เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – ตอนที่ 1172

ตอนที่ 1172

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1172 ไม่สามารถแก้ไข

แปลโดย iPAT

ค่ายกลวิญาณรูปแบบการต่อสู้โบราณยักษ์เขียวถูกทำลาย ผู้อมตะเผ่าไป่ซูได้รับผลกระทบย้อนกลับที่รุนแรง

“ท่านเหว่ย!” บางคนกรีดร้อง

ไป่ซูเหว่ยเป็นบุคคลสำคัญในการควบคุมยักษ์เขียว ดังนั้นเขาจึงได้รับผลกระทบมากที่สุดและเสียชีวิตในจุดเกิดเหตุ

ไป่ซูเหว่ยเป็นตัวตนอันดับหนึ่งรองจากจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซู เขาเป็นผู้อมตะคนสำคัญของเผ่า

แต่ผู้ใดจะคิดว่าเมื่อเผ่าไป่ซูกำลังจะก้าวเข้าสู่ความรุ่งโรจน์ เขากลับมาเสียชีวิตในฐานทัพของตนเอง

สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เพียงทำให้ผู้อมตะเผ่าไป่ซูตกใจและโศกเศร้า แต่ฟางหยวนกับคนอื่นๆก็แสดงออกด้วยความเคร่งเครียดเช่นกัน

สมาชิกเผ่าไป่ซูเสียชีวิต!

นี่เป็นปัญหาใหญ่มาก

หัวใจของฟางหยวนจมดิ่งลง

ใบหน้าของหลี่ซื่อจุนกลายเป็นซีดเผือด เขาถามด้วยความกระวนกระวาย “ทำอย่างไร? พวกเราควรทำอย่างไร?”

ห่าวเจิ้นและเชาเหลาอู๋รู้สึกแย่มาก

“มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? ยักษ์เขียวมีพลังการต่อสู้ระดับแปด เสียงคำรามของวายุสายฟ้าไม่ใช่ภัยคุกคามของมัน” เชาเหล่าอู๋รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

‘พวกเขาไม่คุ้นเคยกับค่ายกลวิญญาณนี้มากพอ…’ ฟางหยวนคิด

ค่ายกลวิญญาณรูปแบบการต่อสู้โบราณยักษ์เขียวทรงพลังแต่มันไม่ง่ายที่จะควบคุม

ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่ของเผ่าไห่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ดีเพราะพวกเขาฝึกฝนมาอย่างยาวนาน

แต่ผู้อมตะเผ่าไป่ซูฝึกใช้ยักษ์เขียวเพียงช่วงเวลาสั้นๆ

และนี่เป็นการต่อสู้จริงครั้งแรกของพวกเขา เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะทำบางสิ่งผิดพลาด

“นี่เป็นเรื่องใหญ่ พวกเราต้องคุยกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป” ห่าวเจิ้นเรียกร้อง

“หือ พวกเจ้าทั้งสองเป็นคนฆ่าเขา นี่เกี่ยวสิ่งใดกับข้า?” ฟางหยวนหัวเราะและบินจากไป

“เจ้า!” ห่าวเจิ้นโกรธมาก

เชาเหลาอู๋เร่งกล่าว “หลิวกวนซื่อ พวกเราอยู่บนเรือลำเดียวกัน เจ้าคิดว่าจักรพรรดิสวรรค์จะปล่อยเจ้าไปงั้นหรือ?”

แต่ฟางหยวนไม่สนใจ เขาบินเข้าไปในกลุ่มเมฆและหายไปจากวิสัยทัศน์ของทุกคน

ผู้อมตะคนอื่นๆบินต่อแต่ไม่มีผู้ใดเปิดปากกล่าว

ห่าวเจิ้นและเชาเหลาอู๋รู้สึกตื่นตระหนกและกระวนกระวายใจมาก

เชาเหลาอู๋พยายามสงบจิตใจ “หลิวกวนซื่อผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์นัก…”

ก่อนที่เขาจะกล่าวจบประโยค หวังอู๋หมิงขัดจังหวะ “อา…ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าต้องรีบรักษาตัว ลาก่อน”

เขาเปลี่ยนทิศทางและจากไปอย่างรวดเร็ว

หลี่ซื่อจุนเห็นสิ่งนี้และเผยรอยยิ้ม “ข้ามีทักษะในการรักษา หวังอู๋หมิง รอข้าด้วย ข้าจะช่วยท่าน”

หลังกล่าวจบคำ เขาเร่งติดตามหวังอู๋หมิงไปทันที

เชาเหลาอู๋มองห่าวเจิ้นและรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย

ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้อยู่คนเดียว

นอกจากนั้นห่าวเจิ้นก็ร่วมโจมตีพร้อมกันกับเขา

เชาเหลาอู๋และห่าวเจิ้นเป็นสหายที่ดี อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์นี้ไม่ได้ช่วยสิ่งใด

ทั้งสองมองหน้ากันก่อนที่ห่าวเจิ้นจะเปิดปากกล่าว “เรื่องเกิดขึ้นแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่พวกเราสามารถทำได้ ตอนนี้พวกเราต้องพึ่งชูตู๋เท่านั้น”

ดวงตาของเชาเหลาอู๋ส่องประกายขึ้น “ถูกต้อง ชูตู๋ขอความช่วยเหลือจากพวกเรา เขาย่อมไม่ละทิ้งพวกเรา ไปหาเขากันเถอะ!”

ด้านฟางหยวน เขากลับแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาทันที

‘สถานการณ์ค่อนข้างซับซ้อน’ เขาขมวดคิ้วและวิเคราะห์สถานการณ์

เดิมทีการบุกแดนศักดิ์สิทธิ์อินทรีย์เหล็กดำเนินไปได้อย่างราบรื่น มันถือว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จ

ฟางหยวนและคนอื่นๆทำลายและปล้นสะดมทรัพยากรจำนวนมาก นี่จะทำให้จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูต้องล่าถอยกลับมาปกป้องฐานทัพของเขา

จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูทุ่มเทความพยายามเพื่อสร้างรอยแตกร้าวระหว่างสมาชิกตระกูลฮวงจินและจ่ายด้วยราคามหาศาลเพื่อสร้างเผ่าของตน

หากจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูยังดื้นรั้นที่จะโจมตีถ้ำสวรรค์ไห่ฟาน สถานการณ์ของเผ่าไป่ซูอาจเลวร้ายลง

ชื่อเสียงของเผ่าไป่ซูจะถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์ กองกำลังอื่นจะรวมตัวกันบุกโจมตีเผ่าไป่ซูราวกับหมาป่าที่หิวโหยเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับเผ่าไห่มาแล้ว

เมื่อสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น กระทั่งจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูก็ต้องพบกับความยากลำบาก

เพราะเขาไม่ใช่ผู้อมตะระดับแปดเพียงผู้เดียวของภาคเหนือ

เพื่อปกป้องผลประโยชน์ จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูต้องรีบยึดครองถ้ำสวรรค์ไห่ฟานหรือยอมแพ้อย่างชาญฉลาดและกลับมาสร้างเสถียรภาพให้กับกองกำลังของเขา

แต่จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูไม่สามารถยึดครองถ้ำสวรรค์ไห่ฟานได้ในเวลาอันรวดเร็ว หากเขาทำได้ ตอนนี้เขาคงประสบความสำเร็จไปแล้ว

ชูตู๋สังเกตเห็นสิ่งนี้ ดังนั้นเขาจึงวางแผนโจมตีจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้าม

แต่น่าเสียดายที่สิ่งต่างๆมักไม่เป็นไปตามความคาดหมายของมนุษย์

ในช่วงเวลาสำคัญอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับผู้อมตะระดับเจ็ดของเผ่าไป่ซูและทำให้เขาเสียชีวิต

ฟางหยวนรู้ว่าห่าวเจิ้นและเชาเหลาอู๋ช่วยชีวิตหวังอู๋หมิงเพราะต้องการสิ่งตอบแทน เมื่อพวกเขาสามารถช่วยหวังอู๋หมิงจากยักษ์เขียว หวังอู๋หมิงจะไม่ตอบแทนพวกเขาได้อย่างไร?

‘พวกเขาเป็นสองคนสุดท้ายที่เข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์อินทรีย์เหล็ก พวกเขาไม่สามารถต่อต้านความหิวโหยของตน นี่คือเหตุผลที่พวกเขาต้องการโชคลาภจากหวังอู๋หมิง แต่น่าเสียดายที่พวกเขาประเมินไป่ซูเหว่ยสูงเกินไปและทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เลวร้ายนี้’ ฟางหยวนส่ายศีรษะและถอนหายใจ

จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูต้องแก้แค้นเรื่องนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

หากเขาไม่ทำ ชื่อเสียงของเขาจะถูกทำลาย ผู้อมตะระดับแปดไม่สามารถปกป้องคนของตน ในกรณีนี้มันหมายความว่าตัวเขาเองก็สามารถตายได้เช่นกัน

นี่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถอภัยยิ่งกว่าการที่แดนศักดิ์สิทธิ์อินทรีย์เหล็กถูกทำลายอย่างสมบูรณ์

โดยไม่ต้องกล่าวถึงการสร้างความรุ่งโรจน์ให้แก่เผ่าไป่ซู กระทั่งจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูก็จะสูญเสียชื่อเสียงทั้งหมดของเขา

‘นั่นหมายความว่าตอนนี้ความขัดแย้งระหว่างชูตู่กับจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูไม่สามารถแก้ไขได้อีกต่อไปขณะที่ข้าเป็นหนึ่งในพันธมิตรของชูตู๋และร่วมบุกแดนศักดิ์สิทธิ์อินทรีย์เหล็ก’

ฟางหยวนถูกลากเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์นี้แม้สถานการณ์ของเขาจะดีกว่าเชาเหลาอู๋และห่าวเจิ้นก็ตาม

‘ข้าควรทำอย่างไร?’ ฟางหยวนเดินไปรอบๆห้องลับและคิดอย่างหนัก

ข้อตกลงพันธมิตรทำให้ฟางหยวนต้องการมรดกบนเส้นทางแห่งข้อมูลมากขึ้น

‘ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดข้าต้องรับชูตู๋เข้าสู่นิกายหลางหยา นิกายหลางหยาเป็นสมาชิกกองกำลังพันธมิตรสี่เผ่าพันธุ์ เมื่อถึงเวลานั้นเราสามารถใช้มังกรหินแรกกำเนิดต่อต้านจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซู’

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ฟางหยวนประเมินความเป็นไปได้ที่ชูตู๋จะเข้าร่วมกับนิกายหลางหยา

แต่จักรพรรดิอมตะชูตู๋มีความภาคภูมิใจในฐานะผู้อมตะเผ่ามนุษย์ แล้วเขาจะก้มศีรษะให้กับกองกำลังเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ได้อย่างไร?

‘หรือบางทีชูตู๋อาจมีไพ่ตายเหลืออยู่?’ ฟางหยวนคิดถึงความเป็นไปได้อื่น

แน่นอนว่าฟางหยวนยังมีอีกวิธีหนึ่ง นั่นคือการออกจากภาคเหนือ

เขามีร่างทารกอมตะ เขาสามารถอยู่ได้ทุกภูมิภาค เขาแตกต่างจากผู้อมตะคนอื่นๆ ตัวอย่างเช่นผู้อมตะภาคเหนือที่ออกจากภาคเหนือ หากมิติช่องว่างของพวกเขาดูดซับปราณสวรรค์พิภพของภูมิภาคอื่น มันจะไม่เสถียรและอาจระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย สำหรับการเผชิญหน้ากับภัยพิบัติที่ต่างแดน มันคือการรนหาที่ตายเท่านั้น

‘หากข้าไม่สามารถต่อสู้ ข้าก็จะหลบหนี’ ฟางหยวนคิด ชื่อเสียงและความภาคภูมิใจไม่ใช่อุปสรรคของเขา

แน่นอนว่าหากฟางหยวนมีทางเลือก เขาจะไม่ออกจากภาคเหนือ

ที่นี่เขาสามารถหยิบยืนพลังอำนาจของนิกายหลางหยาและมีชีวิตที่ดี หากเขาจากไป เขาจะไม่สามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะมิติภัยพิบัติ ไม่สามารถใช้หุบเขาเหล่าโป และยังมีปัญหาอีกมากมายรออยู่

…..

ภาคใต้

เช้ามืด

หมอกบนภูเขาหลอมรวมกับกลิ่นอายของพรรษาพันธุ์ทำให้บรรยากาศเย็นสบาย

สองร่างบินลงมาจากชั้นเมฆ

หนึ่งเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด อีกหนึ่งเป็นผู้อมตะระดับหก พวกเขาสวมเสื้อแขนสั้นสีเขียวเข้มและกางเกงขายาวสีดำ

“พี่ใหญ่ พวกเขาบอกว่าผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สามเสียสติไปแล้วงั้นหรือ?” ผู้อมตะระดับหกถาม

ผู้อมตะระดับเจ็ดถอนหายใจตอบ “ตั้งแต่พวกเราฝ่ายธรรมะเริ่มสำรวจอาณาจักรแห่งความฝัน ผู้อมตะสองคนหมดสติและอีกหนึ่งจิตวิญญาณถูกทำลาย ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สามเสียสติ…ข้าเกรงว่ามันจะเป็นเรื่องจริง”

“อา…” ผู้อมตะระดับหกอ้าปากค้าง “ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สามมีการบ่มเพาะระดับเจ็ด เขาผ่านภัยพิบัติใหญ่มาแล้วสองคร้ง แล้วเขาจะเสียสติได้อย่างไร?”

ผู้อมตะระดับเจ็ดส่ายศีรษะ “การสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันไม่เกี่ยวกับระดับการบ่มเพาะ จนกว่าผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สามจะกลับมา พวกเราต้องทำหน้าที่แทนเขา น้องชายของข้า เจ้าต้องระวังตัว เขาเป็นตัวอย่างที่ดี อย่าประมาทอาณาจักรแห่งความฝัน”

“พี่ใหญ่อย่ากังวล! ข้ารู้ขีดจำกัดของตนเอง ข้าจะรนหาที่ตายเพื่อสิ่งใด?” ผู้อมตะระดับหกกล่าวด้วยความหวาดกลัว

ผู้อมตะทั้งสองพูดคุยกันระหว่างเดินทางผ่านยอดเขาไร้นามแห่งหนึ่งก่อนจะหายไปบนท้องฟ้า

“พวกเขาไปแล้ว” ไห่ลั่วหลันกล่าว

ปัจจุบันนอกจากนางยังมีอิงอู๋เซี่ย ซื่อหนิว ไท่เป่ยหยุนเฉิง และไป่หนิงปิง

“ค่ายกลวิญญาณนี้ถูกสร้างขึ้นโดยจื่อฉูโหย่ว เขาใช้วิญญาณอมตะจำนวนมากของฝ่ายธรรมะ นั่นทำให้การป้องกันของมันแข็งแกร่งมาก” ซื่อหนิวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด

ด้วยค่ายกลวิญญาณที่ทรงพลังนี้ ฝ่ายธรรมะของภาคใต้จึงสามารถปกป้องอาณาจักรแห่งความฝันจากผู้บุกรุก กระทั่งกลุ่มของอิงอู๋เซี่ยก็ไม่สามารถบุกทะลวงเข้าไป

อย่างไรก็ตามอิงอู๋เซี่ยยังเผยรอยยิ้มบาง “ค่ายกลวิญญาณนี้ไม่ใช่ปัญหา อาณาจักรแห่งความฝันยังขยายตัวขึ้นตลอดเวลา ทุกช่วงเวลาหนึ่งผู้อมตะฝ่ายธรรมะต้องจัดการมัน พวกเขาต้องสำรองพลังงานเอาไว้ เมื่อเวลานั้นมาถึง อุปสรรคที่แท้จริงของพวกเราจะมีเพียงอาณาจักรแห่งความฝันเท่านั้น”

เขาหยุดถอนหายใจก่อนกล่าวต่อ “ข้าสามารถนำวิญญาณเข้าสู่ความฝันแต่ข้าไม่มีวิธีคลี่คลายความฝัน”

“ฟางหยวนมี” ไห่ลั่วหลันถ่ายทอดเสียง

“เขา!?” หัวใจของอิงอู๋เซี่ยสั่นสะท้านขึ้น สายตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท