เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – ตอนที่ 1308

ตอนที่ 1308

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1308 หน้าด้าน

แปลโดย iPAT

ฟางหยวนราวกับไม่สังเกตเห็น เขายังยิ้ม “วรรคแรก ข้าได้ยินไม่ชัดเจน”

เซี่ยเฟยกุ้ยอธิบาย

ฟางหยวนพยักหน้า “และวรรคที่สอง…”

เซี่ยเฟยกุ้ยขมวดคิ้ว

ฟางหยวนกล่าวต่อ “ข้าได้ยินไม่ชัดเช่นกัน”

เซี่ยเฟยกุ้ยกล่าวซ้ำด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “มีจุดใดอีกหรือไม่?”

“วรรคที่สาม…” ฟางหยวนกล่าว

ดวงตาของเซี่ยเฟยกุ้ยแทบหลุดออกมาจากเบ้า เขากล่าว “ขอโทษด้วย แต่เจ้าไม่ได้ยินสามวรรคแรกใช่หรือไม่?”

“ท่านเข้าใจผิดแล้ว” ฟางหยวนโบกมือ “วรรคที่สาม…”

“ข้าได้ยินอย่างชัดเจน”

การแสดงออกของเซี่ยจ้าวโม่กลายเป็นมืดครึ้ม

คิ้วของเซี่ยเฟยกุ้ยกระตุก ความโกรธปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “แล้วเจ้าต้องการสิ่งใดอีก?”

ฟางหยวนกล่าว “แท้จริงแล้ววรรคที่สี่…”

เซี่ยเฟยกุ้ยโบกมือ “ข้าจะพูดอีกครั้ง ตั้งใจฟังให้ดี”

เขากล่าวมันอีกครั้ง คราวนี้เขาพูดช้าๆทีละคำอย่างชัดเจน

ฟางหยวนยืนขึ้นและป้องหมัดอีกครั้ง

เซี่ยเฟยกุ้ยมึนงง เขารู้สึกสังหรณ์ร้ายแต่เขายังต้องป้องมือตอบ

เขากล่าวอย่างใจเย็น “ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่?”

“ชัดเจน ขอบคุณที่อธิบาย ตอนนี้ทุกอย่างดูมีเหตุมีผล โอ้ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น” ฟางหยวนตบหน้าผากของตนเองก่อนจะนั่งลง

“ดังนั้นตระกูลของเจ้าต้องคืนยอดเขาเยือกแข็ง มันเป็นเหตุผลที่ต้องทำ ตระกูลเซี่ยของเราเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม จางไคซุ้ยเป็นทายาทของจางซานเฟิงอย่างไม่ต้องสงสัย โปรดตรวจสอบ” เซี่ยเฟยกุ้ยร้องขออีกครั้ง

แต่ฟางหยวนเพียงชำเลืองมองจางไคซุ้ยก่อนจะเผยรอยยิ้มและโบกมือ “ไม่รีบ ไม่รีบ”

“อันใด? ตอนนี้ยังไม่เข้าใจอีกงั้นหรือ?” การแสดงออกของเซี่ยเฟยกุ้ยกลายเป็นเคร่งขรึม เขาถามด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว

“ข้ารบกวนให้ท่านอธิบาย แต่สถานการณ์จะเป็นเช่นนี้จริงหรือไม่ข้ายังไม่สามารถยืนยัน” ฟางหยวนกล่าว

เซี่ยเฟยกุ้ยหัวเราะด้วยความโกรธ “ข้ากล่าวเรื่องจริง เจ้าสามารถตรวจสอบ!”

“ฮ่าฮ่าฮ่า” ฟางหยวนหัวเราะและปรบมือ “ท่านเป็นคนตรงไปตรงมา เช่นนั้นข้าก็จะขอคำยืนยืนจากตระกูลของข้า”

หลังกล่าวจบคำ เขาก็ปิดเปลือกตาลงราวกับเขากำลังเพ่งจิตเข้าไปในมิติช่องว่างของตนเพื่อใช้วิธีบนเส้นทางแห่งข้อมูล

หลังจากเนินนาน ฟางหยวนเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง

เซี่ยเฟยกุ้ยกระตุ้น “วูอี้ไห่ เจ้าตรวจสอบเรียบร้อยแล้วหรือยัง?”

ฟางหยวนยิ้มด้วยความเขินอาย “พี่ชายของข้ากำลังยุ่ง โปรดรอสักครู่”

เมื่อมีการกล่าวถึงผู้อมตะระดับแปด เซี่ยเฟยกุ้ยจึงไม่สามารถกล่าวสิ่งใด เป็นเซี่ยจ้าวโม่ที่แทรกแซง “ท่านวูหยงยุ่งมาก นั่นเป็นเรื่องปกติ แต่ท่านวูอี้ไห่ ท่านสามารถขอให้ผู้อมตะคนอื่นๆของตระกูลวูตรวจสอบ”

ฟางหยวนหัวเราะและยกนิ้วให้เซี่ยจ้าวโม่ “คู่ควรกับการเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาจริงๆ เป็นความคิดที่ดี!”

การสรรเสริญนี้ทำให้การแสดงออกของเซี่ยจ้าวโม่กลายเป็นแข็งค้าง

หลังจากนั้นฟางหยวนก็เปิดปากกล่าวอีกครั้ง “แต่ข้าไม่สนิทกับผู้อมตะคนอื่นๆของตระกูล ท่านมีคำแนะนำอื่นอีกหรือไม่?”

“แนะนำน้องสาวเจ้าสิ!” เซี่ยเฟยกุ้ยตะโกนออกมาอย่างไม่สามารถอดทน

“น้องสาวของข้างั้นหรือ? ข้ามีพี่ชายเพียงคนเดียว ไม่มีน้องสาว ท่านคงจำผิดแล้ว” ฟางหยวนยิ้ม

“…” เซี่ยเฟยกุ้ยรู้สึกพูดไม่ออก

เขามองเซี่ยจ้าวโม่และลอบสื่อสารกันอย่างลับๆ พวกเขาบอกได้ว่าฟางหยวนกำลังทำให้พวกเขาเสียเวลา

‘ผู้ใดจะคิดว่าตระกูลวูจะส่งคนเช่นนี้ออกมา! พวกเขาช่างไร้ยางอายนัก!’ เซี่ยเฟยกุ้ยเต็มไปด้วยความโกรธ

พวกเขาต้องการเจรจาอย่างถูกต้องแต่ฟางหยวนกลับปฏิเสธ

และเนื่องจากพวกเขาเป็นตัวละครฝ่ายธรรมะ เซี่ยเฟยกุ้ยจึงไม่สามารถใช้กำลังโดยไร้เหตุผล

เมื่อเห็นรอยยิ้มของฟางหยวน เขาอยากจะส่งหมัดออกไปและชกฟางหยวนให้ล้มลงไปบนพื้น

“อย่าโกรธ ท่านจะตกหลุมพรางของเขา คนผู้นี้มีประสบการณ์สูง เขาจงใจทำให้พวกเราโกรธ ดังนั้นพวกเราจะเปิดช่องว่างไม่ได้” เซี่ยจ้าวโม่ลอบส่งเสียงเตือน

เซี่ยเฟยกุ้ยทำได้เพียงสูดหายใจลึก

ฟางหยวนมองเซี่ยเฟยกุ้ยและกล่าวอย่างจริงจัง “ข้ามีน้องสาวจริงๆงั้นหรือ?”

เซี่ยเฟยกุ้ย “…”

เขาสูดหายใจอีกสองสามครั้งก่อนกล่าว “ไม่ มันเป็นลิ้นของข้าที่ลื่นไหลเกินไป โปรดยกโทษให้ข้าด้วย”

“โอ้ เป็นเช่นนั้น” ฟางหยวนพยักหน้าด้วยความห่วงใย “ข้าเห็นลิ้นของท่านแห้ง หน้าอกของท่านเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนท่านจะมีไข้ ท่านต้องดื่มชา มิฉะนั้นท่านอาจล้มป่วย แท้จริงแล้วชาสี่ฤดูเลิศรสมาก ท่านควรจิบชาสักเล็กน้อย”

เซี่ยจ้าวโม่ “…”

เซี่ยเฟยกุ้ยกรีดร้อง “ดื่มอันใด!? เรากำลังทำธุระสำคัญ!”

ฟางหยวนแสดงออกด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “สหาย นั่นไม่ใช่ทัศนคติที่ถูกต้อง เรื่องสำคัญอันใด? สุขภาพของท่านไม่ใช่เรื่องสำคัญงั้นหรือ? ยอดเขาเยือกแข็งเป็นเพียงแหล่งทรัพยากร มันเป็นเพียงทรัพยากร หากล้มป่วยเพราะทรัพยากรเหล่านี้ มันไม่ต่างจากการทำร้ายตนเอง”

เขากล่าวอย่างจริงใจแต่มันเหมือนการเติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟ เซี่ยเฟยกุ้ยทุบโต๊ะด้วยความโกรธ

“วูอี้ไห่!” เขากรีดร้อง “อย่าคิดว่าเจ้าจะสามารถใช้วิธีนี้เพื่อเก็บยอดเขาเยือกแข็งเอาไว้กับตระกูลของเจ้าเอง!”

การแสดงออกของฟางหยวนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เขากล่าวอย่างจริงใจ “ท่านพยายามกล่าวสิ่งใด? ข้าไม่เข้าใจ เราต้องปฏิบัติตามกฎของยอดเขาเยือกแข็ง นี่คือทรัพย์สินของจางซานเฟิง หากจางไคซุ้ยผู้นี้เป็นทายาทที่แท้จริงของเขา พวกเราจะต้องส่งคืนอย่างแน่นอน พวกเราตระกูลวูเป็นคนตรงไปตรงมาและยืดมั่นในคุณธรรม เราจะไม่ทำลายกฎของฝ่ายธรรมะเพียงเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง!”

“เจ้าเข้าใจจริงๆ” เซี่ยจ้าวโม่กล่าวด้วยรอยยิ้มที่มีความหมาย

เซี่ยเฟยกุ้ยขมวดคิ้ว เขาหยุดตะโกนและกล่าว “ถูกต้อง ทดสอบสายเลือดของเขาเร็วเข้า จางไคซุ้ยเป็นทายาทของจางซานเฟิงจริงๆ”

“ไม่รีบ ไม่รีบ” ฟางหยวนยิ้มและดื่มชาต่อ “ให้ข้ายืนยันจากตระกูลของข้าเป็นอันดับแรก ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อท่าน แต่นี่เป็นเรื่องสำคัญ ข้าไม่กล้าตัดสินใจโดยประมาทเลินเล่อ”

“เช่นนั้นก็รีบตรวจสอบ!” เซี่ยเฟยกุ้ยตะโกนอีกครั้ง

“แต่ท่านพี่วูหยงไม่ตอบ” ฟางหยวนแสดงออกด้วยความกังวล

“เช่นนั้นก็ถามคนอื่น!” เซี่ยเฟยกุ้ยตะโกน

ฟางหยวนตบขาของตนเอง “ถูกต้อง แต่ข้าพึ่งกลับเข้าตระกูล ข้าไม่รู้จักผู้ใดเลย ข้าไม่รู้ว่าควรจะตรวจสอบเรื่องนี้กับผู้ใด ก่อนหน้านี้ข้าขอให้พวกท่านทั้งสองช่วยคิด แต่พวกท่านไม่ให้ความช่วยเหลือ ข้ารู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง”

สองผู้อมตะตระกูลเซี่ยมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง

หลังจากหาข้อแก้ตัวมาเป็นเวลานาน ตอนนี้มันกลายเป็นความผิดของตระกูลเซี่ยงั้นหรือ?

ผู้ใช้วิญญาณระดับห้าจางไคซุ้ยได้ยินบทสนทนาเหล่านี้และจ้องมองฟางหยวนด้วยดวงตาเบิกกว้าง

นี่คือ…ผู้อมตะงั้นหรือ?

ช่างหน้าด้านนัก!

ความประทับใจที่ดีของเขาที่มีต่อผู้อมตะพังทลายลงอย่างสมบูรณ์

“ลืมมันไปซะ ข้าบอกได้เลยว่าคนผู้นี้กำลังถ่วงเวลา!” เซี่ยจ้าวโม่ถ่ายทอดเสียง

“ถ่วงเวลาเพื่อสิ่งใด?” เซี่ยเฟยกุ้ยถาม

“เห็นได้ชัดว่าตระกูลวูไม่มีเหตุผลที่จะโต้แย้ง วูอี้ไห่พยายามถ่วงเวลาโดยใช้ข้อแก้ตัวทุกอย่าง เมื่อตระกูลวูไม่มีปัญหาเรื่องกำลังคนอีก พวกเขาจะสามารถจัดการทุกสิ่ง มันจะกลายเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเรา ยังไม่ต้องกล่าวถึงผู้อื่น หากวูเจิ้นเสร็จสิ้นภารกิจที่ภูเขาวิหคเพลิง เมื่อเขามาถึง สถานการณ์จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง” เซี่ยจ้าวโม่อธิบาย

“เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง แล้วพวกเราควรทำอย่างไร? ผู้อี้ไห่ผู้นี้กำลังถ่วงเวลา แต่คำกล่าวของเขาสมเหตุสมผล เราไม่มีทางโต้แย้งเขาและยังมีอีกหลายวิธีที่สามารถใช้ถ่วงเวลา” เซี่ยเฟยกุ้ยตระหนักถึงปัญหาร้ายแรง

“ข้ามีแผน” เซี่ยจ้าวโม่กล่าว

“แผนใด?” เซี่ยเฟยกุ้ยเร่งถาม

เซี่ยจ้าวโม่ให้คำตอบที่ทำให้เซี่ยเฟยกุ้ยมีความสุขมาก เขาหันหน้ากลับไปหาฟางหยวนและเร่งกล่าว “วูอี้ไห่ ข้าได้ยินมานานแล้วว่าเจ้าแข็งแกร่งมาก เจ้าคือศักดิ์ศรีของตระกูลวู ข้าในฐานะตัวแทนของตระกูลเซี่ยขอท้าประลองกับเจ้า!”

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท