เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – ตอนที่ 1309

ตอนที่ 1309

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1309 ท้าประลอง

แปลโดย iPAT

ท้าประลอง?

การตัดสินด้วยการต่อสู้เป็นวิธีที่ดีกว่าการพูดคุย

แต่การต่อสู้ครั้งนี้แตกต่างจากการต่อสู้ของฝ่ายปีศาจ เมื่อสมาชิกบนเส้นทางสายปีศาจต่อสู้ มันคือการต่อสู้เพื่อความอยู่รอด สำหรับฝ่ายธรรมะ พวกเขาจะต่อสู้เพื่อตัดสินแพ้ชนะ เหตุใดต้องต่อสู้จนถึงความตาย? เพียงตัดสินแพ้ชนะก็เพียงพอแล้ว

นี่เป็นสาเหตุที่ฟางหยวนตั้งใจถ่วงเวลา เพื่อแก้ไขปัญหาของยอดเขาเยือกแข็ง ผู้อมตะตระกูลเซี่ยถูกบังคับให้ใช้วิธีนี้ในการตัดสิน

หากเป็นโลกมนุษย เมื่อการเจรจาล้มเหลว แต่ละประเทศจะส่งกองกำลังออกไป

มันคือสิ่งเดียวกัน

คำกล่าวของเซี่ยเฟยกุ้ยค่อนข้างน่าสนใจ เขาเป็นตัวแทนของตระกูลเซี่ยและยังกล่าวว่าวูอี้ไห่เป็นเกียรติของตระกูลวู ดังนั้นมันจึงถือเป็นการแข่งขันระหว่างสองตระกูล

ถ้อยคำเหล่านี้บังคับให้ฟางหยวนเข้าสู่ทางตัน หากเขาหลีกเลี่ยงการต่อสู้ มันจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของตระกูลวู เขาจะถูกปฏิบัติเหมือนคนขี้ขลาด

แต่สองผู้อมตะตระกูลเซี่ยไม่รู้ว่าฟางหยวนไม่ใช่วูอี้ไห่ เขาไม่สนใจชื่อเสียงของตนเองหรือชื่อเสียงของตระกูล

อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาแสดงเป็นวูอี้ไห่ เขายังต้องการเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝัน ดังนั้นเขาจึงต้องยอมรับคำท้าทายนี้

เขาคิดก่อนกล่าว “หากมันเป็นการท้าประลอง พวกเจ้ามีคนมากกว่า ข้าเป็นฝ่ายเสียเปรียบและจะพ่ายแพ้ในที่สุด”

การแสดงออกของเซี่ยเฟยกุ้ยเปลี่ยนไป

นี่เป็นคำกล่าวที่ชั่วร้าย

ในการประลอง หากฝ่ายหนึ่งได้รับชัยชนะด้วยการเอาเปรียบและไม่เป็นธรรม มันจะทำให้พวกเขาสูญเสียใบหน้า พวกเขาจะไม่สามารถเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกไป

ในความเป็นจริงเซี่ยเฟยกุ้ยไม่มีความตั้งใจที่จะต่อสู้สองต่อหนึ่ง เขาเร่งกล่าว “อย่ากังวล ข้าจะสู้กับเจ้าเพียงผู้เดียว”

ฟางหยวนแสดงออกด้วยความไม่เต็มใจ เขากล่าว “เมื่อท่านต้องการประลอง ข้าก็ไม่สามารถปฏิเสธ แต่เมื่อมันเป็นการประลอง มันย่อมต้องมีเวลาที่จำกัด ถูกต้อง เราไม่สามารถต่อสู้ได้ตลอดไป”

“เจ้าคิดอย่างไร?” เซี่ยเฟยกุ้ยถาม

การประลองต้องมีกฎ มันแตกต่างจากการต่อสู้แห่งชีวิตและความตาย

ฟางหยวนกล่าว “ท่านโจมตีและข้าป้องกัน ตราบเท่าที่ท่านสามารถทำลายการป้องกันของข้าได้ภายในสิบกระบวนท่า ข้าจะเป็นฝ่ายแพ้”

เปลือกตาของเซี่ยเฟยกุ้ยกระตุก เขาตอบ “ตกลง”

เซี่ยจ้าวโม่ขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ แต่เนื่องจากเซี่ยเฟยกุ้ยตกลงไปแล้ว พวกเขาต้องประนีประนอมขณะที่เขายังมั่นใจในความสามารถของเซี่ยเฟยกุ้ย

ยอดเขาเยือกแข็งไม่ใช่สถานที่สำหรับการต่อสู้ การทำลายมันจะทำให้ภารกิจล้มเหลว

ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงบินไปยังยอดเขารกร้างแห่งหนึ่ง

ฟางหยวนยืนอยู่ตรงข้ามเซี่ยเฟยกุ้ย

“เริ่ม!” เซี่ยเฟยกุ้ยแทบรอไม่ไหว เขาต้องการมอบบทเรียนให้กับฟางหยวนอย่างรวดเร็วที่สุด

ท่ามกลางผู้อมตะระดับเจ็ดของภาคใต้ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียง ในตระกูลวู นอกจากวูหยง ผู้อมตะระดับเจ็ดที่แข็งแกร่งที่สุดคือวูอวี้ป๋อ ขณะที่วูอี้ป๋อเหนือกว่าเซี่ยเฟยกุ้ยเพียงเล็กน้อย ตอนนี้วูอวี้ป๋อปิดประตูฝึกตน แล้วเซี่ยเฟยกุ้ยจะต้องกลัวผู้ใด?

กล่าวได้ว่าการสนับสนุนเยี่ยนฮวงของตระกูลเซี่ยถือเป็นการเคลื่อนไหวที่ฉลาด

ในแง่ของพลังการต่อสู้ เยี่ยนฮวงไม่สามารถแข่งขันกับวูอวี้ป๋อ แต่ตระกูลเซี่ยสามารถทำลายท่าไม้ตายอมตะของวูอวี้ป๋อ นี่ทำให้วูอวี้ป๋อตกลงสู่กับดักและพ่ายแพ้ในที่สุด

“รอก่อน” ฟางหยวนกล่าว

เซี่ยเฟยกุ้ยพร้อมต่อสู้แต่คำกล่าวของฟางหยวนทำให้เขารู้สึกอึดอัด เขาตะโกน “วูอี้ไห่ เจ้าต้องการสิ่งใดอีก?”

“นี่คือการประลอง เราจะทำแบบลวกๆไม่ได้ ถูกต้องหรือไม่?” ฟางหยวนยิ้ม

เซี่ยเฟยกุ้ยคิด ‘ฮืม การมอบบทเรียนให้เจ้าคือสิ่งสำคัญที่สุด!’

เขาคิดเช่นนี้แต่เขาไม่ได้กล่าวออกมา

ผู้อมตะมีวิธีบันทึกฉากเหตุการณ์ต่างๆเช่นเดียวกับการต่อสู้ระหว่างเยี่ยนฮวงกับวูอวี้ป๋อ หลังจากการต่อสู้จบลง มันก็ถูกเผยแพร่ออกไป

เซี่ยเฟยกุ้ยโกรธจัด “เจ้าต้องการสิ่งใด?”

“ง่ายมาก หากข้าชนะ สถานะเดิมของยอดเขาเยือกแข็งจะยังอยู่ มันจะเป็นของเรา” ฟางหยวนกล่าว

“เราจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?” เซี่ยจ้าวโม่กังวล

ตระกูลเซี่ยตั้งใจสร้างปัญหา พวกเขามีทายาทของจางซานเฟิงและมีเหตุผลที่ได้เปรียบ ตระกูลวูถูกบังคับให้อยู่ในสถานะที่ไม่สามารถโต้ตอบ ดังนั้นหากตระกูลเซี่ยยอมรับเงื่อนไขนี้ พวกเขาจะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ มันไม่ใช่เรื่องฉลาด

เซี่ยเฟยกุ้ยกัดฟัน “ข้าไม่ได้โง่”

ในเวลาเดียวกันเขาก็ปฏิเสธ “ไม่มีทาง!”

“เช่นนั้นข้าก็ไม่สามารถต่อสู้ การประลองครั้งนี้ถือเป็นโมฆะ” ฟางหยวนโบกมือและหันหลังเดินออกไป

พวกเขาออกจากยอดเขาเยือกแข็งและเดินทางมาถึงที่นี่หลังจากประสบปัญหามากมายแต่การต่อสู้จะยกเลิกอย่างง่ายดายเช่นนี้งั้นหรือ?

ล้อเล่นหรือไม่?

ใบหน้าของเซี่ยเฟยกุ้ยกลายเป็นเคร่งขรึม “วูอี้ไห่ออกไปโดยไม่ต่อสู้ นี่คือความกล้าหาญและศักดิ์ศรีของตระกูลวูงั้นหรือ?”

ฟางหยวนหยุดเคลื่อนไหว

เซี่ยเฟยกุ้ยเผยรอยยิ้มเย็นชา

ฟางหยวนหันหลังกลับและกล่าวอย่างไร้ยางอาย “ท่านกล่าวผิดแล้ว ข้าไม่ได้หลบหนีการประลอง แต่พวกท่านไม่ยอมรับเงื่อนไขของข้า เนื่องจากการเจรจาล้มเหลว มันไม่ได้หมายความว่าข้ากำลังวิ่งหนี ดูสิ ข้ากระทั่งเป็นคนเลือกสถานที่สำหรับการประลองครั้งนี้ด้วยตนเอง”

“เจ้า!” คำกล่าวเหล่านี้ทำให้เซี่ยจ้าวโม่ที่เฝ้าดูอยู่ด้านข้างรู้สึกโกรธ

ดวงตาของเซี่ยเฟยกุ้ยแทบสามารถพ่นไฟออกมา

เขามองฟาหงยวนและคิดว่าตระกูลวูผลิตคนไร้ยางอายเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไร? โดยปกติผู้อมตะตระกูลวูมักใจร้อนและกระตือรือร้นที่จะต่อสู้เพื่อแก้ไขปัญหามิใช่หรือ? ความกล้าหาญและจิตวิญญาณของตระกูลวูอยู่ที่ใด? มันอยู่ที่ใด!?

แต่ในไม่ช้าเซี่ยเฟยกุ้ยก็นึกถึงที่มาของฟางหยวน

แท้จริงแล้ววูอี้ไห่ไม่ใช่ผู้อมตะตระกูลวูตั้งแต่แรกเริ่ม เขาเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษของทะเลตะวันออก

ผู้บ่มเพาะสันโดษที่ไร้ยางอาย!

ฟางหยวนเผยรอยยิ้มอย่างมีความหมาย “เนื่องจากเราไม่สามารถประลอง ดังนั้นเรามาพูดคุยและดื่มชากันต่อเถอะ ข้าต้องบอกว่าชาสี่ฤดูของท่านเลิศรสมาก ข้าแทบไม่สามารถอดใจรอได้อีก”

“ดื่มชาอันใด!? พูดคุยสิ่งใด!?” เซี่ยเฟยกุ้ยอยากบีบคอฟางหยวนให้ตายไปเดี๋ยวนี้ หน้าอกของเขาร้อนรุ่มไปด้วยความโกรธ

เซี่ยจ้าวโม่มองเซี่ยเฟยกุ้ยด้วยความขมขื่นและคิด ‘ท่านไม่ใช่คนที่มอบใบชาให้เขาก่อนหน้านี้งั้นหรือ?’

ฟางหยวนพึมพำกับตนเองก่อนกล่าว “เช่นนี้เป็นอย่างไร? หากข้าชนะ ภายในห้าปีนี้ ยอดเขาเยือกแข็งจะยังคงสถานะเดิม พวกท่านจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับมันอีกในช่วงเวลานี้ นี่เป็นอย่างไร?”

“นี่…” เซี่ยจ้าวโม่เริ่มไตร่ตรองเกี่ยวกับมัน

ข้อเสนอนี้ของฟางหยวนสามารถยอมรับได้มากกว่าเงื่อนไขก่อนหน้า

‘แต่มันอาจเป็นแผนการของวูอี้ไห่’ เซี่ยจ้าวโม่ยังคิด

แต่เซี่ยเฟยกุ้ยตอบรับทันที “ตกลง ข้าเห็นด้วย!”

เซี่ยจ้าวโม่ตกตะลึงและเร่งส่งสัญญาณ “ท่านเซี่ยเฟยกุ้ย ท่าน…”

“เราจะไม่เสียเวลากับคนสารเลวผู้นี้อีก ข้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้แต่เพียงผู้เดียว มันไม่เกี่ยวกับเจ้า!” เซี่ยเฟยกุ้ยตอบอย่างเฉียบขาด เขามีความมั่นใจมาก

เซี่ยจ้าวโม่เผยรอยยิ้มขมขื่น

‘หากท่านเซี่ยเฟยกุ้ยพ่ายแพ้ แม้เขาจะรับผิดชอบ แต่ข้าจะหนีจากมันได้งั้นหรือ? ตระกูลส่งข้ามาที่นี่เพื่อช่วยแนะนำเขามิใช่หรือ? เห้อ…’ เซี่ยจ้าวโม่ลอบถอนหายใจอยู่ภายใน

เขาถ่ายทอดเสียง “เช่นนั้นข้าก็หวังว่าท่านจะได้รับชัยชนะ”

“พวกท่านทั้งสองแน่ใจหรือไม่?” ฟางหยวนถาม

วิธีนี้จะช่วยยื้อเวลาให้กับตระกูลวู

แต่หลังจากห้าปี ฟางหยวนจะจัดการเรื่องของเขาให้เสร็จ เมื่อเวลานั้นมาถึง เขายังต้องสนใจตระกูลวูอีกงั้นหรือ?

“เราแน่ใจ” คราวนี้เซี่ยเฟยกุ้ยไม่ได้กล่าวแต่เป็นเซี่ยจ้าวโม่

“ตกลง” ฟางหยวนค่อยๆบินกลับไปและกล่าวอย่างไร้ยางอาย “แท้จริงแล้วข้าไม่ต้องการทะเลาะวิวาท มันจะทำลายความสัมพันธ์ที่ดีของเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่เนื่องจากท่านเซี่ยเฟยกุ้ยยืนกรานในนามของชาสี่ฤดู ข้าก็คงต้องยอมรับคำขอของท่าน”

“หยุดพูดถึงชานั่นแล้วมาต่อสู้!” เซี่ยเฟยกุ้ยตะโกนด้วยดวงตาแดงก่ำ

ก่อนที่เขาจะกล่าวจบประโยค ร่างของฟางหยวนก็ส่องประกายขึ้นและเปลี่ยนเป็นเต่าพยากรณ์ไปแล้ว

เซี่ยเฟยกุ้ยตะลึง ก่อนหน้านี้ฟางหยวนใช้เวลาไปกับเรื่องไร้สาระมากมาย แต่ตอนนี้เขากลับเริ่มเข้าสู่การต่อสู้อย่างรวดเร็ว มันตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง

“เต่าพยากรณ์อีกครั้ง!” เซี่ยจ้าวโม่ขมวดคิ้ว

ร่างใหญ่โตของเต่าพยากรณ์ยึดครองพื้นที่เกือบทั้งหมดของยอดเขา

มันเป็นเต่าสีเข้ม กระดองของมันส่องประกายระยิบระยับและเต็มไปด้วยลวดลายนับพันนับหมื่นที่ทำให้เซี่ยจ้าวโม่รู้สึกเวียนศีรษะเมื่อมองดู ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องหยุดมองมัน

เซี่ยเฟยกุ้ยไม่ได้คาดหวังว่าฟางหยวนจะใช้ท่าไม้ตายอมตะตั้งแต่แรก

โดยปกติผู้อมตะจะตรวจสอบกันเป็นอันดับแรก แต่ฟางหยวนกลับข้ามขั้นตอนนี้และใช้ท่าไม้ตายอมตะออกมาทันที

‘กระดองของมันแสดงให้เห็นถึงพลังป้องกันที่แข็งแกร่งของเต่าพยากรณ์ ไม่แปลกใจเลยที่เขาเลือกวิธีนี้’ เซี่ยจ้าวโม่ขมวดคิ้วลึก

‘ข้าควรทำอย่างไร?’ เซี่ยเฟยกุ้ยลังเล เขาไม่รู้ว่าวูอี้ไห่มีความเชี่ยวชาญด้านใด แต่ฟางหยวนรู้ว่าเซี่ยเฟยกุ้ยชำนาญสิ่งใด

เซี่ยเฟยกุ้ยลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเริ่มโจมตี

ครั้งแรก

เขายกกำปั้นขึ้นและกระโดดขึ้นสู่ท้องฟ้า

หมัดของเขาส่งหมัดแสงสีขาวพุ่งเข้าโจมตีเต่าพยากรณ์โดยตรง

ท่าไม้ตายอมตะหมัดแสงเหินเวหา!

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท