เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – ตอนที่ 1233

ตอนที่ 1233

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1233 การรวมตัวของผู้อมตะภาคกลาง

แปลโดย iPAT

ภาคกลาง หมู่บ้านแห่งหนึ่ง

“ครืน…”

เสียงดังขึ้นบนภูเขา

หินและดินถล่มลงมาราวกับคลื่นน้ำ

“หนี! รักษาชีวิต!”

“ข้าจะตาย! ข้ากำลังจะตาย!”

“ท่านพ่อ ท่านอยู่ที่ใด อย่าทิ้งข้า!”

หมู่บ้านที่เคยเงียบสงบตกสู่ความสับสนวุ่นวาย

ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนพากันวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่ง บางคนนอนอยู่บนพื้นด้วยความสิ้นหวัง เสียงเด็กร้องไห้ดังขึ้นภายใต้อ้อมกอดของมารดา หลายคนยอมแพ้ต่อภัยพิบัติครั้งนี้ไปแล้ว

ในสถานการณ์นี้มีร่างหนึ่งลอยอยู่บนท้องฟ้า

มันคือผู้อมตะระดับเจ็ด!

เขาอยู่ในชุดคลุมสีฟ้า ผมยาวถึงไหล่ และดูค่อนข้างบอบบาง

เขาขมวดคิ้วและพึมพำ “การไหลของดินโคลนเหล่านี้ค่อนข้างแปลก”

โดยปกติโคลนจะไหลลงมาเพราะฝนตกหนัก แต่ตอนนี้อากาศแจ่มใสมาก

ความจริงก็คือสภาพแวดล้อมในรัศมีหนึ่งหมื่นลี้ถูกจัดการอย่างลับๆโดยผู้อมตะระดับเจ็ดผู้นี้ เขามั่นใจว่าที่นี่จะมีฝนและแสงแดดในปริมาณที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก

“บึม!”

ทันใดนั้นหินสีเหลืองทองพลันปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน

ผู้อมตะระดับเจ็ดในชุดคลุมฟ้ามองไปที่ฉากนี้

เขาขมวดคิ้วก่อนจะคลายมันออก “โอ้ มันคือปูบึง”

ปูบึงเป็นสัตว์อสูรเดียวดายที่มีร่างกายปกคลุมด้วยเปลือกแข็ง มันปราศจากดวงตา นั่นทำให้มันไร้จุดอ่อน

มันเป็นราชาแห่งหนองน้ำ

ก้ามปูของมันเหมือนเสาเหล็กปลายแหลมที่ดูราวกับสามารถแยกภูเขาหรือผ่าร่างมังกร เท้าของมันหนาราวกับต้นไม้อายุมากกว่าร้อยปีและยังแหลมคมมาก

ผู้อมตะระดับเจ็ดในชุดคลุมฟ้ามองปูบึงตัวนี้และรู้สึกยินดี

เขาเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งวารี ส่วนปูบึงตัวนี้เป็นสัตว์อสูรบนเส้นทางแห่งวารีและปฐพี การฆ่ามันจะทำให้เขาได้รับทรัพยากรอมตะ

“แต่ปูบึงตัวนี้เป็นเพียงสัตว์อสูรเดียวดาย หากข้าเลี้ยงดูมันให้ดี มันอาจเติบโตขึ้นเป็นปูบึงบรรพกาลหรืออาจเป็นได้ถึงปูบึงแรกกำเนิด แต่หยุดฝันถึงสัตว์อสูรแรกกำเนิดไปก่อน มิติช่องว่างของข้าไม่สามารถรองรับสัตว์อสูรแรกกำเนิด อย่างไรก็ตามตอนนี้ข้าควรจับมันก่อนเป็นอันดับแรก”

เมื่อคิดได้เช่นนี้ผู้อมตะระดับเจ็ดในชุดคลุมฟ้าก็เริ่มโจมตีทันที

เขายื่นมือออกจากแขนเสื้อและเผยให้เห็นผิวสีขาวซีดกับนิ้วอันเรียวยาวของเขา

นิ้วทั้งสิบของเขาเคลื่อนไหวไปรอบๆอย่างงดงามและสร้างแสงหลากหลายสีขึ้น

นี่เป็นวิธีจัดการวิญญาณเฉพาะตัวของเขา

กลิ่นอายของวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนปะทุออกมาจากร่างกายของเขาและกระจายออกไปรอบๆ

ปูบึงไม่มีดวงตาแต่สัญชาตญาณสัตว์ป่าทำให้มันสัมผัสได้ถึงภัยคุกคาม

ปูบึงเร่งล่าถอย

เปลือกสีเหลืองทองของมันเริ่มจมลงสู่พื้นโคลน

แต่การจัดเตรียมของผู้อมตะระดับเจ็ดชุนคลุมฟ้าเสร็จสิ้นแล้ว ท่าไม้ตายอมตะของเขาถูกปลดปล่อยออกมา

คลื่นน้ำพุ่งเข้าโจมตีปูบึง

ปูบึงไม่สามารถหลบและถูกคลื่นซัดสาด แต่ร่างกายของมันยังไม่ขยับเขยื้อน

ริมฝีปากของผู้อมตะระดับเจ็ดชุดคลุมฟ้ายกตัวขึ้นเป็นรอยยิ้มแห่งชัยชนะ นิ้วทั้งสิบของเขาขยับอย่างรวดเร็วและทิ้งภาพติดตาเอาไว้เบื้องหลัง

นี่เป็นท่าไม้ตายอมตะที่ไม่ธรรมดา

ลูกพลัมแดงอมตะของเขาถูกใช้งานอย่างต่อเนื่อง คลื่นน้ำสีฟ้าอ่อนเปลี่ยนเป็นคลื่นน้ำสีน้ำเงินเข้มและมีพลังเพิ่มขึ้นสามเท่า

เกลียวคลื่นก่อตัวขึ้นภายใต้การชักใยของผู้อมตะระดับเจ็ด

ปูบึงไม่สามาถต่อต้าน ร่างกายที่ใหญ่โตของมันหมุนรอบตัวเองอย่างไม่สามารถควบคุม

ผู้อมตะระดับเจ็ดชุดคลุมฟ้าเคลื่อนไหวอีกครั้งและสร้างคลื่นยักษ์ขึ้น

“ตูม!”

คลื่นยักษ์พุ่งเข้าปะทะแผ่นหลังของปูบึง

เปลือกของปูบึงแข็งมากแต่ภายใต้พลังอำนาจของคลื่นยักษ์ มันกลับเกิดรอยแตกร้าวขึ้น

ปูบึงหมดสติลงทันที

ผู้อมตะระดับเจ็ดชุดคลุมฟ้าหัวเราะเสียงดัง เขายกนิ้วชี้ขึ้น

คลื่นน้ำปะทุขึ้นราวกับน้ำพุธรรมชาติและส่งร่างของปูบึงเคลื่อนที่เข้ามาหาผู้อมตะระดับเจ็ด

ผู้อมตะระดับเจ็ดเปิดทางเข้ามิติช่องว่างของตนและส่งปูบึงเข้าไป

“ผู้อมตะ! ผู้อมตะ!”

“ขอบคุณนายท่านผู้อมตะที่ช่วยหมู่บ้านของพวกเรา!”

“นายท่านผู้อมตะสามารถกำหราบสัตว์ประหลาดภูเขา!”

การต่อสู้ครั้งใหญ่ทำให้มนุษย์ในหมู่บ้านตกตะลึง

หลังการต่อสู้สิ้นสุดลง พวกเขาจึงตอบสนองด้วยการโห่ร้องและกราบไหว้

ผู้อมตะระดับเจ็ดในชุดคลุมฟ้าเผยรอยยิ้มบางขณะมองลงไปที่ผู้คนด้านล่าง

ปรากฏว่าระหว่างที่เขาต่อสู้กับปูบึง เขายังแบ่งความสนใจไปจัดการดินโคลนที่ถล่มจากภูเขา

“ดังคาด สมกับเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งวารีที่มีชื่อเสียงของภาคกลาง มู่หลิงหลาน” เป็นเพียงเวลานี้ที่เสียงสายหนึ่งดังลงมาจากก้อนเมฆด้านบน

ผู้อมตะระดับเจ็ดชุดคลุมฟ้าขยับนิ้วเก็บน้ำทั้งหมดกลับไป

จากนั้นเขาก็บินเข้าไปในกลุ่มเมฆเพื่อพบกับผู้อมตะอีกคน

ผู้อมตะผู้นี้อยู่ในชุดคลุมสีน้ำเงิน เขามีใบหน้ารูปสี่เหลี่ยม คิ้วหนา ดั้งจมูกสูง และดูเที่ยงธรรม

มู่หลิงหลานยิ้มและทักทาย “ผู้อาวุโสซือเก้อมาแล้ว”

ซือเก้อทักทายตอบ “ข้าพึ่งมาถึง แต่ผู้ใดจะคิดว่าข้าจะได้เห็นวิธีการกำหราบปูบึงของเจ้า”

มู่หลิงหลานโบกมืออย่างอ่อนน้อม “วิธีการของข้าเป็นเพียงกลเล็กๆสำหรับท่าน แต่ผู้อาวุโสซือเก้อ ข้าได้ยินว่าท่านได้รับคำสั่งจากวังสวรรค์ให้เข้าร่วมการต่อสู้ที่ภาคเหนือ?”

ซือเก้อพยักหน้า “ถูกต้อง มู่หลิงหลาน เจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน เหตุใดพวกเราไม่ไปพร้อมกัน”

มู่หลิงหลานตอบ “เป็นเกียรติสำหรับข้าที่ได้เดินทางร่วมกับผู้อาวุโส”

ดังนั้นทั้งสองจึงออกเดินทางพร้อมกัน

มนุษย์ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง พวกเขามองดูท้องฟ้าและถอนหายใจ

มู่หลิงหลานและซือเก้อพูดคุยกันตลอดทาง

แม้พวกเขาจะเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดเช่นเดียวกัน แต่ซือเก้ออาวุดสกว่า เขาผ่านภัยพิบัติใหญ่ไปแล้วสองครั้งขณะที่มู่หลิงหลานยังไม่ผ่านภัยพิบัติใหญ่ครั้งแรก ดังนั้นมู่หลิงหลานจึงขอคำแนะนำขณะที่ซือเก้อชี้แนะบางสิ่งกับเขา

อย่างไรก็ตามระหว่างทางซือเก้อกลับบินลงไปด้านล่างอย่างกะทันหันขณะที่มู่หลิงหลานลอยอยู่กลางอากาศ

มู่หลิงหลานไม่เข้าใจ ที่นี่ไม่ใช่จุดรวมตัว

ซือเก้อยิ้ม “ขอโทษด้วย ข้ามีบุตรชายชื่อเจิ้งอี้ เขาพึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ เขายังขาดประสบการณ์และยังเด็กมาก ข้าตั้งใจจะพาเขาไปเที่ยวที่ภาคเหนือด้วยเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์”

“เป็นเช่นนั้น” มู่หลิงหลานเข้าใจในที่สุด

ด้านล่างมีเมืองเล็กๆตั้งอยู่

ในโรงเตี้ยมแห่งหนึ่งมีนักเล่านิทานกำลังเล่านิทานเกี่ยวกับความยุติธรรมและความกล้าหาญ

“ดี ฆ่ามัน!” ท่ามกลางผู้ฟังมากมาย มีเด็กหนุ่มคิ้วหนาผู้หนึ่งแต่งตัวเหมือนชาวนา เขาปรบมืออย่างมีความสุขเมื่อได้ยินเรื่องราวของตัวเอกที่สังหารคนรวยและช่วยเหลือคนจน

เสียงกรีดร้องของเด็กหนุ่มทำให้ผ้าม่านสั่นสะเทือนเล็กน้อย

นักเล่านิทานตกใจและหยุดพูดชั่วคราว

ผู้ฟังพึมพำอย่างไม่มีความสุข “เจ้าจะกรีดร้องเพื่อสิ่งใด?”

“เสียงกรีดร้องของเจ้าแทบทำให้พวกเราตกใจกลัว!”

“เหตุใดต้องกรีดร้อง ฟังอย่างเงียบๆ มิฉะนั้นพวกเราจะไล่เจ้าออกไป เจ้าชาวนาตัวน้อย!”

ใบหน้าของเด็กหนุ่มกลายเป็นแดงก่ำ เขาเกาศีรษะและมองไปรอบๆด้วยความลำบากใจ “ขอโทษทุกท่านด้วย”

เด็กหนุ่มค่อยๆนั่งลง แต่ทันใดนั้นการแสดงออกของเขากลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน เขาผุดลุกขึ้นและทำให้โต๊ะพลิกคว่ำ นี่ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง

“เกิดสิ่งใดขึ้นอีก เจ้าเด็กบ้า!”

“เจ้าเด็กบ้า อยากเจ็บตัวงั้นหรือ?”

ผู้คนรอบๆโกรธมาก แต่ทันใดนั้นร่างของเด็กหนุ่มกลับส่องประกาบขึ้นขณะที่เขาพุ่งออกจากโรงเตี้ยมราวกับลูกศรและบินขึ้นไปบนท้องฟ้า

โรงเตี้ยมตกสู่ความโกลาหลครั้งใหญ่ ผู้คนแตกตื่นและส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจ

เด็กหนุ่มบินเข้าไปหาซือเก้อกับมู่หลิงหลานและป้องหมัดขึ้นทักทายอย่างสุภาพ

เขาเป็นบุตรของซือเก้อ ซือเจิ้งอี้

ผู้อมตะทั้งสามเดินทางต่อไปอีกไม่กี่วันก่อนจะบรรลุถึงเทือกเขาแห่งหนึ่ง

มีคฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังหนึ่งตั้งอยู่ที่นี่

มันเป็นศาลาที่งดงามที่แขวนกรงนกจำนวนมากเอาไว้ขณะเดียวกันก็มีเสียงนกร้องดังขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง

มันคือคฤหาสน์วิญญาณอมตะของนิกายบัวสวรรค์ ศาลานกขมิ้น

ซือเก้อพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นสิ่งนี้ “ข้าได้ยินมาว่าคฤหาสน์วิญญาณอมตะจะถูกส่งออกมา แต่ผู้ใดจะคิดว่าวังสวรรค์จะเลือกศาลานกขมิ้น นี่เป็นทางเลือกที่ดี”

มู่หลิงหลานกล่าวเสริม “นิกายบัวสวรรค์ถูกสร้างขึ้นโดยเทพอมตะบัวสวรรค์ พวกเขามีคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับสูงหลายหลัง แต่ดูเหมือนพวกเขาจะนำออกมาเพียงหลังเดียว”

ซือเจิ้งอี้ถามด้วยความสับสน “นิกายบัวสวรรค์มีศาลานกขมิ้น วังเย่หยาง และสระสวรรค์ นอกจากนี้พวกเขายังมีคฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังที่สี่อีกงั้นหรือ?”

มู่หลิงหลานยิ้ม “เสี่ยวอี้ เจ้าอาจไม่รู้ ในปัจจุบันนิกายบัวสวรรค์สามารถสร้างคฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังที่สี่ขึ้นมาแล้วแต่มันถูกเก็บเป็นความลับ”

ซือเจิ้งอี้ได้ยินเรื่องนี้และคิด ‘ผู้อาวุโสมู่หลิงหลานมาจากนิกายผีเสื้อจิตวิญญาณ นิกายนี้มีทักษะที่โดดเด่นด้านการรวบรวมข้อมูล มันไม่แปลกหากเขาจะรู้ความลับบางอย่าง แต่นิกายบัวสวรรค์มีคฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังที่สี่แล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่าตกใจจริงๆ’

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท