เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – ตอนที่ 1202

ตอนที่ 1202

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1202 หยิ่งยโสอย่างที่สุด

แปลโดย iPAT

‘ข้าต้องออกไปด้วยตนเองงั้นหรือ?’

เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจ ช่วยไม่ได้ที่ชูตู๋จะมีความคิดเช่นนี้

เขาสามารถเข้าสู่สนามรบได้โดยชอบธรรมและยังมั่นใจว่าสามารถเอาชนะเย่หลิวชุนซิง

แต่มันจะเกิดสิ่งใดขึ้นต่อไป? ชูตู๋เป็นผู้นำที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เขาต้องออกไปต่อสู้ด้วยตนเอง แล้วพวกเขาจะไม่ถูกเย้ยหยันและดูอ่อนแอเช่นนั้นหรือ?

ยิ่งไปกว่านั้นแม้เขาจะสามารถเอาชนะเย่หลิวชุนซิง แต่ฝ่ายธรรมะก็สามารถส่งคนอื่นๆเข้าสู่สนามรบต่อไปไม่ว่าจะเป็นกงหว่านถิง เหยาหยวนอิง หยวนหยาง นู๋เอ๋อกู่ หรือนู๋เอ๋อเฉียน คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ชูตู๋ต้องระวังตัวทั้งสิ้น

สองหมัดจะสู้สี่ฝ่ามือได้อย่างไร?

ชูตู๋อาจชนะสองหรือสามรอบแต่เขาจะรับประกันได้อย่างไรว่าจะสามารถชนะการต่อสู้ทั้งหมด?

ชูตู๋ตกอยู่ในความเงียบ

“อันใด? ไม่มีผู้ใดต้องการต่อสู้อีกแล้วงั้นหรือ?” เย่หลิวชุนซิงไม่ปล่อยโอกาสที่จะได้เยาะเย้ยฝ่ายตรงข้าม

เซี่ยอู่เหิงไม่สามารถอดทนต่อการยั่วยุนี้ เขาเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจในตนเอง ดังนั้นเขาจึงร้องขอกับชูตู๋ “ให้ข้าออกไปจัดการเย่หลิวชุนซิงผู้นี้!”

แต่เซี่ยอู่เหิงเป็นเพียงผู้อมตะระดับหก แล้วชูตู๋จะปล่อยให้เขาออกไปได้อย่างไร? เซี่ยอู่เหิงอาจสามารถต่อสู้กับผู้อมตะระดับเจ็ด แต่อีกฝ่ายเป็นตัวตนระดับสูงท่ามกลางผู้อมตะระดับเจ็ดทั้งหมด

ชูตู๋ส่ายศีรษะช้าๆ

ทันใดนั้นดวงตาของเขากลับส่องประกายขึ้นอย่างกะทันหัน เขาได้รับจดหมายจากฟางหยวน

‘วิเศษมาก! หลิวกวนซื่อมาได้ถูกจังหวะจริงๆ!’ คิ้วที่ขมวดแน่นของชูตู๋คลายออกทันที

เขาเชื่อมั่นในตัวหลิวกวนซื่อ เขาคิดเสมอว่าในนิกายชูความแข็งแกร่งของหลิวกวนซื่อเป็นรองเพียงเขาเท่านั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเดินทางไปยังถ้ำปีศาจคลั่งและฟางหยวนสามารถแสดงผลงานได้อย่างน่าประทับใจ

“ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของนิกายชูกำลังมา เย่หลิวชุนซิง เหตุใดเจ้าจึงรีบร้อนนัก เจ้าควรดื่มด่ำช่วงเวลาแห่งชัยชนะให้นานกว่านี้” ชูตู๋หัวเราะเบาๆและกล่าวเสียงเรียบ

“ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของนิกายชู?”

“ชูตู๋เป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของนิกายชู ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองย่อมเป็นรองเพียงเขาเท่านั้นใช่หรือไม่?”

“คนผู้นี้ลึกลับมาก ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขามาจากที่ใด พวกเรามีข้อมูลที่จำกัดมาก”

ผู้อมตะทั้งสองฝ่ายต่างพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์

ผู้อมตะฝ่ายธรรมะในวังตะวันตกเริ่มแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับหลิวกวนซื่อ

“พิจารณาจากเซี่ยอู่เหิง มันจะแปลกอันใดหากพวกเขาจะมีหลิวกวนซื่ออีกคน?” เหนียงเอ๋อปิงซื่อกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

“อย่างมากเขาก็เป็นผู้อมตะระดับเจ็ด แต่ฝ่ายของพวกเราเป็นอัจฉิรยะระดับเจ็ด” เย่หลิวฮุ้ยหงหัวเราะ

กงหว่านถิงกล่าวเบาๆ แต่เสียงของนางกลับดังไปทั่วห้องโถง “ชูตู๋ไม่ใช่คนตาบอด คนผู้นี้อยู่เหนือห่าวเจิ้นและเชาเหลาอู๋ เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของนิกายชู เราควรคิดว่าเขาเป็นคนที่โดดเด่น”

ดวงตาของเซี่ยอู่เหิงส่องประกายขึ้นด้วยความคาดหวังต่อฟางหยวน

“ผู้อาวุโสห่าวเจิ้น ผู้อาวุโสหลิวกวนซื่อแข็งแกร่งมากงั้นหรือ?” อดีตผู้อมตะเผ่าไห่ผู้หนึ่งถาม แน่นอนว่าเขาเปลี่ยนไปใช่แซ่ไป่ซูแล้ว และมันไม่เหมาะสมที่เขาจะถามผู้อาวุโสเผ่าไป่ซูเพราะการเสียชีวิตของไป่ซูเหว่ยทำให้หัวข้อนี้กลายเป็นเรื่องต้องห้ามในเผ่าไป่ซู

ห่าวเจิ้นและเชาเหลาอู๋เป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สามและสี่ของนิกายชูตามลำดับ แท้จริงแล้วพวกเขารู้สึกไม่สบายใจที่ตำแหน่งของพวกเขาต่ำกว่าฟางหยวน แต่ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถทำลายชื่อเสียงนิกายของตนเอง

“เขาอ้างว่าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง”

“แต่เราไม่เคยเห็นเขาใช้ท่าไม้ตายเปลี่ยนร่างแม้แต่ครั้งเดียวระหว่างการต่อสู้กับจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซู”

คำกล่าวของห่าวเจิ้นและเชาเหลาอู๋ทำให้ผู้คนคิดในแง่มุมหนึ่งอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยง

‘ดูเหมือนผู้อาวุโสหลิวกวนซื่อผู้นี้จะยอดเยี่ยมมาก กระทั่งการรุนรานของจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูก็ไม่สามารถบังคับให้เขาใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดออกมา?’

‘นี่คือผู้ที่บุกแดนศักดิ์สิทธิ์อินทรีย์เหล็กและยึดรังอินทรีย์ทั้งหมด’ ผู้อมตะเผ่าไป่ซูเกิดความรู้สึกที่ซับซ้อน

“เขามาแล้ว” ชูตู๋กล่าว

ผู้อมตะฝ่ายชูตู๋หันกลับไปด้านหลัง

ในวังตะวันตกผู้อมตะฝ่ายธรรมะก็มองไปในทิศทางเดียวกัน

เมฆหลากสีนำผู้อมตะที่ดูอ่อนเยาว์บินเข้ามาอย่างรวดเร็ว

เขาสวมชุดคลุมสีขาว แขนเสื้อของเขาสะบัดตัวไปด้านหลังตามแรงลม

เขามีเส้นผมสีดำ ใบหน้าเหมือนหยก คิ้วคม ดวงตาสดใส ดั้งจมูกสูง ผิวขาวราวหิมะ เขาเผยรอยยิ้มเล็กน้อยและดูผ่อนคลาย โดยรวมเขาดูหล่อเหลามาก

เพียงแวบแรกที่ฟางหยวนปรากฏตัว เขาก็สามารถสร้างความประทับใจที่ดีให้กับผู้คนได้ทันที

“น้องหลิว เจ้ามาแล้ว” ชูตู๋เผยรอยยิ้มสดใจและบินเข้าไปต้อนรับ

“จักรพรรดิอมตะชูตู๋ต้องออกไปต้อนรับเขาด้วยตนเองเลยงั้นหรือ?”

เมื่อเห็นฉากนี้ช่วยไม่ได้ที่ร่างกายของผู้อมตะหลายคนจะสั่นสะท้านขึ้น สถานะของฟางหยวนในใจของพวกเขาพุ่งสูงขึ้นอีกหลายระดับ

“หลิวกวนซื่อมีต้นกำเนิดอย่างไรกันแน่? เหตุใดชูตู๋จึงต้องดูแลเขาถึงระดับนี้?”

ผู้อมตะฝ่ายธรรมะมองหน้ากันและเริ่มให้ความสำคัญกับฟางหยวนมากขึ้น

“วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลบันทึกฉากการต่อสู้ก่อนหน้านี้เอาไว้ ดูเร็วเข้า” ชูตู๋ส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับฟางหยวนอย่างลับๆ

ฟางหยวนยอมรับอย่างเงียบๆ

ชูตู๋ปฏิบัติต่อฟางหยวนอย่างเท่าเทียม หลังจากสร้างข้อตกลงพันธมิตรปีศาจคลั่ง ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขายิ่งแน่นแฟ้นมากขึ้น

กลุ่มผู้อมตะอดทนรอฟางหยวนบินเข้าสู่สนามรบอย่างช้าๆ

“คนผู้นี้คือเย่หลิวชุนซิง เขาบ่มเพาะอยู่บนเส้นทางแห่งดวงดาว เขาเอาชนะพวกเรามาสี่คนแล้ว ตอนนี้เราต้องการให้เจ้าแสดงความสามารถและเอาชนะเขา” ชูตู๋กล่าวเบาๆ

ฟางหยวนคิดในใจ ‘ข้ามาเพราะคนผู้นี้ เส้นทางแห่งดวงดาวเหมาะสมกับข้า หากข้ากลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเขา ข้าจะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเจ็ดได้ทันที’

เย่หลิวชุนซิงรู้สึกตึงเครียด

ตั้งแต่ฟางหยวนปรากฏตัว เย่หลิวชุนซิงเฝ้ามองฝ่ายตรงข้ามอย่างใกล้ชิดแต่เขากลับไม่สามารถอ่านการแสดงออกใดๆของฟางหยวน

ฟางหยวนตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดและเข้าใจวิธีการต่อสู้ทั้งหมดของเย่หลิวชุนซิง

เขาสามารถประเมินความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ได้อย่างชัดเจน

เย่หลิวชุนซิงอาจอยู่ระดับเดียวกับบัณฑิตสันโดษและไป่ซุ้ยฮันหรืออาจอ่อนแอกว่าเล็กน้อย โดยรวมแล้วเขาเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดที่โดดเด่นผู้หนึ่ง

แต่เหนือกว่าเขายังมีตัวตนเช่นจักรพรรดิอมตะชูตู๋และราชาวานรอมตะซื่อเล่ย

และเหนือยิ่งกว่าชูตู๋ก็คือฟงจิวเก้อและฉินไป่เฉิง

ฟางหยวนมั่นใจว่าสามารถเอาชนะเย่หลิวชุนซิงได้ด้วยการเปลี่ยนร่างเป็นมังกรดาบบรรพกาล

แต่การฆ่าเขาโดยตรงอาจเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การเฝ้ามองของทุกคน

สิ่งสำคัญที่สุดเกี่ยวกับคนผู้นี้คือท่าไม้ตายอมตะที่ไม่เพียงมีค่าใช้จ่ายน้อยแต่มันยังมีทั้งพลังโจมตีและป้องกันที่น่าสะพรึงกลัว

กล่าวถึงสภาพจิตใจ เขายังเป็นบุคคลที่น่ายกย่อง ความพ่ายแพ้ไม่ส่งผลกระทบต่อเขา มันกระทั่งทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น

หากเป็นศัตรูกับคนประเภทนี้ ทางที่ดีที่สุดคือต้องฆ่าเขาเท่านั้น

ตงฟางชางฟานไม่สามารถฆ่าเย่หลิวชุนซิง ดังนั้นเขาจึงต้องปวดหัวกับคนผู้นี้อยู่เป็นเวลานาน

แต่จะฆ่าเขาได้อย่างไร?

ฟางหยวนรู้สึกว่ามีโอกาสไม่มากที่จะสามารถสังหารเย่หลิวชุนซิง หลังจากเปลี่ยนเป็นมังกรดาบบรรพกาล พลังการต่อสู้ของฟางหยวนจะอยู่ในระดับเดียวกับบัณฑิตสันโดษ อย่างไรก็ตามในการต่อสู้ที่ยาวนาน เขาจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะพลังงานอมตะของเขายังเป็นองุ่นเขียวอมตะระดับหก

หลังจากไตร่ตรอง ฟางหยวนกล่าว “ข้าจะไม่ต่อสู้”

ผู้อมตะทั้งหมดตกตะลึง

“เหตุใดถึงไม่ต่อสู้? กลัวงั้นหรือ?” หวังอู๋หมิงเย้ยหยัน

ตั้งแต่ภารกิจบุกโจมตีแดนศักดิ์สิทธิ์อินทรีย์เหล็ก หวังอู๋หมิงรู้สึกเกลียดชังฟางหยวนมาก สายตาที่คาดหวังของทุกคนทำให้หวังอู๋หมิงไม่พอใจ ตัวเขาพ่ายแพ้ให้กับเย่หลิงชุนซิงและบุคคลที่ทุกคนคาดหวังคือศัตรูของเขา ความรู้สึกนี้ทิ้งรสชาติที่ไม่ดีเอาไว้ในปากของหวังอู๋หมิง

ฟางหยวนไม่ตอบ

อย่างไรก็ตามชูตู๋ขมวดคิ้วและหันหลับไปมองหวังอู่หมิงด้วยสายตาดุร้าย

หวังอู๋หมิงหุบปากลงอย่างรวดเร้ว เม็ดเหงื่ออันเย็นเยียบเริ่มไหลลงมาจากหน้าผากของเขา

ชูตู๋ส่ายศีรษะ ‘หวังอู๋หมิงและคนอื่นๆล้วนเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษหรือปีศาจอมตะ พวกเขาไม่มีทักษะการเข้าสังคมที่ดี แม้เขาจะไม่พอใจหลิวกวนซื่อ แต่เขาจะเปิดเผยความขัดแย้งภายในนิกายชูต่อหน้าคนนอกได้อย่างไร?’

ในเวลาเดียวกันชูตู๋หันหน้ากลับไปที่ฟางหยวนและถาม “เหตุใดเจ้าจึงกล่าวว่าจะไม่ต่อสู้?”

ฟางหยวนมองเย่หลิวชุนซิงและเย้ยหยัน “เขาอ่อนแอเกินไป ข้าสามารถฆ่าเขาได้ด้วยน้ำลายของข้า เราจะฆ่าไก่ด้วยมีดฆ่าวัวได้อย่างไร? การต่อสู้กับเขาเป็นการดูแคลนสถานะของข้า”

หยิ่ง!

หยิ่งเกินไปแล้ว!!

ความปั่นป่วนปะทุขึ้นในกลุ่มผู้อมตะทั้งหมดในครั้งเดียว ความคิดทุกประเภทพุ่งเข้าสู่จิตใจของทุกคน

ฟางหยวนดูเหมือนเด็กหนุ่มรูปงามที่สงบเสงี่ยมแต่คำกล่าวสองสามคำแรกของเขากลับเผยให้เห็นถึงความหยิ่งยโสอันเป็นที่สุด

“เขากล่าวว่าสามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญเช่นท่านเย่หลิวชุนซิงได้ด้วยน้ำลายของเขางั้นหรือ? กระทั่งชูตู๋ก็ยังไม่สามารถทำได้!” เหนียงเอ๋อปิงซื่อรู้สึกไม่พอใจมาก

‘เขาหลงตัวเองมากเกินไป’ เซี่ยอู่เหิงมองฟางหยวนด้วยความงุนงง เขาคิดมาตลอดว่าเขาเป็นคนหยิ่งผยอง แต่เขากลับไม่สามารถเปรียบเทียบกับคนผู้นี้

ฟางหยวนพ่นเรื่องไร้สาระมากมายออกมา ความหยิ่งผยองชนิดนี้ทำให้หลายคนไม่พอใจ

แต่คนที่ไม่พอใจมากที่สุดคือเย่หลิวเสี่ยวจิน

เขายังเด็กและเลือดร้อน เย่หลิวชุนซิงเป็นสมาชิกหลักของเผ่าเย่หลิวและเป็นผู้อาวุโสที่เขาเคารพ แต่ฟางหยวนกลับทำให้เย่หลิวชุนซิงอับอาย นี่ไม่ต่างจากการทำให้เขาขายหน้าเช่นกัน

ดังนั้นผู้อมตะหนุ่มผู้นี้จึงลุกขึ้นยืนและตะโกนเสียงดัง “เจ้าไม่กล้าแสดงทักษะออกมา แต่เจ้ากลับกล้าพ่นน้ำลาย! เจ้ากล้าประเมินความสามารถของผู้อาวูโสชุนซิงเช่นนี้ได้อย่างไร? เจ้าคนขลาด เจ้าไม่กล้าต่อสู้ เจ้ากล่าวเช่นนี้เพราะเจ้ากลัวใช่หรือไม่?”

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท