เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – ตอนที่ 1184

ตอนที่ 1184

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1184 ผนวกแดนศักดิ์สิทธิ์ฮันตง

แปลโดย iPAT

แดนศักดิ์สิทธิ์นี้ดูค่อนข้างแปลกตา

ภูมิประเทศทั้งหมดของมันเป็นชายหาดน้ำตื้น

มีน้ำสีเขียวหยกลึกเพียงสามเมตร บนชายหาดเต็มไปด้วยกรวดหิน มีแอ่งน้ำสีเขียวหลายแห่งกระจัดกระจายอยู่ทำให้มันดูเหมือนกระดานหมากรุก

‘นี่ค่อนข้างคล้ายกับแดนศักดิ์สิทธิ์สระหยกของเผ่าตงฟาน’ ฟางหยวนคิด

แต่เขาทราบดีว่าสถานที่แห่งนี้แตกต่างจากแดนศักดิ์สิทธิ์สระหยก

แดนศักดิ์สิทธิ์สระหยกเต็มไปด้วแอ่งน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า ในแอ่งน้ำเหล่านั้นเป็นสถานที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำจำนวนมากที่แตกต่างกัน

แต่น้ำของที่นี่เชื่อมต่อกันทั้งหมด มันเป็นเพียงกรวดหินใหญ่น้อยที่ก่อตัวขึ้นคล้ายกับชายหาดเท่านั้น

ฟางหยวนมองสัตว์น้ำทุกประเภทรวมถึงวิญญาณระดับมนุษย์ที่อาศัยอยู่ใต้น้ำ

สิ่งที่มีมากที่สุดคืออสรพิษชนิดหนึ่ง

อสรพิษชนิดนี้มีร่างกายสีแดงอมชมพู ศีรษะของพวกมันมีขนาดเท่าหัวแม่มือของมนุษย์และมีร่างกายยาวเพียงไม่กี่เซนติเมตร

มันคืออสรพิษวิญญาณ

ผู้อมตะฮันตงมีความเชี่ยวชาญในการเปลี่ยนร่างเป็นอสรพิษชนิดนี้

นี่คือแดนศักดิ์สิทธิ์ฮันตง

ผู้อมตะฮันตงเป็นหนึ่งในสามผู้พเนจร ย้อนกลับไปเมื่อตงฟางชางฟานพยายามยึดครองร่างของตงฟานหยูเหลียง เขาใช้ซากศพค้างคาวมรณะแรกกำเนิดเป็นสร้างฐานที่มั่น

ในเวลานั้นผู้อมตะฮันตงเสียชีวิตที่นี่

สามผู้พเนจรประกอบด้วยลู่ชิงหมิง ซูกวง และฮันตง

พวกเขาเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษที่มีชื่อเสียง

พวกเขาสามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นรถม้าแสง

ในโลกของผู้อมตะ เมื่อผู้อมตะบางคนสร้างความร่วมมือ พวกเขาจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันรวมถึงบ่มเพาะด้วยกัน เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาจะคุ้นเคยกันมากขึ้น หากพวกเขามีพรสวรรค์ พวกเขาจะสามารถสร้างท่าไม้ตายร่วมกัน

สามผู้พเนจรอยู่ในกรณีนี้

ท่าไม้ตายอมตะเสียงคำรามของวายุสายฟ้าของเชาเหลาอู๋กับห่าวเจิ้นก็เช่นกัน

ท่ามกลางสามผู้พเนจร ลู่ชิงหมิงบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งวายุ ท่าไม้ตายเฉพาะตัวของเขาคือพันวายุ

ซูกวงเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งแสงขณะที่ฮันตงบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง

เขาเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นแดนศักดิ์สิทธิ์ฮันตงจึงเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับหกบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง

ฟางหยวนลอยอยู่บนท้องฟ้าขณะที่อสรพิษสีแดงชมพูเลื้อยเข้ามาหาเขา

“ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ”

มันส่งเสียงข่มขู่มาที่ฟางหยวน

เสียงของอสรพิษดังเข้าหูของฟางหยวนและเปลี่ยนเป็นคำพูดของมนุษย์ “เจ้าคือผู้ใด? เหตุใดเจ้าถึงบุกรุกบ้านของข้า? ออกไปเดี๋ยวนี้! เจ้าไม่ได้รับการต้อนรับที่นี่!”

ฟางหยวนเผยรอยยิ้มบาง “ข้ามาที่นี่เพราะข้าต้องการเป็นเจ้านายคนใหม่ของเจ้า บอกเงื่อนไขมา”

“ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ”

อสรพิษสีแดงชมพูส่งเสียงอย่างไม่มีความสุข

ฟ่างหยวนพยักหน้าและคิดกับตนเอง ‘ดังนั้นความปารถนาก่อนตายของฮันตงก็เกี่ยวข้องกับลู่ชิงหมิงและซูกวง’

แดนศักดิ์สิทธิ์ฮันตงดูเรียบง่ายแต่มันมีเงื่อนไขที่เข้มงวด

อสรพิษที่อยู่ตรงหน้าฟางหยวนคือจิตวิญญาณแผ่นดินของแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้

จิตวิญญาณแผ่นดินตนนี้จะยอมรับเฉพาะลู่ชิงหมิงหรือซูกวงเท่านั้น

หากคนทั้งสองมาที่นี่ พวกเขาจะกลายเป็นเจ้าของคนใหม่ของแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ทันที

จากจุดนี้สามารถเห็นได้ชัดถึงความสัมพันธ์ระหว่างสามผู้พเนจร

“หากเป็นเช่นนั้นข้าจะพาลู่ชิงหมิงมาที่นี่ พวกเราเป็นสหายที่ดีต่อกัน”

“ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ”

อสรพิษถาม “เป็นเรื่องจริงงั้นหรือ? หากเจ้าสามารถพาท่านลู่ชิงหมิงมาที่นี่ นั่นจะดีมาก”

“อันที่จริงเขาอยู่ในบริเวณนี้ ร่างหลักของเจ้าเสียชีวิตที่นี่ ลู่ชิงหมิงและซูกวงจึงคิดถึงเรื่องนี้ แต่ไท่ชิวอันตรายเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงขอความช่วยเหลือจากข้าและในที่สุดพวกเราก็พบเจ้า” ฟางหยวนเริ่มโกหก

อสรพิษเลื้อยไปรอบๆด้วยความตื่นเต้น

มันทำข้อตกลงกับฟางหยวน ก่อนจะส่งฟางหยวนออกจากแดนศักดิ์สิทธ์ฮันตงอย่างอบอุ่น “ขอบคุณเจ้ามาก เจ้าเป็นคนดีจริงๆ”

“เจ้าต้องตามหาท่านลู่ชิงหมิงให้พบ!” อสรพิษกล่าวก่อนจะปิดประตูทางเข้าออกแดนศักดิ์สิทธิ์

ฟางหยวนบินห่างออกไปก่อนจะใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยเปลี่ยนร่างเป็นลู่ชิงหมิง

เขาย้อนกลับมาขณะที่ทางเข้าแดนศักดิ์สิทธิ์ถูกเปิดออกจากภายใน

“ท่านลู่ชิงหมิง…” อสรพิษที่รออยู่สะอื้นไห้เมื่อเห็นลู่ชิงหมิง

ฟางหยวนปลอบใจมัน

อสรพิษถามว่า “ท่านลู่ชิงหมิง สหายของท่านมาจากที่ใด เขานำท่านมาที่นี่ เขาเป็นคนดีจริงๆ!”

“เขาเป็นคนใจดีและเป็นสหายที่พึ่งพาได้ เขาจากไปแล้ว เขาบอกว่าไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป เขาทำหน้าที่ของตนสำเร็จแล้ว” ฟางหยวนกล่าวตามบทละครที่เขาแต่งขึ้น

จิตวิญญาณแผ่นดินที่น่าสมเพชไม่สามารถมองทะลุใบหน้าที่คุ้นเคยและคิดว่ากำลังพูดคุยอยู่กับลู่ชิงหมิงตัวจริง ดังนั้นมันจึงรับลู่ชิงหมิงเป็นเจ้านายคนใหม่ทันที

“ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ”

อสรพิษแดงชมพูขดตัวอยู่บนไหล่ของฟางหยวน “จากนี้ไปท่านคือเจ้าของคนใหม่ของแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้”

ฟางหยวนเปลี่ยนน้ำเสียงทันที “วิเศษมาก ข้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานแล้ว เมื่อข้าได้รับแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ข้าจะมอบมันให้กับสหายคนก่อนหน้าของข้า”

“ฟ่อ!”

อสรพิษตะลึง

ฟางหยวนเผยรอยยิ้มบาง “…”

“ฟ่อ ฟ่อ”

อสรพิษก้มศีรษะลงอย่างไม่มีความสุขแต่มันก็ยังยอมรับการตัดสินใจของเจ้านายคนใหม่

ฟางหยวนจากไปก่อนจะเปลี่ยนร่างกลับมาเป็นคนเดิมและเข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์ฮันตง

จิตวิญญาณแผ่นดินอสรพิษแดงชมพูยอมรับเขาเป็นเจ้านายคนใหม่

“ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ”

อสรพิษกล่าว “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ท่านคือเจ้าของแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เห้อ…แม้ข้าจะโศกเศร้า แต่นี่คือความปารถนาของท่านลู่ชิงหมิง”

แต่คำกล่าวที่น่าเศร้ายิ่งกว่ากลับดังออกมาจากปากของฟางหยวน “เนื่องจากเจ้ายอมรับข้าเป็นเจ้านายแล้ว เจ้าก็ต้องร่วมมือกับข้า ข้าต้องการผนวกแดนศักดิ์สิทธิ์นี้เข้ากับมิติช่องว่างของข้า”

“ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ”

อสรพิษตกตะลึงและโวยวาย “อันใด? เหตุใดเราต้องทำเช่นนั้น? หากทำเช่นนั้น ข้าจะหายไป!”

“แน่นอน ข้ารู้เรื่องนั้น แต่ด้วยการหลอมรวมแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะสามารถก้าวข้ามภัยพิบัติต่างๆ” ฟางหยวนกล่าวต่อ

อสรพิษนึกถึงบางสิ่งและกรีดร้องออกมา “หากต้องการผนวกแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ อย่างน้อยท่านต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง!”

“ข้าบ่มเพาะอยู่บนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงและยังเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางสายนี้!” ฟางหยวนเย้ยหยัน

อสรพิษก้มศีรษะลงอย่างหมดสิ้นหนทาง “ท่านเป็นเจ้าของแดนศักดิ์สิทธิ์ ท่านสามารถทำทุกสิ่งที่ท่านต้องการ ข้าจะให้ความร่วมมือ”

มิติช่องว่างสามารถหลอมรวมกันแม้จะมีข้อจำกัดค่อนข้างมากก็ตาม

ประการแรก มิติช่องว่างขนาดเล็กไม่สามารถกลืนกินมิติช่องว่างที่ใหญ่กว่า

ประการที่สอง มิติช่องว่างที่ตายแล้วไม่สามารถกลืนกินมิติช่องว่างที่มีชีวิต

สุดท้ายการกลืนกินมิติช่องว่างของผู้อื่น คนผู้หนึ่งจำเป็นต้องมีระดับการบ่มเพาะและความสำเร็จบนเส้นทางสายนั้นพอสมควร

เมื่อบรรลุข้อกำหนดเหล่านี้ พวกเขาก็จะสามารถผนวกแดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้อื่นเข้ากับมิติช่องว่างของตนเอง

สิ่งนี้มีประโยชน์มากมาย

ประการแรก ทรัพยากรที่อยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์เป้าหมายจะถูกย้ายไปยังมิติช่องว่างหลักของผู้อมตะอย่างสมบูรณ์โดยไม่จำเป็นต้องเคลื่อนย้าย

ประการที่สอง พวกเขาจะได้รับร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าจากแดนศักดิ์สิทธิ์เป้าหมาย

ประการที่สามและเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุด นั่นคือการก้าวข้ามภัยพิบัติ

ตัวอย่างเช่นผู้อมตะไป่หู นางเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษบนเส้นทางแห่งทาสที่เสียชีวิตในภัยพิบัติพิภพครั้งที่ห้าโดยมนุษย์เงาสายฟ้า แม้มนุษย์เงาสายฟ้าจะยังอยู่ แต่แดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หูก็สามารถก้าวข้ามภัยพิบัติครั้งนั้น

หากผู้อมตะบางคนผนวกแดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หูเข้ากับมิติช่องว่างของพวกเขา พวกเขาจะได้รับทรัพยากรทั้งหมดของแดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หู ขณะเดียวกันพวกเขาก็จะได้รับร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าและสามารถก้าวข้ามภัยพิบัติอย่างน้อยหนึ่งครั้ง สูงสุดห้าครั้ง นอกจากนี้การนับถอยหลังสู่ภัยพิบัติของพวกเขาก็จะกลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง

ภาคใต้ ภูเขาหม้อหยก

กลุ่มของอิงอู๋เซี่ยมาถึงด้านในของภูเขา

“ผู้ใดจะคิดว่าภูเขาหม้อหยกที่ธรรมดาจะมีโลกน้ำแข็งซ่อนอยู่ภายใน” ไป่หนิงปิงมองถ้ำน้ำแข็งและถอนหายใจ

ที่นี่หนาวเย็นมาก กระทั่งผู้อมตะจะมีวิธีป้องกัน แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกถึงมวลอากาศเย็นที่พุ่งเข้าโจมตีร่างกายของพวกเขาตลอดเวลา

อิงอู๋เซี่ยหยุดเท้าและมองไปยังที่ว่างด้านหน้า “แดนศักดิ์สิทธิ์ระดับหกถูกทิ้งไว้ที่นี่โดยผู้อมตะบนเส้นทางความแข็งแกร่งของนิกายเงา”

อิงอู๋เซี่ยหันกลับมาพูดกับไห่ลั่วหลัน “ไห่ลั่วหลัน นี่สำหรับเจ้า ความสำเร็จบนเส้นทางความแข็งแกร่งของเจ้าเพียงพอที่จะผนวกแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ มันจะทำให้เจ้าสามารถก้าวข้ามภัยพิบัติ”

การแสดงออกของไห่ลั่วหลันเปลี่ยนไป

นางมีร่างสุดยอดกายาเทพยุทธ์ที่แท้จริง ภัยพิบัติของสิบสุดยอดกายาทรงพลังมาก

การผนวกแดนศักดิ์สิทธิ์สามารถแก้ปัญหาของนาง แต่มันก็จะทำให้นางสูญเสียศักยภาพในการเติบโต นี่ถือเป็นผลประโยชน์ระยะสั้นเท่านั้น

นางลังเลแต่ในที่สุดนางก็กัดฟันเดินออกไปข้างหน้า

อิงอู๋เซี่ยพยักหน้า เขาเข้าใจความรู้สึกของไห่ลั่วหลัน “ในการบ่มเพาะของผู้อมตะ การแสวงหาศักยภาพและการเติบโตระยะยาวไม่ใช่เรื่องฉลาดหากเจ้าไม่สามารถก้าวข้ามภัยพิบัติ อย่ากังวล เจ้าจะได้รับร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางความแข็งแกร่งไม่น้อยไปว่าที่เจ้ามี นอกจากนั้นนิกายเงายังมีวิธีการมากมายที่สามารถช่วยในการบ่มเพาะ แต่เจ้าจะดูดซับมันได้มากน้อยเท่าใด นั่นขึ้นอยู่กับตัวของเจ้าเอง เนื่องจากการดูดซับร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าจากการผนวกแดนศักดิ์สิทธิ์มีโอกาสที่เจ้าจะได้รับร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าน้อยลงระดับหนึ่งหากเปรียบเทียบกับการดูดซับร่องรอยของพลังงานแห่เต๋าจากศพของผู้อมตะโดยตรง”

ไห่ลั่วหลันแสดงออกด้วยความเคร่งเครียด

อิงอู๋เซี่ยนึกถึงฟางหยวนอย่างช่วยไม่ได้ เขากล่าวเสริม “แน่นอนว่าร่างทารกอมตะเป็นข้อยกเว้น”

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท