะมองเห็นแสงสีเขียวพุ่งเข้ามาจากสุดขอบฟ้าพร้อมกับเสียงกรีดร้องของฝูงนก

“วิหคหยกเขียว” รูม่านตาของฟางหยวนหดเล็กลง เขาจำนกเหล่านี้ได้

พวกมันอาจมีร่างกายขนาดเล็กเหมือนนกกระจอกแต่พวกมันเป็นสัตว์อสูรเดียวดาย!

‘นกชนิดนี้พิเศษมาก พวกมันเป็นสัตว์อสูรเดียวดายบนเส้นทางแห่งกฎ บนร่างของพวกมันเต็มไปด้วยร่องรอยของพลังงานเต๋าแห่งชีวิต แต่พวกมันอายุสั้น หลังจากถือกำเนิด พวกมันจะบินขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที ทุกที่ที่พวกมันบินผ่าน ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนร่างกายของพวกมันจะร่วงหล่นลงมาราวกับสายฝนและเปลี่ยนสภาพแวดล้อมไปอย่างสมบูรณ์ หลังจากไม่กี่ลมหายใจ พวกมันจะตาย’ ฟางหยวนพึมพำในใจ

หลังจากนั้นเขาจึงเห็นชั้นน้ำแข็งที่ปกคลุมภาคเหนือน้อยเริ่มแตกร้าว

ในไม่ช้าวิหคหยกเขียวก็ทำให้ดอกไม้ใบหญ้าเติบโตขึ้น

‘เกิดสิ่งใดขึ้นกับภัยพิบัติพิภพครั้งนี้? เจตจำนงสวรรค์กำลังช่วยพัฒนามิติช่องว่างของข้างั้นหรือ?’ ฟางหยวนรู้สึกสับสนมาก

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท