เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – ตอนที่ 1138

ตอนที่ 1138

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1138 จุดจบของการต่อสู้

แปลโดย iPAT

“มันคือสิ่งใด?”

“ไก่ยักษ์!?”

เมื่อเห็นสัตว์ปีกตัวนี้เข้าสู่สนามรบ กลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนรู้สึกตกใจ

‘ตามคำอธิบายของไห่ฟาน อสูรปีมีอยู่สิบสองรูปแบบ ข้าโชคดีที่สามารถอัญเชิญอสูรปีไก่ออกมาได้’ ฟางหยวนมองอสูรปีและลอบประเมินอยู่ภายใน

อสูรปีตัวนี้มีร่างกายใหญ่โตราวกับเนินเขา

เมื่อมันกางปีกออก มันจะสร้างเงาขนาดใหญ่ลงบนพื้น

มันทั้งกล้าหาญ มีชีวิตชีวา และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน ขนของมันมีสีสันสดใสขณะที่กรงเล็บแหลมคมราวกับใบมีด

มันกวาดตามองไปรอบๆสนามรบก่อนจะหยุดสายตาที่ฟางหยวน

ไม่มีผู้ใดที่มันให้ความสนใจมากไปกว่าเขาเพราะมันได้กลิ่นของวิญญาณปีจากฟางหยวน

วิญญาณปี!

นี่คืออาหารของอสูรปี ยิ่งวิญญาณปีระดับสูงเท่าใด มันก็ยิ่งน่าหลงใหลสำหรับอสูรปีมากเท่านั้น

ท่าไม้ตายอมตะอัญเชิญอสูรปีของไห่ฟานได้รับแรงบันดาลใจมาจากทฤษฎีนี้ ไห่ฟานสร้างท่าไม้ตายนี้ขึ้นมาก่อนที่เขาจะหลอมรวมวิญญาณอมตะปีไหลผ่านราวกับสายน้ำ

“นี่เป็นของเจ้า” ฟางหยวนหัวเราะเบาๆและโยนวิญญาณปีระดับมนุษย์จำนวนมากออกไป

อสูรปีไก่เงยหน้าขึ้นและกลืนกินวิญญาณปีเข้าไปอย่างมีความสุข

“ฆ่ามันแล้วข้าจะให้เจ้ามากกว่านี้” ฟางหยวนชี้นิ้วไปที่สุนัขอินทรีย์บรรพกาล

ดวงตาของอสูรปีไก่ส่องประกายขึ้นก่อนที่มันจะหันหน้าไปหาเป้าหมายอย่างรวดเร็ว

สุนัขอินทรีย์บรรพกาลรู้สึกขนลุกชันไปทั้งร่าง มันรู้สึกถึงภัยคุกคามร้ายแรงจากอสูรปีไก่ตัวนี้

แม้สุนัขอินทรีย์บรรพกาลจะยืนสองขาเหมือนมนุษย์ แต่ความสูงของมันก็ยังไม่ถึงครึ่งของอสูรปีไก่

“ฟิ้ว…”

อสูรปีไก่กระพือปีกทะยานร่างเข้าโจมตีเป้าหมาย ความเร็วของมันกระทั่งเหนือกว่าสุนัขอินทรีย์บรรพกาล

“บึม!”

ทั้งสองปะทะกันอย่างดุเดือด อสูรปีไก่ก้าวถอยหลังกลับไปเจ็ดถึงแปดเก้าขณะที่สุนัขอินทรีย์บรรพกาลถูกส่งลอยกลับหลัง

อสูรปีไก่กรีดร้องเสียงแหลมขณะที่มันไล่ตามสุนัขอินทรีย์บรรพกาล

แต่สุนัขอินทรีย์บรรพกาลเจ้าเล่ห์มาก หลังจากตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ มันไม่กล้าเผชิญหน้าโดยตรงกับอสูรปีไก่อีก มันใช้วิธีเคลื่อนที่ไปทางซ้ายและขวาเพื่อหลบการโจมตีของศัตรู

ฟางหยวนมองเหตุการณ์ทั้งหมดและรู้สึกผ่อนคลายลง

อสูรปีไก่ตัวนี้ไม่มีวิญญาณอมตะป่าในการครอบครองแต่ลักษณะทางกายภาพของมันยังแข็งแกร่งกว่าสุนัขอินทรีย์บรรพกาลเป็นอย่างมาก

หลังจากทั้งหมดกระทั่งในสายธารแห่งกาลเวลา อสูรปีก็ยังเป็นสัตว์อสูรที่หาได้ยาก!

แน่นอนว่าหากสุนัขอินทรีย์บรรพกาลกระตุ้นใช้งานวิญญาณอมตะ อสูรปีไก่จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ หากถูกโจมตีด้วยท่าไม้ตายอมตะอย่างต่อเนื่อง อสูรปีไก่อาจพ่ายแพ้ได้เช่นกัน

‘ไห่ฟานเตือนไว้ว่าอสูรปีที่อัญเชิญมาไม่ใช่ทาสและผู้อัญเชิญไม่มีอำนาจควบคุมมันมากนัก หากศัตรูแข็งแกร่งเกินไป มันจะไม่ต่อสู้และอาจล่าถอยกลับไปยังสายธารแห่งกาลเวลาอย่างรวดเร็ว’

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฟางหยวนรู้ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มาก

อย่างไรก็ตามอสูรปีไม่ใช่อาวุธหลักของฟางหยวนเพราะเขาแทบไม่สามรถควบคุมมัน

ร่างจริงของฟางหยวนซ่อนตัวอยู่ในกองทัพภูตมนุษย์และลอบเคลื่อนที่เข้าไปหาสุนัขอินทรีย์เดียวดายอย่างลับๆ

ฝูงสุนัขอินทรีย์เดียวดายยังต่อสู้กับภูตมนุษย์อยู่กลางอากาศ

แม้กองทัพภูตมนุษย์จะได้เปรียบในแง่ของปริมาณ แต่พวกมันค่อนข้างอ่อนแอ เห็นได้ชัดว่าเมื่อพวกมันเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรเดียวดายหรือสัตว์อสูรบรรพกาล พวกมันทำได้เพียงก่อกวนและไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามใช้ท่าไม้ตายที่ทรงพลังเท่านั้น

กำปั้นยักษ์หมื่นตัวตน!

ฟางหยวนส่งกำปั้นยักษ์ออกมาอย่างกะทันหัน

สุนัขอินทรีย์เดียวดายที่ไม่ได้เตรียมตัวป้องกันถูกฟาดด้วยฝ่ามือขนาดใหญ่ มันกรีดร้องอย่างน่าสังเวชก่อนจะเป็นลมสลบไปในที่สุด

กำปั้นยักษ์หมื่นตัวตนอีกหนึ่งรออยู่แล้ว

ด้วยความร่วมมือระหว่างสองกำปั้น พวกมันจับกุมสุนัขอินทรีย์เดียวดายที่หมดสติเอาไว้และค่อยๆบินลงบนพื้น

ฟางหยวนหายตัวไปอีกครั้งก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอีกตำแหน่ง ด้วยการใช้กำปั้นยักษ์หมื่นตัวตน สุนัขอินทรีย์เดียวดายก็หมดสติไปอีกตัว

จากนั้นเขาก็ทำเช่นเดียวกับก่อนหน้าและวางสุนัขอินทรีย์เดียวดายลงบนพื้นข้างๆสุนัขอินทรีย์เดียวดายตัวก่อนหน้า

กลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนรู้สึกพูดไม่ออก

“ผู้อาวุโสฟางหยวนดูเหมือนจะ…”

“ถูกต้อง เขาตั้งใจจับสุนัขอินทรีย์เหล่านี้อย่างมีชีวิต!”

“เขาช่างกล้าหาญและแข็งแกร่งนัก!”

กลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนถอนหายใจ สุนัขอินทรีย์เหล่านี้เป็นศัตรูตัวฉกาจสำหรับพวกเขา แต่พวกมันกลับไม่ใช่สิ่งใดนอกจากความมั่งคั่งในสายตาของฟางหยวน

หลังจากชั่วครู่ร่างของสุนัขอินทรีย์เดียวดายจำนวนมากก็ถูกกองรวมกันไว้บนพื้นจนดูราวกับภูเขา

สุนัขอินทรีย์บรรพกาลเห็นฉากนี้และกรีดร้องออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่มันถูกตรึงไว้โดยอสูรปีไก่และไม่สามารถให้ความช่วยเหลือสหาย

อสูรปีไก่อยู่ในสภาพที่น่าอนาถเล็กน้อย ร่างกายของมันเต็มไปด้วยบาดแผลขณะที่มันเริ่มต้องการล่าถอย

ท้ายที่สุดไห่ฟานก็เป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งกาลเวลา เขาไม่ใช่ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งทาสที่แท้จริง เพียงคิดค้นท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งกาลเวลาที่สามารถเลียนแบบท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งทาสก็ถือว่าน่าทึ่งมากแล้ว

‘ดูเหมือนการอัญเชิญอสูรปีเหมาะสมที่จะใช้ในการต่อสู้ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างดี ในสถานการณ์เสียเปรียบ ผลลัพธ์ของมันจะไม่โดดเด่นนัก’ ฟางหยวนสลักข้อมูลนี้เอาไว้ในใจ เพียงเมื่อผู้อมตะใช้ท่าไม้ตายอมตะในการต่อสู้จริง พวกเขาจึงจะได้รับประสบการณ์ที่ลึกซึ้ง

ตั้งแต่ต้นจนจบฟางหยวนให้ความสนใจการต่อสู้ระหว่างอสูรปีไก่กับสุนัขอินทรีย์บรรพากลมาโดยตลอด

ก่อนที่อสูรปีไก่จะล่าถอย ฟางหยวนต้องจัดการสุนัขอินทรีย์เดียวดายที่เหลือทั้งหมด

มีสุนัขอินทรีย์เดียวดายหมดสติอยู่บนพื้นแปดตัว ส่วนที่เหลือตายขณะถูกโจมตี

“ตาย!”

ฟางหยวนบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและสั่งให้อสูรปีไก่ล่าถอยไปปกป้องฝูงสุนัขอินทรีย์เดียวดายที่หมดสติอยู่บนพื้น

เจตจำนงแห่งการต่อสู้ของอสูรปีไก่อยู่ในจุดต่ำมากอยู่แล้ว เมื่อมันได้รับคำสั่งของฟางหยวน มันค่อยๆล่าถอยออกไปอย่างเงียบๆ แต่มันยังเปิดจงอยปากและมองไปที่ฟางหยวน

ฟางหยวนเข้าใจความหมายของมันและโยนวิญญาณปีจำนวนมากออกไปทันที

เมื่ออสูรปีไก่ได้รับอาหาร มันจึงหันหลังกลับและเคลื่อนที่ลงสู่พื้นเพื่อปกป้องฝูงสุนัขอินทรีย์เดียวดายที่หมดสติ

ฟางหยวนต่อสู้กับสุนัขอินทรีย์บรรพกาลอีกครั้ง

แต่ครั้งนี้แตกต่างจากก่อนหน้า

สุนัขอินทรีย์บรรพกาลกำลังกระวนกระวานและต้องการช่วยเหลือสหาย

‘น่าเสียดายที่ผู้อมตะที่ยิ่งใหญ่กลับจบลงในสภาพนี้!’ ฟางหยวนรู้สึกผ่อนคลายกว่าก่อนหน้า

สุนัขอินทรีย์บรรพกาลบินอย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลาสำคัญมันยังสามารถกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะ

ฟางหยวนเปลี่ยนกลยุทธ์

ก่อนหน้านี้เขาพุ่งเข้าหาศัตรูและใช้กำปั้นยักษ์ในการโจมตี วิธีนี้เสี่ยงเกินไป อาภรณ์โลหิตไม่มีสิ่งใดโดดเด่นต่อหน้าสุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้

ฟางหยวนเริ่มใช้ท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งดาบโจมตีสุนัขอินทรีย์บรรพกาลจากระยะไกล

แต่วิธีการป้องกันของสุนัขอินทรีย์บรรพกาลโดดเด่นมาก ฟางหยวนไม่รู้ว่ามันคือวิญญาณอมตะดวงใด เขาคาดเดาว่าผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงผู้นี้ตั้งใจเสริมความแข็งแกร่งในด้านนี้เพื่อปิดจุดอ่อนของตน

การต่อสู้ดำเนินมาอย่างยาวนานแต่ยังไม่ปรากฏผลลัพธ์

อาการบาดเจ็บของสุนัขอินทรีย์บรรพกาลค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ

‘นี่ค่อนข้างลำบาก ความเร็วของกำปั้นยักษ์ต่ำมาก มันไม่เหมือนท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งดาบ แต่ท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งดาบใช้ไม่ได้กับมัน สำหรับท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งพิษ สุนัขอินทรีย์บรรพกาลก็มีความสามารถในการต่อต้านพิษที่ดีมาก’

ฟางหยวนรู้สึกถึงความยากลำบาก

สุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้มีสัญชาตญาณของสัตว์ป่าและยังมีสัญชาตญาณการต่อสู้ที่เหลืออยู่ของผู้อมตะ นี่เป็นศัตรูที่รับมือได้ยาก

เผชิญหน้ากับมัน ฟางหยวนรู้สึกว่าตนเองไม่มีสิ่งใดโดดเด่น

สุนัขอินทรีย์บรรพกาลมีความเร็วสูงมาก มันสามารถแข่งขันกับวิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติโดยยังไม่ต้องกล่าวถึงวิญญาณอมตะดวงอื่นๆในการครอบครองของมัน

กล่าวได้ว่าตอนนี้ฟางหยวนอยู่ในการแข่งขันความอดทน

เมื่อสุนัขอินทรีย์บรรพกาลตัวนี้ใช้พลังงานอมตะจนหมดและไม่สามารถกระตุ้นใช้งานวิญญาณอมตะได้อีก นั่นจะเป็นชัยชนะของฟางหยวน

อีกกรณีหนึ่งเมื่ออาการบาดเจ็บของมันเพิ่มขึ้นถึงระดับหนึ่งและทำให้มันเปิดช่องว่าง ฟางหยวนจะฉวยโอกาสจัดการมัน

ฟางหยวนรู้สึกหมดสิ้นหนทางแต่ผู้ชมไม่มีความรู้สึกนี้

ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนจ้องมองด้วยสายตาที่ว่างเปล่า

ในของโลกผู้อมตะ สิ่งสำคัญที่สุดคือความแข็งแกร่ง

ความแข็งแกร่งของฟางหยวนทำให้ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนทั้งหมดตกใจ

กระทั่งผมที่หกก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

‘เจ้าหมอนี่เขาเพิ่มพลังการต่อสู้ถึงระดับนี้ได้อย่างไร? เขาสามารถเรียกอสูรปีออกมาได้อย่างไร? เขามีวิธีนี้ได้อย่างไร? เขาออกไปเพียงช่วงเวลาสั้นๆ!’

ผมที่หกรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในหัวใจ

ความเร็วในการเติบโตของฟางหยวนทำให้เขารู้สึกราวกับหายใจไม่ออก

หลังจากต่อสู้อย่างยาวนาน สุนัขอินทรีย์บรรพกาลก็เริ่มล่าถอย

‘หือ…เจ้าต้องการหลบหนีงั้นหรือ!?’ ฟางหยวนคิดก่อนจะไล่ล่าอย่างรวดเร็ว

อาการบาดเจ็บของสุนัขอินทรีย์สะสมมาถึงจุดที่ทำให้ความกล้าหาญของมันสูญสิ้น ความเร็วและพลังการต่อสู้ของมันลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ไม่ว่าผู้อมตะจะมีความสามารถเพียงใด แต่สัญชาตญาณของสัตว์ป่ายังทำให้มันเลือกที่จะล่าถอย

สำหรับสหายที่หมดสติ มันเลือกที่จะละทิ้ง

ฟางหยวนคาดเดาสถานการณ์นี้ไว้แล้วแต่มันยังเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เขาคาดคิด

ฟางหยวนกระตุ้นใช้วิญญาณอมตะดาบทะลวงมิติเพื่อไล่ล่าแต่ระยะห่างระหว่างพวกเขายังลดลงช้ามาก

สุนัขอินทรีย์บรรพกาลที่กำลังหลบหนีเอาชีวิตรอดสามารถระเบิดความเร็วได้อย่างน่าอัศจรรย์

ท่าไม้ตายอมตะ กงล้อสายลมแห่งโชค!

ฟางหยวนไม่มีทางเลือกนอกจากกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายนี้

สำเร็จ!

สุนัขอินทรีย์บรรพกาลถูกพลังงานลึกลับดึงกลับมายังตำแหน่งก่อนหน้า ฟางหยวนตามทันและต่อสู้อีกครั้งอย่างดุเดือด

หลังจากต่อสู้สามรอบ สุนัขอินทรีย์บรรพกาลพยายามหลบหนีอีกครั้ง

ฟางหยวนทำได้เพียงไล่ล่า

ท่าไม้ตายอมตะ กงล้อสายลมแห่งโชค!

ประสบความสำเร็จ!

ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอีกครั้งโดยมีกลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนเฝ้ามองจากระยะไกล

ในไม่ช้าสุนัขอินทรีย์บรรพกาลก็พ่ายแพ้ มันกระพือปีกอย่างบ้าคลั่งขณะที่มันพยายามล่าถอยเป็นครั้งที่สาม

ฟางหยวนไม่สามารถหักปีกอินทรีย์

ดังนั้น…

ท่าไม้ตายอมตะ กงล้อสายลมแห่งโชค!

น่าเสียดายที่ครั้งนี้ล้มเหลวทำให้เขากระอักเลือดออกมา

ฟางหยวนเสียเวลาไปเล็กน้อยแต่มันก็เพียงพอให้สุนัขอินทรีย์บินห่างออกไป

เขาไม่มีทางเลือกนอกจากหยุด

เจตจำนงสวรรค์เพ่งเล็งมาที่เขาขณะที่ไท่ชิวเต็มไปด้วยอันตรายและอาจมีคลื่นสัตว์อสูรเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท