เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – ตอนที่ 1264

ตอนที่ 1264

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1264 กรีดร้อง

แปลโดย iPAT

หากมนุษย์เริ่มเดิมพันด้วยทุกสิ่ง อันตรายของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นโดยธรรมชาติ

แต่จ้าวผูไม่เต็มใจที่จะสู้จนตัวตาย เขาต้องยื้อเวลาเพื่อให้ได้รับชัยชนะ

ดังนั้นในช่วงเวลานี้จ้าวผูจึงกลายเป็นฝ่ายถูกจ้าวเหลียนหยุนและอวี๋อี้เย่ซือปราบปราม

อย่างไรก็ตามประสบการณ์ของจ้าวผูยังเหนือกว่าผู้อมตะวัยเยาว์ทั้งสองจากภาคกลาง

เขาลื่นไหลมาก แม้จ้าวเหลียนหยุนและอวี๋อี้เย่ซือจะพยายามทำทุกสิ่ง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถจับตัวเขา

เมื่อเวลาผ่านไปสถานการณ์ก็เริ่มเอนเอียงไปทางจ้าวผู

อวี๋อี้เย่ซือเป็นคนแรกที่ถูกโจมตีและหมดสติไปในที่สุด

“สหายของเจ้าอาจเสียชีวิตจากการเสียเลือด เจ้าคือรายต่อไป เจ้ามีเวลาไม่มาก เหตุใดเจ้าไม่โจมตีให้บ่อยขึ้น?” จ้าวผูหัวเราะ

จ้าวเหลียนหยุนรู้ว่าจ้าวผูกำลังยั่วยุนาง แต่นางก็ไม่สามารถสงบจิตใจและยิ่งกระวนกระวายใจมากขึ้นเรื่อยๆ

เลือดไหลออกมาจากดวงตาของนางมากขึ้น สายตาของนางกลายเป็นพร่ามัว

น่ารู้สึกหวาดกลัวมากโดยเฉพาะเมื่อเลือดเริ่มไหลออกมาจากรูขุมขนทั่วร่างของนาง

“บัดซบ!” อาการวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรงโจมตีจ้าวเหลียนหยุนอย่างต่อเน่อง ร่างกายของนางเริ่มสั่นคลอน

ในที่สุดการโจมตีระยะไกลของจ้าวผูก็ทำให้จ้าวเหลียนหยุนบินกลับหลังก่อนจะล้มลงบนพื้นและกลิ้งต่อไปอีกสามตลบ

จ้าวเหลียนหยุนพยายามยืนขึ้นแต่นางเสียเลือดมากเกินไปและแทบไม่เหลือเรี่ยวแรง

นางไม่สามารถแม้แต่จะประคองร่างกายของตนเอาไว้

“มันจบแล้ว” จ้าวผูเดินเข้าไปหาจ้าวเหลียนหยุนอย่างช้าๆ

เลือดยังไหลออกมาจากร่างกายของจ้าวเหลียนหยุนอย่างไม่หยุดยั้ง

ในไม่ช้ารอบตัวจ้าวเหลียนหยุนก็กลายเป็นบ่อเลือด

จ้าวเหลียนหยุนนอนอยู่ในบ่อเลือด น้ำตาไหลออกมาจากจาดวงตาของนางพร้อมกับเลือด

‘จบแล้วงั้นหรือ?’

‘ข้าจะล้มลงที่นี่งั้นหรือ?’

‘เลือด…ครั้งนี้ข้าไม่กลัวมันอีกแล้ว หงหยุน…’

จ้าวเหลียนหยุนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตอีกครั้ง

มันเป็นเหตุการณ์ระหว่างการต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งเจ้าเหนือหัวของภาคเหนือ

ในการต่อสู้จ้าวเหลียนหยุนถูกลูกศรยิงที่ต้นขา

เลือดไหลนอง

“ข้ากำลังจะตาย อา…เจ็บมาก! ข้ากำลังจะตาย!” จ้าวเหลียนหยุนกรีดร้องอยู่ในรถม้า

“อย่าร้อง คุณหนูเสี่ยวหยุน ท่านจะไม่ตาย นี่เป็นบาดแผลเล็กๆเท่านั้น” หม่าหงหยุนรักษาบาดแผลของนางและปลอบโยนไปพร้อมกัน

“เลือด…เลือดออกเยอะมาก! ข้าจะเวียนหัวทุกครั้งเมื่อเห็นเลือด! ข้าไม่เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้มาก่อน!” จ้าวเหลียนหยุนกรีดร้องไม่หยุด

“สำหรับคนเหนือ รอยแผลเป็นถือเป็นความรุ่งโรจน์และเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของพวกเรา!” หม่าหงหยุนกล่าว

จ้าวเหลียนหยุนกลอกตา “เจ้ารู้วิธีปลอบโยนผู้คนบ้างหรือไม่!? เห้อ…เหตุใดข้าถึงโชคร้ายนัก…”

“ฮ่าฮ่าฮ่า” หม่าหงหยุนหัวเราะเสียงดัง แต่นั่นกลับทำให้เขาเพิ่มพละกำลังขึ้นเล็กน้อย

จ้าวเหลียนหยุนกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด “อา…เบาๆ! เจ้าหัวเราะเยาะข้า ดูเหมือนเจ้าจะมีความสุขที่เห็นข้าเจ็บปวดใช่หรือไม่!?”

หม่าหงหยุนเร่งโบกมือแต่ยังไม่หยุดหัวเราะ “ข้าไม่ได้หัวเราะเยาะ ข้าเพียงรู้สึกว่าคุณหนูช่างน่ารักนัก ปกติท่านจะทำตัวราวกับคนแก่และดูน่าเกรงขาม แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าท่านเป็นเด็กสาวที่อายุน้อยกว่าข้า!”

“เจ้ากล้ายโสต่อหน้าข้างั้นหรือ!?” จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะระเบิดความโกรธออกมาแต่หม่าหงหยุนกลับยกมือขึ้นวางหน้าผากของนาง

จ้าวเหลียนหยุนตะลึง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง นางรู้สึกอบอุ่น

หม่าหงหยุนเพิกเฉยต่อทัศนคติของนาง “ไม่มีไข้แล้ว คุณหนูเสี่ยวหยุน ท่านอย่าใจร้อน มันไม่เป็นไรหากเราจะได้รับบาดเจ็บบ้าง แต่หากท่านยังกรีดร้องข้าจะหัวเราะเยาะท่านอีก”

ความทรงจำของจ้าวเหลียนหยุนจบลงตรงนี้

‘หัวเราะเยาะ?’

‘ตอนนี้เจ้าไม่ล้อเลียนข้าแล้วใช่หรือไม่?’

‘เจ้าเด็กบ้า…’

‘ข้าใช้เลือดทั้งหมดของข้าเพื่อช่วยเจ้าจริงๆ’

‘มันแปลกมากที่ข้ายอมตายเพื่อบางคน’

‘ถูกต้อง ต่อให้ตายข้าก็เต็มใจทำ!’

ความคิดนี้ดังขึ้นในใจของจ้าวเหลียนหยุน

“ตาย!” จ้าวผูตะโกนเสียงดังและแทงฝ่ามือที่แหลมคมออกไปข้างหน้า

หากจ้าวเหลียนหยุนถูกโจมตี หัวใจของนางจะเละเป็นเต้าหู้

แต่ในเวลานี้

รัศมีแสงพลันปะทุขึ้นบนร่างของจ้าวเหลียนหยุนอีกครั้ง

จ้าวผูไม่มีทางเลือกนอกจากปิดเปลือกตาลง

“นี่คือ…”

“แสงนี้ ทรงพลังมาก!”

“อ๊าก…”

จ้าวผูกรีดร้องออกมาอย่างน่าสังเวช

ร่างกายของเขาไม่สามารถขยัยเขยื้อนภายใต้แสงสว่าง ในไม่ช้าร่างกายของเขาก็หลอมละลายลงอย่างสมบูรณ์ราวกับหิมะที่ถูกความร้อน

ในช่วงเวลาสำคัญวิญญาณแห่งความรักแสดงพลังอำนาจของมันออกมาและสังหารจ้าวผูในครั้งเดียว!

…..

ภาคเหนือ โลกใต้บาดาน

“อิงอู๋เซี่ย เจ้าซ่อนอยู่ที่ใด?” ร่างมังกรดาบบรรพกาลของฟางหยวนคำรามด้วยเจตนาสังหาร

ด้วยการพึ่งพาท่าไม้ตายอมตะสัมผัสแห่งโชค ฟางหยวนมาถึงที่นี่อย่างรวดเร็ว

ภายใต้ความมืดมิด เมืองขนาดใหญ่ค่อยๆปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ

อิงอู๋เซี่ยยืนอยู่ที่ยอดอาคารสูง

“ข้ารอเจ้ามานานแล้ว” อิงอู๋เซี่ยกล่าว สายตาและน้ำเสียงของเขาสงบนิ่งมาก

“ฮืม! ซื่อหนิวตายแล้ว เจ้าต้องการสู้กับข้าด้วยคฤหาสน์วิญญาณระดับมนุษย์หลังนี้งั้นหรือ?” ฟางหยวนเย้ยหยัน

เมืองคลื่นทมิฬอาจดูใหญ่โตและสง่างาม แต่มันก็เป็นเพียงคฤหาสน์วิญญาณระดับมนุษย์เท่านั้น

แม้นิกายเงาจะมีวิญญาณอมตะมากมาย แต่พวกเขาก็ไม่สามารถยกระดับเมืองคลื่นทมิฬขึ้นเป็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะ

หากพวกเขาครอบครองคฤหาสน์วิญญาณอมตะ ฟางหยวนจะรู้สึกหวาดกลัว

แต่เมืองคลื่นทมิฬเป็นเพียงคฤหาสน์วิญญาณระดับมนุษย์ มันไม่เพียงพอที่จะทำให้ฟางหยวนรู้สึกถึงภัยคุกคาม

“หากเพิ่มข้าเข้าไปอีกคนจะเป็นอย่างไร?” ร่างที่สองปรากฏขึ้นเหนือเมืองคลื่นทมิฬ

คนผู้นี้เป็นผู้อมตะระดับหกแต่เขาเป็นคนที่ฟางหยวนคุ้นเคย

มันก็คือสายลับของนิกายเงาที่อยู่ในนิกายหลางหยา ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขน ผมที่หก!

สายตาของฟางหยวนมืดครึ้มลงเล็กน้อย

ฟางหยวนไม่แยแสความแข็งแกร่งของผมที่หก แต่ผมที่หกกับฟางหยวนต่างเป็นสมาชิกนิกายหลางหยา ทั้งสองมีข้อตกลงพันธมิตร

สิ่งนี้จะสร้างความยุ่งยากให้แก่ฟางหยวน หากประมาทเพียงเล็กน้อย เขาอาจพบกับฟันเฟือนของการละเมิดข้อตกลงพันธมิตรและได้รับบาดเจ็บ

อย่างไรก็ตามฟางหยวนได้เตรียมใจมาแล้วสำหรับการปรากฏตัวของผมที่หก

“ตาย!” ฟางหยวนสะบัดหางมังกรออกไป

เมืองคลื่นทมิฬถอยกลับอย่างรวดเร็วขณะเดียวกันท่าไม้ตายเขตแดนก็ถูกกระตุ้นใช้งานและส่งฝูงปลาหมึกยักษ์จำนวนมากออกมา

“สถานะของเจ้าทำให้ฟางหยวนลังเล เราเพียงต้องยื้อเวลาออกไปเล็กน้อยเพื่อกระตุ้นใช้ค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศอีกครั้ง” อิงอู๋เซี่ยตบไหล่ผมที่หก

“ท่านไปพักเถอะ ข้าจะจัดการทางนี้เอง” ผมที่หกกล่าว

อิงอู๋เซี่ยพยักหน้าและเข้าไปในเมืองคลื่นทมิฬ

ปลาหมึกยักษ์จำนวนมากถูกกวาดล้างโดยฟางหยวนอย่างรวดเร็ว พวกมันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

มังกรดาบบรรพกาลอาละวาดไปทั่วสนามรบ

เมืองคลื่นทมิฬอยู่ตรงหน้าแต่ฟางหยวนไม่กล้าส่งลมหายใจมังกรออกไปโดยประมาท หากผมที่หกถูกโจมตี ฟางหยวนจะพบกับความทุกข์ทรมานจากผลกระทบย้อนกลับ

ในเวลานั้นอิงอู๋เซี่ยและคนอื่นๆอาจฉวยโอกาสโจมตีซ้ำ

กลุ่มของอิงอู๋เซี่ยอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีนักแต่ฟางหยวนก็ไม่ได้มองโลกในแง่ดีเกินไป เขารู้ว่าตนเองมีความได้เปรียบแต่เขายังไม่มีโอกาสบดขยี้ศัตรู

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไป่หนิงปิงสามารถเปลี่ยนเป็นไป่เซียงขณะที่อิงอู๋เซี่ยมีท่าไม้ตายอมตะนำวิญญาณสู่ความฝันแม้มันจะไม่สมบูรณ์ก็ตาม

‘เส้นทางแห่งข้อมูล…เมื่อใดที่ข้าจะเป็นอิสระจากข้อจำกัดบนเส้นทางแห่งข้อมูล!’

ฟางหยวนรู้สึกหงุดหงิด

เส้นทางแห่งข้อมูลเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจของเขามาตลอด

ฟางหยวนพยายามอย่างหนักแต่เขายังไม่ได้รับโชคลาภในด้านนี้และไม่สามารถแก้ปัญหาดังกล่าว

ผมที่หกใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ในการต่อสู้ กลยุทธ์ของเขาไม่ได้มีไว้เพื่อคว้าชัยชนะ แต่มันมีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาพ่ายแพ้

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท