เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – ตอนที่ 1319

ตอนที่ 1319

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1319 แข่งขันท่องบทกวี

แปลโดย iPAT

“บทกวีที่ดี” เทพธิดาเถียนลู่หัวเราะ “โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย ข้าคิดว่ามันต้องกล่าวถึงข้าอย่างแน่นอน ฮ่าฮ่า”

นางทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง

หลุนเฟยเผยรอยยิ้มขมขื่นและนั่งลง “โปรดอย่าสนใจบทกวีที่หยาบคายของข้า”

“หลุนเฟย เจ้าถ่อมตัวเกินไป เอาล่ะ ข้าก็มีบทกวีเช่นกัน” ลั่วมู่ซือกล่าว

“โอ้ เช่นนั้นก็ขอให้เราได้ฟังมัน” เฉียวซื่อหลิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ลั่วมู่ซือเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะท่องบทกวีอย่างช้าๆ

ปีนภูเขาเพื่อแสวงหาความเป็นอมตะ

อันตรายอยู่ในทุกย่างก้าว

ละอองฝุ่นลอยคละคลุ้งเหมือนแสง

วิญญาณความมืดแฝงอยู่ในหัวใจ

ความฝันดั่งหยกทอง

พันปีแห่งความเหงา

ห้าภูมิภาคและเก้าสวรรค์

ทุกสิ่งอยู่ในลมหายใจเดียวกัน

แนวคิดและจินตนาการในบทกวีนี้ทำให้กลุ่มผู้อมตะต้องขบคิดอย่างระมัดระวัง

อันตรายอยู่ในทุกย่างก้าว ผู้อมตะจำเป็นต้องจัดการภัยพิบัติและบ่มเพาะอย่างยากลำบาก พวกเขาต้องทุ่มเทความพยายามในการจัดการมิติช่องว่างของตน มันเหมือนกับการปีนภูเขา ยิ่งสูงก็ยิ่งอันตราย

ละอองฝุ่นลอยคละคลุ้งเหมือนแสง ความหมายคือเวลามักผ่านไปอย่างรวดเร็ว มนุษย์ก็เหมือนกับฝุ่นที่ลอยอยู่

วิญญาณความมืดแฝงตัวอยู่ในหัวใจ บนพื้นผิวมันหมายถึงผู้อมตะที่เก็บวิญญาณอมตะและวิญญาณระดับมนุษย์ไว้ในมิติช่องว่าง แต่ผู้อมตะในที่นี่ล้วนมีภูมิหลังที่ลึกซึ้ง ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถดื่มด่ำกับความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

วิญญาณความมืดหมายถึงความพ่ายแพ้ ความล้มเหลว การประนีประนอม ความผิดหวัง และความรู้สึกด้านลบทั้งหมด

มนุษย์คิดว่าผู้อมตะมีชีวิตที่ดีแต่ผู้อมตะต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากที่พวกเขาไม่รู้

ผู้อมตะต้องอดทนต่อแรงกดดันมหาศาลในการบ่มเพาะของตน มันหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับพวกเขาที่จะเกิดความรู้สึกในแง่ลบ แม้แต่เทพอมตะหรือเทพปีศาจก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ความฝันเหมือนหยกทอง พันปีแห่งความเหงา มันหมายถึงความมั่งคั่งทุกชนิดเป็นเพียงเรื่องผิวเผินเช่นความฝัน เมื่อเวลาผ่านไป ความรัก ความเกลียดชัง และความรู้สึกทั้งหมดจะหายไป มันแสดงให้เห็นว่าบทกวีมองการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างเฉยเมย

ประโยคสุดท้าย ห้าภูมิภาคและเก้าสวรรค์ ทุกสิ่งอยู่ในลมหายใจเดียว มันเต็มไปด้วยพลังอำนาจ ความยิ่งใหญ่ และอีกมากมาย ตราบเท่าที่มนุษย์ยังมีลมหายใจเหลืออยู่ พวกเขาก็ยังมีชีวิต เมื่อสูญเสียลมหายใจ พวกเขาจะตาย ผู้คนต่างดิ้นรนและต่อสู้เพื่อลมหายใจเดียว ทุกคนพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อสนับสนุนตนเอง

เขาท่องบทกวีช้าๆก่อนจะเร่งความเร็วขึ้น นี่ทำให้ผู้ฟังค่อยๆคล้อยตาม

ชั่วขณะหนึ่งศาลาตกสู่ความเงียบ เหล่าผู้อมตะค่อยๆขบคิดเกี่ยวกับมัน

เฉียวซื่อหลิวคิดกับตนเอง ‘แปลก จากความเข้าใจของข้าเกี่ยวกับหลิวมู่ซือ เขาสามารถสร้างบทกวีนี้ได้อย่างไร เขาอาจขโมยผลงานของบางคนมา ฮืม เขาไม่ได้บอกว่ามันเป็นผลงานของเขา!’

ภายนอกลั่วมู่ซือดูสงบนิ่งและนั่งดื่มชาอย่างเงียบๆ แต่รอยยิ้มบนริมฝีปากของเขากลับเผยร่องรอยบางอย่างออกมา

เฉียวซื่อหลิวลอบเย้ยหยันแต่ไม่ได้เปิดเผยลั่วมู่ซือ

จากนั้นนางก็หันหน้าไปทางฟางหยวน

การแสดงออกของฟางหยวนแปลกประหลาดมาก

‘นี่คือบทกวีของฉีจื่อ เป็นไปได้อย่างไร!? ไม่ใช่ว่าถ้ำสวรรค์ของปีศาจอมตะฉีจื่อจะปรากฏขึ้นเมื่ออาณาจักรแห่งความฝันเฟื่องฟูในสงครามห้าภูมิภาคงั้นหรือ?’

‘แปลกมาก!’

ปีศาจอมตะฉีจื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญจากอดีตกาล เขาเป็นผู้อมตะระดับแปดที่ทรงพลังและเคยต่อสู้กับเทพปีศาจไร้ขอบเขต ผลคือชนะหนึ่งครั้ง เสมอหนึ่งครั้ง และแพ้หนึ่ง

แน่นอนว่าเวลานั้นเทพปีศาจไร้ขอบเขตยังไม่บรรลุระดับเก้า

และในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย เทพปีศาจไร้ขอบเขตบรรลุระดับเก้าเรียบร้อยแล้ว แต่การต่อสู้ยังดำเนินไปถึงเก้าวันเก้าคืนก่อนที่ฝ่ายหลังจะพ่ายแพ้ อย่างไรก็ตามเทพปีศาจไร้ขอบเขตไม่ได้สังหารปีศาจอมตะฉีจื่อและปล่อยเขาไป

ในเวลานั้นเทพปีศาจไร้ขอบเขตกล่าวว่า “เจ้าเป็นศัตรูตัวฉกาจของข้า แต่หากไม่มีเจ้า ข้าก็คงไม่บ่มเพาะอย่างสิ้นหวังถึงเพียงนี้ เจ้ามีส่วนผลักดันให้ข้าก้าวเข้าสู่ระดับปัจจุบัน”

หลังจากได้รับการยอมรับและยกย่องจากเทพปีศาจไร้ขอบเขต ชื่อของปีศาจอมตะฉีจื่อก็ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์

เขาทิ้งถ้ำสวรรค์ไว้ให้คนรุ่นหลังและมันยังอยู่มาจนถึงปัจจุบัน

ในชีวิตแรกของฟางหยวน อาณาจักรแห่งความฝันจำนวนมากปรากฏขึ้นในสงครามห้าภูมิภาค หลังจากกำแพงภูมิภาคหายไป การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ดังกล่าวทำให้ปราณสวรรค์พิภพเกิดความปั่นป่วน นี่ทำให้ถ้ำสวรรค์ที่ซ่อนอยู่มากมายปรากฏสู่โลกภายนอก

ถ้ำสวรรค์ของปีศาจอมตะฉีจื่อเผยตัวออกมาในสถานการณ์นี้

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทันทีที่มันปรากฏขึ้น มันจะทำให้เกิดความโกลาหลมากเพียงใด

‘มันคือบทกวีของฉีจื่อที่ถูกจารึกไว้ในถ้ำสวรรค์ของเขา ลั่วมู่ซือรู้จักบทกวีนี้ได้อย่างไร?’

‘เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาเคยเข้าไปในถ้ำสวรรค์ฉีจื่อมาก่อน!’

ความคิดของฟางหยวนค่อนข้างว้าวุ่น

ถ้ำสวรรค์ฉีจื่อมีมรดกที่แท้จริงระดับเดียวกับของโป้ชิงอยู่ภายใน กระทั่งไห่ฟานก็ยังไม่สามารถแข่งขัน

‘หากข้าได้รับมรดกที่แท้จริงนี้…’

‘ข้าจะได้รับมรดกที่แท้จริงของฉีจื่อด้วยการฆ่าลั่วมู่ซือผู้นี้หรือไม่?’

เจตจนาสังหารเกิดขึ้นในใจของฟางหยวนอีกครั้ง

โดยไม่รู้ความคิดของฟางหยวน ลั่วมู่ซือชำเลืองมองฟางหยวนด้วยใบหน้าท้าทาย “ข้าสงสัยว่าท่านวูอี้ไห่มีผลงานที่ยอดเยี่ยมหรือไม่? เรากำลังรออยู่”

“นั่นเป็นเรื่องปกติ” หลุนเฟยเร่งกล่าว “ต้นกำเนิดของท่านวูอี้ไห่ไม่ธรรมดา เขามีประสบการณ์มากมายและยิ่งไปกว่านั้นทะเลตะวันออกยังมีทรัพยากรมากมาย ข้าคงไม่สามารถเปรียบเทียบความสำเร็จด้านวิชาการกับท่านวูอี้ไห่”

ทั้งสองยกย่องฟางหยวนด้วยถ้อยคำที่ไพเราะแต่มันเต็มไปด้วยเจตนาร้าย

เฉียวซื่อหลิวตระหนักถึงเรื่องนี้ แต่นางไม่ได้ปกป้องฟางหยวนและยังสนับสนุน “ข้าอยากฟังบทกวีของท่านจริงๆ ข้าแน่ใจว่ามันต้องน่าสนใจและพิเศษอย่างแน่นอน”

“ถูกต้อง”

ฟางหยวนถูกกดดันอยู่ชั่วครู่ เขาถูจมูกและเผยรอยยิ้มขมขื่น “สหาย พวกท่านประเมินข้าสูงเกินไป ข้าจะมีบทกวีได้อย่างไร ข้าไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไร?”

“วูอี้ไห่ เจ้าถ่อมตนเกินไป!” ลั่วมู่ซือหัวเราะ

ฟางหยวนยักไหล่ “ข้ากล่าวเรื่องจริง ข้าไม่รู้กระทั่งว่าพวกเราต้องท่องบทกวีเพื่อชื่นชมดวงจันทร์”

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น วูอี้ไห่ เหตุใดเจ้าไม่สร้างมันขึ้นมาตอนนี้ มันต้องเป็นผลงานชั้นยอดอย่างแน่นอน อย่ากังวล หากมันต้องใช้เวลาอยู่บ้าง เราทุกคนก็ยินดีที่จะรอ” หลุนเฟยไม่ปล่อยโอกาสโจมตีฟางหยวน

ฟางหยวนถอนหายใจ

แน่นอนว่าเขามีบทกวีมากมายอยู่ในหัว

พวกมันเพียงพอที่จะจัดการผู้อมตะเหล่านี้

แต่…

แต่แล้วอย่างไร?

ฟางหยวนมองไปรอบๆ

ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยรักเฉียวซื่อหลิวโดยธรรมชาติ พวกเขาถือว่าฟางหยวนเป็นคู่แข่งที่น่ารังเกียจ ทั้งคู่ตกลงร่วมมือกันโดยปริยายเพื่อเอาชนะฟางหยวน มันจะมีสิ่งใดดีขึ้นที่จะต่อสู้กับผู้แพ้?

เทพธิดาเถียนลู่เป็นสหายที่ดีที่สุดของเฉียวซื่อหลิวและทำงานหนักเพื่อช่วยเฉียวซื่อหลิว สำหรับคนรักของนาง เขาไม่กล่าวสิ่งใดและจิบชาอยู่อย่างเงียบๆ นี่เป็นแสดงให้เห็นถึงความฉลาดของเขา

ด้านเฉียวซื่อหลิว…

เทพธิดาผู้นี้มีทั้งรูปลักษณ์และภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ นางยังเป็นหนึ่งในสามผู้อมตะหญิงที่งดงามที่สุดของภาคใต้ นางย่อมมีความภาคภูมิใจโดยธรรมชาติ

ตระกูลเฉียวอาจสั่งให้นางเข้าหาฟางหวนแต่นางมีวิธีการของตนเอง

นางวางแผนจัดงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน ไม่เพียงรายละเอียดเล็กๆเรื่องการจัดที่นั่ง แต่นางยังพาสหายสนิทมาช่วยสนับสนุนและสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือนางเชิญหลุนเฟยและลั่วมู่ซือมาด้วย

เมื่อชายสองคนแข่งขันกันเพื่อแย่งหญิงงาม แม้นางจะเป็นหมู พวกเขาก็ต้องคิดว่านางยอดเยี่ยม มันจะทำให้เกิดการแข่งขันและผู้ชนะจะได้ชื่นชมหมูตัวนี้

มันคือการทำให้ตัวนางมีคุณค่ามากขึ้น

เฉียวซื่อหลิวตระหนักถึงตรรกะนี้ ดังนั้นนางจึงจัดงานนี้ขึ้นมาเพื่อกระตุ้นความคิดของฟางหยวน เมื่อฟางหยวนเริ่มไล่ตามนาง นางก็จะตกลงและกลายเป็นภรรยาของฟางหยวน

หากเป็นวูอี้ไห่ตัวจริง เขาอาจตกหลุมพรางไปแล้ว

น่าเสียดายที่คนที่นางกำลังเผชิญหน้าอยู่คือฟางหยวน

ฟางหยวนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลวูและตระกูลเฉียวรวมถึงแผนการของตระกูลเฉียว

ด้วยความเข้าใจนี้ ฟางหยวนจึงมีข้อได้เปรียบและสามารถเลือกกลยุทธ์ ขณะที่ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยเป็นเพียงตัวตลกริมถนน

ผู้อมตะทั้งหมดมองฟางหยวนและสร้างแรงกดดันให้เขา

‘ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยต้องการให้ข้าอับอาย เฉียวซื่อหลิวต้องการให้ข้ายอมรับการท้าทาย บางทีนางอาจไม่พอใจเล็กน้อย เพราะความงามนี้ น้ำทะเลยังหยาบคายเกินไป’

ฟางหยวนคิดก่อนกล่าว “เช่นนั้นข้าก็จะท่องบทกวี โปรดอย่าหัวเราะ”

“พวกเรากำลังฟังอยู่!”

“พวกเรารออยู่นานแล้ว!”

ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ในเวลาต่อมาพวกเขาก็ได้ยินบทกวีของฟางหยวน

“โอ้ ทะเลกว้างใหญ่ เจ้าถูกสร้างขึ้นมาจากน้ำ”

“โอ้ เจ้าม้า เจ้ามีสี่ขา”

“โอ้ คนงาม เจ้ามีดวงตาและปาก”

บทกวีจบลงเพียงเท่านี้

ทั้งศาลาเงียบกริบ!

การแสดงออกของทุกคนดูเหมือนแข็งทื่อ

แม้แต่เฉียวซื่อหลิวและเทพธิดาเถียนลู่ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

‘นี่ นี่ นี่…นี่มันเรื่องบัดซบใด!?’

‘นี่คือบทกวีงั้นหรือ? ขยะ!’

‘วูอี้ไห่เป็นคนป่าเถื่อนจริงๆ’

‘นี่มันเรื่องไร้สาระอันใด!? ชื่นชมดวงจันทร์ ท่องบทกวี มันเป็นเหตุการณ์ที่สง่างาม แต่ตอนนี้มันพังทลายลงอย่างสมบูรณ์!’

กลุ่มผู้อมตะกรีดร้องอยู่ภายใน

ฟางหยวนยิ้มและมองเฉียวซื่อหลิว “ข้าสงสัยว่าเทพธิดาซื่อหลิวพอใจหรือไม่?”

‘พอใจ? เจ้าต้องบ้าไปแล้ว’

‘เจ้ายังกล้าถามคำถามนี้อีกงั้นหรือ? เจ้าช่างอุกอาจนัก!’

ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยคำรามอยู่ในใจแต่ภายนอกพวกเขายังสงบนิ่ง

ศาลายังเงียบเช่นเดิม

“อา…ฮ่าฮ่า…” เฉียวซื่อหลิวหัวเราะแม้จะฟังดูเหมือนถูกบังคับก็ตาม “บทกวีนี้พิเศษจริงๆ บอกตามตรง…ข้าไม่เคยได้ยินบทกวีเช่นนี้มาก่อน มันคู่ควรกับการที่ท่านเป็นผู้สร้างสรรค์จริงๆ…ตอนนี้เมื่อข้าพิจารณาอย่างรอบคอบ มันค่อนข้างตลกจริงๆ”

ลั่วมู่ซื่อ “…”

หลุนเฟย “…”

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท