เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1194 ไม่คุกเข่า
แปลโดย iPAT
ผู้อมตะฝ่ายธรรมะพึ่งนั่งลงบนเก้าอี้เมื่อผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะปรากฏตัวขึ้น
เมฆสีเทาบินข้ามผ่านท้องฟ้าโดยมีจักรพรรดิอมตะชูตู๋ยืนอยู่ด้านหน้าด้วยความภาคภูมิใจ ด้านหลังชูตู๋มีสมาชิกจากสองกองกำลัง ด้านหนึ่งประกอบด้วยห่าวเจิ้น เชาเหลาอู๋ หลี่ซื่อจุน หวังอู๋หมิง และคนอื่นๆ อีกด้านหนึ่งมีไป่ซูเหริน ไป่ซูหลิง ตลอดไปถึงอดีตผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่ของเผ่าไห่
ผู้อมตะฝ่ายธรรมะกวาดตามองกองกำลังที่พึ่งมาถึงก่อนจะหยุดสายตาที่ชูตู๋
ไม่กี่ลมหายใจต่อมา กลุ่มผู้อมตะฝ่ายธรรมะผู้หนึ่งก็ส่งหัวเราะออกมา “ฝ่ายธรรมะของเราจะชนะการต่อสู้ครั้งนี้อย่างแน่นอน นิกายชูและเผ่าไป่ซูอันใด พวกเขากล้ายั่วยุตระกูลฮวงจินของเรางั้นหรือ?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า กล่าวได้ดี”
“ดังคาด เราต้องระวังชูตู๋เล็กน้อยเท่านั้น”
กลุ่มผู้อมตะฝ่ายธรรมะพูดคุยด้วยความผ่อนคลาย
ในทางตรงข้าม การแสดงออกของห่าวเจิ้น เชาเหลาอู๋ ไป่ซูเหริน และคนอื่นๆ ดูมืดมนและกังวลมาก
พวกเขาเข้าใจสถานการณ์
ฝ่ายธรรมะนำคฤหาสน์วิญญาณอมตะมาถึงสามหลัง
วังอสนี วังตะวันตก และหอคอยเทพแสง
แต่ฝ่ายของชูตู๋ พวกเขาเดินทางมาด้วยเมฆสีเทาที่ดูน่าสมเพชเท่านั้น
ฝ่ายธรรมะดื่มสุราและทานอาหารอยู่ในคฤหาสน์วิญญาณอมตะวังตะวันตกอย่างผ่อนคลาย แต่ฝ่ายของชูตู๋ยืนอยู่ท่ามกลางสายลม
ฝ่ายธรรมะพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ในทางตรงข้ามฝ่ายของชูตู๋ยืนอยู่ท่ามกลางความเงียบ
มีเพียงชูตู๋เท่านั้นที่แสดงออกด้วยความผ่อนคลาย
เขามีทั้งสมองและมัดกล้ามเนื้อ เขาฉลาดมากและคาดเดาเหตุการณ์นี้ไว้แล้วตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกกังวลใดๆ
ชูตู๋มองผู้อมตะที่อยู่ด้านข้างและกล่าว “น้องเซี่ย เจ้าเก็บตัวบ่มเพาะมาเป็นเวลานานและมีความสำเร็จที่น่าอัศจรรย์ ตอนนี้เป็นเวลาที่เจ้าจะสร้างชื่อให้กับตนเองแล้ว ข้าจะมอบการต่อสู้แรกให้เจ้า หลังการต่อสู้ครั้งนี้ ข้าเชื่อว่าชื่อของเจ้าไม่เพียงจะถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกแต่ยังมีโอกาสฝากร่องรอยไว้ในประวัติศาสตร์อีกด้วย!”
ดวงตาของผู้อมตะแซ่เซี่ยส่องประกายขึ้นเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้
“ครั้งก่อนพี่ชูเชิญข้าแต่เวลานั้นข้ากำลังหลอมรวมวิญญาณและไม่สามารถออกมา คราวนี้ข้าต้องทำให้โลกทั้งใบรู้จักชื่อเซี่ยอู่เหิงของข้า!”
ผู้อมตะแซ่เซี่ยตอบชูตู๋ก่อนจะบินออกไป
เขายืนกอดอกอยู่บนสนามประลองอย่างเงียบๆ
ในวังตะวันตก ผู้อมตะบางคนชี้นิ้วไปที่เซี่ยอู่เหิงและกล่าวอย่างขบขัน “พวกเขาส่งเด็กน้อยไร้ชื่อออกมาตาย”
เหนียงเอ๋อปิงซื่อกำลังจะลุกขึ้นแต่ถูกหยุดไว้โดยเหนียงเอ๋ออี้ฟาง “อดทนไว้ ศัตรูเป็นเพียงผู้อมตะระดับหกที่ไร้ชื่อเสียง การฆ่าเขาไม่เพียงพอ รอบนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องลงมือ”
“อา…” เหนียงเอ๋อปิงซื่อครุ่นคิดและตระหนักว่ามันเป็นความจริง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไม่ลุกขึ้น
“ผู้ใดจะออกไปเป็นคนแรก” กงหว่านถิงถาม
ผู้อมตะหนุ่มผู้หนึ่งลุกขึ้นยืน “ข้า เย่หลิวเสี่ยวจิน ยินดีออกไปเป็นคนแรก!”
กงหว่านถิงลังเลอยู่ชั่วขณะ นางคิดในใจ ‘จักรพรรดิอมตะชูตู๋เป็นบุคคลที่ไม่สามารถดูแคลน เขาส่งตัวละครนิรนามออกมาในรอบแรก เขาย่อมไม่ใช่คนธรรมดา หากฝ่ายเราประมาท เราอาจแพ้ในการต่อสู้ครั้งแรก นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องดี’
เย่หลิวเสี่ยวจินเป็นผู้อมตะวัยเยาว์และยังไร้ชื่อเช่นเดียวกับฝ่ายตรงข้าม
ในเวลานี้ผู้อมตะเผ่าเย่หลิว เย่หลิวซุ้ยหงจึงเผยรอยยิ้มกล่าว “แม้เด็กผู้นี้จะเป็นเพียงผู้อมตะระดับหก แต่เขามีความสามารถในการต่อสู้และมีท่าไม้ตายอมตะที่ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าเย่หลิวยังต้องยกย่อง”
กงหว่านถิงไม่ต้องการสร้างความขัดแย้งตั้งแต่แรก ดังนั้นนางจึงต้องยอมรับ “เช่นนั้นเราจะรอดูความกล้าหาญของผู้เยาว์เผ่าเย่หลิว”
“รับทราบ!” ผู้อมตะหนุ่มหันหลังกลับและเดินออกไป
เมื่อเขาเดินผ่านเหนียงเอ๋อปิงซื่อ เขาชำเลืองมองเหนียงเอ๋อปิงซื่อด้วยสายตาเย้ยหยัน
‘เจ้า!” เหนียงเอ๋อปิงซื่อแทบไม่สามารถระงับความโกรธและพุ่งเข้าโจมตีฝ่ายตรงข้าม
แต่เย่หลิวเสี่ยวจินเดินออกไปแล้ว
เหนียงเอ๋อปิงซื่อสร้างชื่อให้กับตนเองในการต่อสู้ที่แดนศักดิ์สิทธิ์อินทรีย์เหล็ก แต่คนหนุ่มสาวมักไม่เต็มใจที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ เย่หลิวเสี่ยวจินเป็นหนึ่งในนั้น
ครั้งนี้เขาตั้งใจที่จะสร้างชื่อให้กับตนเองผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือด
การประลองครั้งแรกที่กำลังจะปะทุขึ้นอยู่ภายใต้การเฝ้ามองของผู้คนทั้งหมด
ในเวลาเดียวกันที่ภาคใต้
“ข้าบอกข้อมูลสำคัญทั้งหมดเกี่ยวกับถ้ำไป่เซียงกับเจ้าแล้ว หลังจากทายาทในสายเลือดของไป่เซียงกลายเป็นผู้อมตะ อสรพิษขาวตัวนี้จะนำทางพวกเขาเข้าไปในถ้ำสวรรค์ไป่เซียง แต่ถ้ำสวรรค์ไป่เซียงเต็มไปด้วยอันตราย เพราะไป่เซียงเป็นปีศาจอมตะ เจ้าต้องระวังตัวให้มาก ตามข้อมูลของนิกายเงา ไป่เซียงเป็นคนยโสและกดขี่ผู้คน มีเพียงผู้อมตะที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะสามารถพูดคุยกับเขา เจ้าอย่าได้ดื้อรั้นเกินไป จงทำเพื่อผลประโยชน์เท่านั้น”
อิงอู๋เซี่ยเตือนไป่หนิงปิง
นิกายเงาต้องการฉกฉวยผลประโยชน์ในการเดิมพันห้าเซียงมานานแล้ว
แต่เพราะโอกาสยังไม่เอื้ออำนวย แผนการนี้จึงถูกเลื่อนออกไป แน่นอนว่าเหตุผลหลักเพราะนิกายเงาพยายามหลอมรวมวิญญาณทารกอมตะเป็นอันดับแรก
นิกายเงาเลือกไป่หนิงปิงด้วยเหตุผลสองประการ หนึ่ง นางเป็นผู้หลบหนีจากโชคชะตา สอง นางมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเดิมพันห้าเซียง
ไป่หนิงปิงตะคอก “ข้ารู้ว่าควรทำสิ่งใด!”
อิงอู๋เซี่ยไม่สะทกสะท้านและยังเผยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ไปได้”
ไป่หนิงปิงนำอสรพิษขาวออกมา
มันเป็นวิญญาณระดับห้าที่ถูกดึงดูดเข้าหาไป่หนิงปิงเพราะสุดยอดกายาน้ำแข็งแห่งความมืด
ไป่หนิงปิงกระตุ้นใช้งานมิติช่องว่างอมตะเทียมของนางทันที
ในความเป็นจริงนิกายเงาขโมยวิธีนี้มาจากวังสวรรค์ แต่พวกเขามีความเข้าใจเกี่ยวกับมันเพียงหกสิบส่วน ดังนั้นมันจึงมีข้อบกพร่องมากมาย
ด้วยมิติช่องว่างเทียม ไป่หนิงปิงสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะได้เป็นการชั่วคราวโดยไม่ต้องก้าวข้ามภัยพิบัติ อาจกล่าวได้ว่านางเป็นผู้อมตะปลอม
โดยปกติไป่หนิงปิงจะอยู่ในร่างของมนุษย์เพศหญิง แต่หลังจากกระตุ้นใช้งานมิติช่องว่างเทียม นางจะกลายเป็นผู้อมตะชาย
บางครั้งการเปลี่ยนร่างเป็นหญิงและชายสลับไปมาก็ทำให้ไป่หนิงปิงรู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตามไม่มีผู้ใดล้อเลียนนางเกี่ยวกับเรื่องนี้
ไท่เป่ยหยุนเฉิงเป็นคนใจดี ขณะที่ไห่ลั่วหลันไม่สนใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ สำหรับซื่อหนิว เขากังวลเกี่ยวกับความสำเร็จและความล้มเหลวของไป่หนิงปิงมากกว่าเพราะมันจะส่งอิทธิพลอย่างมากต่อนิกายเงา
ไป่หนิงปิงเริ่มปลดปล่อยกลิ่นอายของผู้อมตะออกมา เมื่ออสรพิษขาวสัมผัสได้ถึงสิ่งนี้ ร่างกายของมันเริ่มสั่นสะท้านขึ้นก่อนที่มันจะส่งเสียงกรีดร้องขึ้นสู่ท้องฟ้า
เสียงกรีดร้องของมันแตกต่างจากอสรพิษทั่วไปอย่างสิ้นเชิงเพราะมันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่และทรงพลัง
จากนั้นอสรพิษขาวก็นำร่างของไป่หนิงปิงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ไห่ลั่วหลัน อิงอู๋เซี่ย และคนอื่นๆยืนมองอยู่ที่ตำแหน่งเดิม
พวกเขาไม่สามารถติดตามไปเพราะพวกเขาไม่มีสายเลือดของไป่เซียง ตอนนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับไป่หนิงปิงเท่านั้น
ไป่หนิงปิงมองลงไปด้านล่าง เมื่อเห็นกลุ่มเมฆหมอกหนาทึบ ช่วยไม่ได้ที่เขาจะคิดถึงหมู่บ้านตระกูลไป่
นั่นเป็นการเผชิญหน้าครั้งแรกระหว่างไป่หนิงปิงกับอสรพิษขาว…
ที่น้ำพุจิตวิญญาณธรรมชาติของตระกูลไป่ อสรพิษขาวปรากฏตัวขึ้นที่นั่น
“คารวะนายท่านผู้ยิ่งใหญ่!” ผู้นำตระกูลไป่คุกเข่าลงบนพื้นและกระตุ้นไป่หนิงปิงในวัยเยาว์ “ไป่หนิงปิง เหตุใดไม่คุกเข่าลง!?”
“ข้าจะไม่คุกเข่าต่อหน้าวิญญาณ!” ไป่หนิงปิงกล่าวอย่างเย็นชา
แม้อสรพิษขาวจะปลดปล่อยกลิ่นอายที่ยิ่งใหญ่ออกมาพร้อมกับเจตนาสังหาร แต่ไป่หนิงปิงกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย ดวงตาสีฟ้าของเขายังจ้องมองอสรพิษขาวโดยไม่ละสายตา…
“ตามบันทึกลับของตระกูล เมื่อผู้ใช้วิญญาณได้รับการยอมรับจากอสรพิษขาว มันจะนำคนผู้นั้นบินขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อรับสืบทอดมรดก”
“ดังนั้นความลับของการรับสืบทอดมรดกของไป่เซียงก็คือการเป็นผู้อมตะ”
คำถามที่ติดอยู่ในใจของไป่หนิงปิงมาตลอดสุดท้ายก็ได้รับคำตอบในวันนี้
“โดยไม่ทันตั้งตัว ข้ามาถึงระดับนี้แล้ว” ไป่หนิงปิงสูดหายใจลึก “สำเร็จหรือล้มเหลวไม่สำคัญ ฮ่าฮ่า ข้าหวังเพียงว่าถ้ำสวรรค์ไป่เซียงจะไม่น่าเบื่อเกินไป!”
แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา ในห้องลับของเมืองเมฆา
ฟางหยวนพ่นลมหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา
ในมือของเขาถือวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งความฝันที่พึ่งหลอมรวมสำเร็จเอาไว้
ความก้าวหน้าในการบ่มเพาะของเขาหยุดลงและไม่สามารถยกระดับได้อีกเพราะเขากลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในความทรงจำไปแล้ว อาจมีบางส่วนที่เหลืออยู่แต่ระดับความสำเร็จของเขาไม่เอื้ออำนวยให้กลืนกินพวกมัน
เขาตระหนักว่าอาณาจักรแห่งความฝันเป็นวิธียกระดับความสำเร็จอย่างรวดเร็วที่สุด ดังนั้นในช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาจึงหมกมุ่นอยู่กับการหลอมรวมวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งความฝัน
วิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งความฝันรวมกับวิญญาณอมตะคลี่คลายปริศนาสามารถสร้างท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝัน
ด้วยท่าไม้ตายนี้ ฟางหยวนจะสามารถคลี่คลายอาณาจักรแห่งความฝันเพื่อเพิ่มความสำเร็จให้กับตนเอง
‘งานประลองทุ่งโลหิตเริ่มขึ้นแล้ว…ข้าควรเข้าร่วมสักสองสามครั้งและสังหารผู้อมตะสักสองสามคนเพื่อกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาและก้าวเข้าสู่ระดับเจ็ด’
‘แม้ทะเลตะวันออกจะมีเมืองจิ๋วและแดนศักดิ์สิทธิ์มากมายอยู่ที่นั่น แต่มันไกลเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อข้าเคยไปที่นั่นมาแล้ว เจตจำนงสวรรค์ย่อมรู้เรื่องนี้และสามารถวางแผนกำจัดข้า’
‘มันดีกว่าที่ข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อหลอมรวมวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งความฝันและออกไปสังหารผู้อมตะในงานประลองทุ่งโลหิตในภายหลัง’
ด้วยความคิดนี้ ฟางหยวนจึงเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝันของตนเองอีกครั้ง
ในขบวนสินค้าที่กำลังสัญจรไปตามเส้นทางภูเขา
ฟางหยวนเป็นหนึ่งในสมาชิกของขบวนสินค้านี้
ฟางหยวนต้องการพิสูจน์ว่าตนเองเหนือกว่าน้องชายที่มีพรสวรรค์นภาที่หนึ่ง แต่ผู้นำตระกูลไม่ให้โอกาสนี้แก่เขา
ผู้นำตระกูลวางแผนร้ายต่อฟางหยวนและทำให้เขาพบกับความพ่ายแพ้
สุดท้ายเขาก็ถูกทุกคนทอดทิ้งและดูแคลน
“พรสวรรค์นภาที่สามไร้อนาคต”
“แม้เจ้าจะชนะฟางเจิ้ง แล้วอย่างไร พรสวรรค์นภาที่หนึ่งคืออนาคตของตระกูล!”
“ในฐานะพี่ชาย เจ้าไร้ความอดทนและพยายามสร้างความยากลำบากให้กับน้องชายของเจ้า ช่างน่าอายนัก”
ผู้ชนะครอบครองทุกสิ่ง
ฟางหยวนถูกเนรเทศออกจากตระกูล เขาต้องเข้าร่วมกับขบวนสินค้าและทำงานอย่างหนัก
“หยุดรถ ถนนสายนี้ขรุขระเกินไป พักก่อน” เสียงของเด็กหนุ่มดังมาจากภายในรถม้า
“แต่นายน้อย พวกเรายังอยู่ไกลจากหมู่บ้านถัดไป พวกเราพักมาสามครั้งแล้ว หากพักอีก เราจะไม่สามารถเดินทางออกจากภูเขาลูกนี้ได้ก่อนฟ้ามืด” ผู้ดูแลขบวนสินค้ายืนอยู่นอกรถม้าและกล่าวด้วยความกังวล
“เพี๊ยะ!”
แส้ฟาดลงมาที่ร่างของผู้ดูแลขบวนสินค้าและส่งเขาบินออกไป
“เจ้ากล่าวสิ่งใด?”
“ขบวนสินค้านี้เป็นของตระกูลของข้า ข้ามีสิทธิ์จัดการทั้งหมด เจ้าเป็นเพียงคนรับใช้ต่ำต้อยแต่เจ้ากลับกล้าสั่งสอนข้างั้นหรือ?”
ผู้ใช้วิญญาณหนุ่มท่าทางดุร้ายเดินออกมาจากรถม้า
“บ่าวสมควรตาย บ่าวสมควรตาย!”
ขบวนสินค้าหยุดเคลื่อนไหวทันที
เสียงดังมาจากด้านหน้า “เกิดสิ่งใดขึ้นด้านหลัง?”
คำถามดังมาจากด้านหลังเช่นกัน “เกิดสิ่งใดขึ้นด้านหน้า?”
เห็นสายตาที่จ้องมองมา ผู้ใช้วิญญาณหนุ่มขมวดคิ้วและตะโกน “มองสิ่งใด? ทาสที่เกียจคร้าน หากพวกเจ้ายังมองข้า ข้าจะควักลูกตาของพวกเจ้าออกมา!”
ฟางหวนก้มศีรษะลง
“เจ้า ถูกต้อง เจ้า!” ผู้ใช้วิญญาณหนุ่มชี้นิ้วมาที่ฟางหยวน “ออกมา คุกเข่าลงเป็นเก้าอี้ให้ข้า นี่ถือเป็นเกียรติที่ข้ามอบให้เจ้า ข้าต้องการพักผ่อนข้างนอกสักพัก”
ฟางหยวนเงยหน้ามองผู้ใช้วิญญาณหนุ่ม
“ข้าจะไม่คุกเข่า”
“กระไรนะ!?” ผู้ใช้วิญญาณหนุ่มรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
“เจ้าพูดว่าจะไม่คุกเข่างั้นหรือ?” นิ้วของเขาชี้มาที่ฟางหยวนด้วยอาการสั่นเทา
การแสดงออกของเขาดูเกินจริงราวกับเขาได้ยินเรื่องตลกที่สุด
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าจะไม่คุกเข่า!? เจ้าเป็นทาสแต่เจ้าไม่ยอมคุกเข่างั้นหรือ!?”
จากนั้นเขาก็ได้ยินคำกล่าวของฟางหยวนอีกครั้ง
“ถูกต้อง ข้าจะไม่คุกเข่า”