เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1168 หลอมรวมหม่าหงหยุน
แปลโดย iPAT
“ในที่สุดเจ้าก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่ง จากสามทวีปความแข็งแกร่งของเจ้าอยู่ในสิบอันดับแรก” เจตจำนงปลอมของฟางหยวนชมเชยฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งตอบ “ด้วยความพยายามของข้า มันต้องเป็นเช่นนี้โดยธรรมชาติ”
หลายปีที่ผ่านมาเขาสังหารผู้คนอย่างไร้ปรานี ภายใต้แรงกดดันแห่งชีวิตและความตายเขาค่อยๆเข้าใจความรู้สึกของฟางหยวนที่ต้องเข่นฆ่าผู้คนในตระกูล
เขาไม่มีทางเลือก
ถ้าเจ้าไม่ตาย ข้าก็ต้องตาย!
ฟางเจิ้งยังไม่สามารถให้อภัยฟางหยวน แต่เขาเข้าใจเหตุผลที่ฟางหยวนต้องทำสิ่งเหล่านั้นแล้ว นี่ทำให้ความเกลียดชังของเขาค่อยๆจางหายไปโดยเฉพาะหลังจากเจตจำนงปลอมของฟางหยวนช่วยให้เขารอดพ้นอันตรายมานับครั้งไม่ถ้วน
“วิ่ง!”
“พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฟางเจิ้ง!”
กองทัพผู้ใช้วิญญาณเผ่ามนุษย์ขนผมขาวและผมเหลืองวิ่งกระจัดกระจายกันออกไป
ฟางเจิ้งไม่ได้พูดคุยกับผู้ใช้วิญญาณเผ่ามนุษย์ขนผมดำ หลังจากเก็บกวาดสนามรบ เขาก็จากไปทันที
ผู้ใช้วิญญาณเผ่ามนุษย์ขนผมดำมองเขาด้วยการแสดงออกที่ซับซ้อน
“ดังนั้นเขาก็คือผู้ใช้วิญญาณมนุษย์ในข่าวลือ”
“ยอดเยี่ยม! เขาชนะศัตรูในพริบตา!”
“น่าเสียดายที่เขาทำให้คนระดับสูงไม่พอใจ เขาไม่ใช่มนุษย์ขน แม้ผลงานของเขาจะมากมายเพียงใด เขาก็ไม่สามารถเติบโตไปมากกว่านี้…”
“แม้ข้าจะขอบคุณเขาแต่ในอนาคตข้าจะก้าวข้ามเขาไป”
แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา ทวีปเมฆา
หลังจากเจตจำนงปลอมกลับมาหาฟางหยวน เขาตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ‘โอ้ ดูเหมือนฟางเจิ้งใกล้จะพร้อมแล้ว แต่เคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณอมตะเทพโลหิตยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ข้าควรทุ่มเทความพยายามกับเรื่องนี้หรือไม่?’
ตามแผนการแรกเริ่มของฟางหยวน เขาจะใช้แสงแห่งปัญญาพัฒนาเคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณอมตะเทพโลหิต นี่เป็นวิธีที่รวดเร็วที่สุด
แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถใช้แสงแห่งปัญญา หากต้องอนุมานด้วยตนเอง เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
หลังจากไตร่ตรอง ฟางหยวปัดตัวเลือกนี้ทิ้งไป
ประการแรก เขามีมรดกบนเส้นทางแห่งกาลเวลาของไห่ฟาน เขามีวิธีการมากมาย วิญญาณอมตะเทพโลหิตเป็นเพียงกำไรเพิ่มเติมเท่านั้น
ประการต่อมา การใช้ทักษะบนเส้นทางแห่งเลือดไม่เป็นผลดีในปัจจุบัน หากเขาใช้มัน เขาจะถูกไล่ล่าโดยผู้อมตะจากทุกสารทิศ ในมุมมองของฟางหยวน สงครามห้าภูมิภาคเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะใช้ทักษะบนเส้นทางแห่งเลือด
ตั้งแต่เขาเข้ายึดครองเนินมังกรผงาด หลายวันที่ผ่านมา ฟางหยวนรอการติดต่อกลับจากชูตู๋
ผลประโยชน์ของเขาเริ่มลดน้อยลงเพราะทรัพยากรจำนวนมากที่ได้รับมาจากถ้ำสวรรค์ไห่ฟานถูกขายออกไปแล้ว
ทรัพยากรจากถ้ำสวรรค์ไห่ฟานที่ยังอยู่ในมิติช่องว่างจักรพรรดิที่ไม่สามารถเติบโต เขาจำเป็นต้องขายออกไป นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด
แต่วิธีนี้ไม่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง ทรัพยากรเหล่านั้นย่อมหมดไปในที่สุด
แม้ฟางหยวนจะได้รับหินวิญญาณอมตะจำนวนมากแต่เขาก็ใช้ไปมากมายเช่นกัน
ภัยพิบัติพิภพทุกสองเดือน มันเกิดขึ้นบ่อยเกินไป การเดินทางไปยังทะเลตะวันออกและเข้ายึดครองเนินมังกรผวาดก็ทำให้องุ่นเขียวอมตะของเขาลดลงอย่างมหาศาล
นอกจากนั้นการพัฒนามิติช่องว่างจักรพรรดิก็ต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก หินวิญญาณอมตะของเขาราวกับละลายไปกับสายน้ำ ตอนนี้เขาเหลือเงินเก็บไม่มากนัก
‘ในปัจจุบันสิ่งเดียวที่จะทำให้ข้าเติบโตอย่างรวดเร็วอีกครั้งคือการใช้แสงแห่งปัญญาหลังจากกำจัดกับดักในร่างเดิมของข้า’
‘สิ่งสำคัญอีกประการก็คือข้าต้องหาวิธีทำลายข้อตกลงพันธมิตร นี่จะทำให้ข้าเป็นอิสระและสามารถใช้ประโยชน์จากพวกเขาได้อย่างเต็มที่’
ฟางหยวนตระหนักถึงตัวเลือกของเขา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะประสบความสำเร็จในการทำสิ่งเหล่านี้อย่างง่ายดาย
หากเขาไม่พบโชคลาภโดยบังเอิญญ ในการก้าวข้ามอุปสรรคเหล่นี้จะเป็นเรื่องยากมาก
แต่ความบังเอิญจะเกิดขึ้นทุกเวลาที่เขาต้องการได้อย่างไร? แม้มันจะเกิดขึ้น ฟางหยวนก็ยังต้องระวังว่ามันเป็นแผนการของเจตจำนงสวรรค์หรือไม่
ฟางหยวนใช้เวลาสองชั่วโมงในการบ่มเพาะจิตวิญญาณ
เวลาที่เหลือเขาจะใช้วิญญาณอมตะคิ้วดาบเพื่อเพิ่มร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งดาบให้กับตนเอง บางครั้งเขาจะออกไปด้านนอกและใช้วิญญาณอมตะเนตรดาราเพื่อปรับแต่งดวงดาวบนท้องฟ้าให้เป็นดวงตาของเขา
นอกเหนือจากนี้เขายังใช้ความพยายามอย่างมากในการฝึกท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งกาลเวลาเพื่อเพิ่มความชำนาญในการใช้งาน
เขาไม่ลืมที่จะพัฒนาและดูแลมิติช่องว่างจักรพรรดิ
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้การพัฒนาในขั้นตอนแรกยังไม่เสร็จสมบูรณ์
เหตุผลก็คือเขามีวิญญาณอมตะมากเกินไป เพื่อให้พวกมันมีชีวิตอยู่ได้และไม่ต้องพึ่งพาโลกภายนอก เขาต้องผลิตอาหารของพวกมันขึ้นมาด้วยตนเอง
น่าเสียดายที่ฟางหยวนมีวิญญาณอมตะระดับแปดจำนวนมาก เขาเพิ่งเริ่มรวบรวมอาหารของวิญญาณทัศนคติและวิญญาณดาบแห่งปัญญา สำหรับวิญญาณอมตะระดับแปดดวงอื่น เขายังไม่ได้เริ่มต้น
แต่เขาไม่มีทางเลือกเพราะนี่คือขีดจำกัดของเขา
ทุกวันเขาจะใช้เวลาทุกวินาทีให้เกิดประโยชน์สูงสุด เขาเคร่งครัดและมีเป้าหมายที่ชัดเจนมาก อย่างไรก็ตามเวลาและพลังงานของเขามีจำกัด ฟางหยวนต้องคิดอย่างรอบคอบและทำสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนเท่านั้น
การทำงานหนักเช่นนี้ทำให้ฟางหยวนก้าวหน้าขึ้นในทุกๆวัน
ไร้มนุษยธรรม โหดเหี้ยมต่อผู้อื่น แต่เข้มงวดและโหดร้ายต่อตนเองมากกว่า นี่คือธรรมชาติของฟางหยวน
ครึ่งเดือนผ่านไปเช่นนี้กระทั่งฟางหยวนได้รับจดหมายจากชูตู๋ในที่สุด
ในจดหมาย ชูตู๋ขอกำลังเสริมจากฟางหยวน เมื่อพวกเขาประสบความสำเร็จ ชูตู๋จะจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลให้กับฟางหยวน
ชูตู๋ใช้ถ้อยคำที่สุภาพและอ้อนน้อมมากราวกับลืมไปแล้วว่าฟางหยวนเป็นพันธมิตรของเขา
‘ชูตู๋สามารถควบคุมสถานการณ์ได้เป็นเวลานาน มันค่อนข้างพิเศษ ดี ข้าจะไปช่วยเขา’ ฟางหยวนเตรียมตัวมานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงออกเดินทางทันที
หนึ่งวันหนึ่งคืนต่อมา เขาไปถึงสถานที่นัดพบ
เมื่อเขาไปถึงมีผู้อมตะจำนวนมากรออยู่แล้ว
“ผู้อาวุโส ท่านมาถึงแล้ว” ผู้ที่ออกมาต้อนรับฟางหยวนคือผู้อมตะนิกายชูที่เคยร่วมมือกับฟางหยวนทำลายเนินมังกรผวาด
“ให้ข้าแนะนำท่าน พวกเขาคือกำลังเสริมที่ท่านอาจารย์เชิญมา นี่คือผู้อาวุโสห่าวเจิ้น”
ห่าวเจิ้งเป็นชายวัยกลางคนที่มีหนวดเคราและมัดกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ เขาพยักหน้าให้กับฟางหยวน
“นี่คือผู้อาวุโสเชาเหลาอู๋” ผู้อมตะนิกายชูดำเนินการต่อ
เชาเหลาอู๋มีใบหน้าที่ดูหดหู่ ร่างกายผอมแห้ง หลังค่อม ฟันสีเหลือง กล่าวได้ว่ารูปร่างหน้าตาของเขาดูน่าเกลียดมาก
“นี่คือผู้อาวุโสหลี่ซื่อจุน” ผู้อมตะนิกายชูแนะนำ
ผู้อมตะผู้นี้ค่อนข้างมีเอกลักษณ์
เขามีใบหน้าสี่เหลี่ยม คิ้วหนา ตาโต จมูกโด่ง มีหนวดเครา แผงหน้าอกของเขาเต็มไปด้วยเส้นขนสีดำ แต่เขากลับสวมกระโปรงลายดอกไม้
เมื่อเห็นฟางหยวน ดวงตาของเขาส่องประกายขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ายวน “โอ้ สวรรค์ น้องชายผู้นี้ช่างหล่อเหลานัก”
ร่างกายของผู้อมตะนิกายชูสั่นสะท้านขึ้น เขาเร่งเดินผ่านคนผู้นี้ไปอย่างรวดเร็ว
“นี่คือผู้อาวุโสหวังอู๋หมิง”
หวังอู๋หมิงค่อนข้างเตี้ย จมูกสีแดง และมีดวงตารูปสามเหลี่ยม เขามองฟางหยวนและกล่าว “เราแนะนำตัวเองแล้ว เจ้าเป็นคนสุดท้ายที่มาที่นี่ เหตุใดไม่แนะนำตัวกับพวกเรา?”
ฟางหยวนเผยรอยยิ้มเรียบง่าย “ข้าเป็นเพียงผู้บ่มเพาะสันโดษที่ไม่สำคัญ พวกเจ้าสามารถเรียกข้าว่า หลิวกวนซื่อ”
‘หลิวกวนซื่อ’ ผู้อมตะนิกายชูจดจำชื่อนี้เอาไว้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเคยได้ยินชื่อของฟางหยวน เนื่องจากการขับไล่ผู้อมตะเผ่าไป่ซูและยึดครองเนินมังกรผงาดเป็นไปได้อย่างราบรื่นและรวดเร็ว นั่นทำให้เขารู้สึกสนใจและกระทั่งชื่นชมฟางหยวน
ในความเป็นจริงเขาไม่ใช่คนเดียวแต่ผู้อมตะนิกายชูต่างอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับฟางหยวน
หลังจากทั้งหมดพวกเขาต่างบ่มเพาะบนเส้นทางความแข็งแกร่งขณะที่ความแข็งแกร่งของฟางหยวนน่าอัศจรรย์มาก ในโลกที่เส้นทางความแข็งแกร่งกำลังตกต่ำ ฟางหยวนเหมือนแสงสว่างแห่งความหวังที่ส่องประกายท่ามกลางความมืด
“หลิวกวนซื่อ” ห่าวเจิ้นพึมพำและพยายามจดจำชื่อนี้
คนอื่นๆก็เช่นกัน
การได้รับเชิญจากชูตู๋และมีความกล้าที่จะต่อต้านจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูถือว่าไม่ธรรมดา
ห่าวเจิ้นและคนอื่นๆเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด
แน่นอนว่าฟางหยวนใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยปลอมแปลงกลิ่นอายระดับเจ็ดเช่นกัน
“ที่รัก ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากวาดล้างเนินมังกรผงาด เจ้าช่างยอดเยี่ยมนัก!” หลี่ซื่อจุนหัวเราะและเดินเข้าหาฟางหยวน
ผู้อมตะทุคนรู้สึกขนลุกไปทั้งร่าง
ฟางหยวนยังสงบนิ่ง เขามองหลี่ซื่นจุนด้วยการแสดงออกที่เย็นชา “อยู่ให้ห่างจากข้า”
หัวใจของผู้อมตะคนอื่นสั่นสะท้านขึ้น
ฟางหยวนปลดปล่อยเจตนาสังหารที่น่าสะพรึงกลัวออกมา สิ่งนี้ทำให้ผู้อมตะทุกคนที่ถูกเชิญมาตระหนักว่าคนผู้นี้เป็นคนชั่วที่สังหารผู้คนมานับไม่ถ้วนและโหดเหี้ยมมาก
ผู้อมตะนิกายชูที่อยู่รอบๆมีประสบการณ์เพียงเล็กน้อย พวกเขาไม่สามารถสัมผัสถึงธรรมชาติที่ดุร้ายของฟางหยวน ผู้อมตะนิกายชูที่ต้อนรับฟางหยวนกล่าว “ผู้อมตะนิกายชูของเรามีพลังการต่อสู้ต่ำสุด พวกเราจะไม่เข้าร่วมและต้องพึ่งพาผู้อาวุโสทุกท่านเท่านั้น เมื่อเราประสบความสำเร็จ ท่านอาจารย์จะตอบแทนทุกท่านอย่างเหมาะสม”
“บอกแผนการมา” หวังอู๋หมิงถาม
ผู้อมตะนิกายชูกล่าวถึงสิ่งที่น่าตกใจ “ท่านอาจารย์วางแผนขั้นสุดท้ายไว้แล้ว ท่านหวังว่าผู้อาวุโสทุกท่านจะร่วมมือกันบุกโจมตีแดนศักดิ์สิทธิ์อินทรีย์เหล็ก!”
ในเวลาเดียวกัน แดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะ ยอดเขาที่หนึ่ง
ค่ายกลวิญญาณบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมส่องแสงสีทองออกมา
ภายในแสงสีทอง ท่านหญิงหว่านซูและปีศาจอมตะเซี่ยหูยืนอยู่ด้านหน้าหม่าหงหยุน
ท่านหญิงหว่านซูดูเหน็ดเหนื่อยมาก นางนำบอลสายฟ้าออกมาอย่างระมัดระวัง
บอลสายฟ้ามีขนาดเท่ากำปั้นมนุษย์และมีประกายสายฟ้าแลบลั่นตลอดเวลา
“อันใด!? พวเจ้าพยายามทำสิ่งใด? ไม่ ไม่ อา…” หม่าหงหยุนกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งแต่ร่างกายของเขาถูกตรึงไว้และไม่สามารถขยับเขยื้อน
“นี่เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญที่สุด” ท่านหญิงหว่านซูกล่าวพร้อมกับโยนบอลสายฟ้าไปที่หม่าหงหยุน
บอลสายฟ้าผสานเข้ากับหน้าอกของหม่าหงหยุนและหายไปทันที
“อ๊าก…” หม่าหงหยุนกรีดร้องและพยายามดิ้นรนด้วยพลังทั้งหมด