เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – ตอนที่ 1328

ตอนที่ 1328

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1328 ความไร้ยางอายของฟางหยวน

แปลโดย iPAT

จื่อซานรู้สึกว่าเขาถูกทำให้อับอาย

ในปัจจุบันโลกของผู้อมตะภาคใต้ไม่มีผู้ใดไม่รู้จักวูอี้ไห่ ทุกคนรู้ว่าเขาบ่มเพาะอยู่บนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง แต่ตอนนี้ฟางหยวนกลับไม่ใช้ความเชี่ยวชาญของเขาเพื่อสร้างปัญหาให้กับจื่อซานแต่เลือกปัญหาที่จื่อซานชำนาญที่สุด

มันเหมือนกับเขาไม่จำเป็นต้องใช้วิธีที่ตนเองชำนาญเพื่อจัดการศัตรูผู้นี้เพราะศัตรูผู้นี้ไม่สามารถเปรียบเทีบบกับเขา!

การดูหมิ่นนี้เป็นการท้าทายที่ยิ่งใหญ่

เขารับไม่ได้!

สิ่งนี้ไม่สามารถอดทนได้!

ดวงตาของจื่อซานเบิกกว้างขณะที่เขาบีบวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลของฟางหยวนและพึมพำ “ให้ข้าดูว่าเจ้ามีปัญหาใด?”

“หือ…นี่ค่อนข้าง…”

ในไม่ช้าร่องรอยของความเคร่งขรึมก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจื่อซาน

คำถามของฟางหยวนค่อนข้างท้าทาย

แต่ในไม่ช้าจื่อซานก็ยอมรับ “ไม่แปลกใจเลยที่เขามั่นใจว่าปัญหานี้จะสามารถก่อกวนข้า ปัญหานี้ค่อนข้างยาก”

“เขาสร้างปัญหานี้ขึ้นมาด้วยตนเองงั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้! เขาบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง มันต้องเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งค่ายกลของตระกูลวูที่อยู่เบื้องหลังการสร้างปัญหานี้ ฮืม ด้วยตัวตนของเขาในฐานะน้องชายของวูหยง ผู้อมตะคนอื่นๆของตระกูลวูจะไม่ช่วยเขาได้อย่างไร?”

แม้ตระกูลวูจะไม่เชี่ยวชาญด้ายค่ายกลเป็นพิเศษ แต่ตราบเท่าที่เป็นกองกำลังใหญ่ พวกเขาก็ต้องมีสมาชิกที่ชำนาญด้านนี้

เนื่องจากกองกำลังใหญ่จำเป็นต้องปกป้องแหล่งทรัพยากรของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงต้องสร้างค่ายกลวิญญาณขนาดใหญ่สำหรับพวกมัน

“แต่กระทั่งผู้อมตะของตระกูลวูจะช่วยเขา ในแง่ของความเชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งค่ายกล ตระกูลจื่อของข้าเป็นอันดับหนึ่งของภาคใต้!”

จื่อซานรู้สึกภาคภูมิใจต่อตระกูลของตน

เขารวบรวมสติและดำดิ่งลงไปในปัญหาของฟางหยวน

ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งดำลึกลงไป

ด้วยการวิเคราะห์ของเขา เขาได้แบ่งปัญหาออกเป็นหลายสิบส่วน

“วิธีปกติใช้แก้ปัญหาน้ำกับไฟที่ต่อต้านกันไม่ได้”

“ค่ายกลวิญญาณต้องเป็นรูปแบบวงกลม”

“จะแก้ปัญหานี้อย่างไร?”

“ฮืม นี่ค่อนข้างยาก”

“แต่นี่ไม่สามารถเอาชนะข้า!”

จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจื่อซานพุ่งทะยานขึ้น เขาบอกกับตนเองว่าเขาต้องมอบบทเรียนให้กับฟางหยวน

ให้ฟางหยวนรู้ว่าจื่อซานไม่สามารถถูกทำให้อับอาย!

“นายท่าน งานเลี้ยงตอนเย็นที่ตระกูลลั่วเชิญท่านกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า เราควรออกไปเดี๋ยวนี้” ผู้อมตะระดับหกของตระกูลจื่อ จื่อลิ่ว เตือนจื่อซานจากนอกประตู

“ไม่ไป!” จื่อซานไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เขาปฏิเสธในขณะที่เขายังคิดหาคำตอบต่อไป

“แต่เรารับปากแล้ว…” จื่อลิ่วลังเล

“ข้าบอกว่าไม่ได้ ออกไป!” จื่อซานตะโกนอย่างหมดความอดทน

จื่อลิ่วทำได้เพียงจากไปเท่านั้น

จื่อซานสูดหายใจลึกและมองปัญหาของฟางหยวน ดวงตาของเขาส่องประกายขณะที่เขาพึมพำ “งานเลี้ยงอันใด สิ่งสำคัญที่สุดคือการเอาชนะเขา! ยิ่งข้าสามารถแก้ปัญหานี้ได้เร็วเท่าใด มันก็ยิ่งดี!”

ค่ำคืนผ่านไปเช่นนี้

จื่อซานไม่ได้นอน ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ เส้นผมยุ่งเหยิง และเขาเหนื่อยมาก

แม้ผู้อมตะจะไม่จำเป็นต้องกินหรือนอนติดต่อกันหลายคืน แต่จื่อซานยังค่อนข้างเหนื่อย เขาไม่ได้พักผ่อนแม้แต่น้อยและพยายามแก้ปัญหาด้วยความสามารถทั้งหมด

“ปัญหานี้ยากจริงๆ แต่…ข้าแก้มันได้แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้ากล้าท้าทายข้างั้นหรือ? ข้าจะทำให้เจ้ารู้จักความสุดยอดของข้า!”

แม้จะเหน็ดเหนื่อยแต่จื่อซานยังหัวเราะด้วยความตื่นเต้น

เขาแทบไม่สามารถอดทนรอที่จะเห็นการแสดงออกของฟางหยวน

“ข้าจะไปและสนุกกับการแสดงของเจ้าเดี๋ยวนี้!”

จื่อซานเดินไปที่ประตูแต่เขากลับหยุดเท้าอย่างกะทันหัน

“หือ ไม่! ข้ากำลังต่อสู้กับวูอี้ไห่ แล้วข้าจะไปหาเขาก่อนได้อย่างไร? ชื่อเสียงของข้าจะเสียหาย ข้าต้องส่งผู้ใต้บังคับบัญชาออกไป….”

หลังจากนั้นไม่นานจื่อลิ่วก็เข้ามาหาจื่อซาน

“เสี่ยวลิ่ว นำสิ่งนี้ไปให้วูอี้ไห่ ฮ่าฮ่า ข้าจะมอบบทเรียนให้เขา!”

จื่อลิ่วทำงานอย่างรวดเร็ว

เขารู้ว่าจื่อซานเป็นความหวังของตระกูลจื่อ ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลจื่อ จื่อชิวหยู เคยกล่าวไว้ในอดีตว่าจื่อซานจะเป็นผู้สืบทอดของเขา

จื่อชิวหยูเป็นปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งค่ายกล เขายอมรับจื่อซาน นั่นหมายความว่าจื่อซานมีโอกาสที่จะกลายเป็นปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งค่ายกลเช่นกัน

และจื่อซานไม่ได้ทำให้ตระกูลผิดหวัง

เขาแสดงความสามารถออกมาตั้งแต่อายุยังน้อย และด้วยทรัพยากรของตระกูล เขาจึงสามารถบ่มเพาะได้อย่างราบรื่น ดังนั้นความสำเร็จบนเส้งทางแห่งค่ายกลของเขาจึงไม่สามารถมองข้าม

“อืม…” ฟางหยวนค่อยๆตื่นขึ้นและกางแขนบิดขี้เกียจอย่างสะดวกสบาย

แม้จิตวิญญาณของเขาจะฟื้นฟูขึ้นด้วยวิญญาณความเด็ดเดี่ยวแต่เขายังสูยเสียพลังจิตไปมาก

วิญญาณความเด็ดเดี่ยวไม่สามารถแก้ปัญหานี้ แต่การนอนหลับจะทำให้จิตใจของเขาสงบและได้พักผ่อนอย่างแท้จริง

หลังจากฟางหยวนนอนหลับอย่างเพลิดเพลินมาตลอดทั้งคืน ความเหนื่อยล้าทั้งหมดของเขาก็หายไป

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลจากจื่อซานถูกส่งมาขณะที่เขายังหลับอยู่

เมื่อฟางหยวนชำเลืองมองไปที่มัน ดวงตาของเขาก็ส่องประกายขึ้นด้วยความยินดี “โอ้ เขาแก้ปัญหาได้จริงๆ!”

“นี่ค่อนข้างเร็ว!”

ฟางหยวนถอนหายใจขณะที่เขาเริ่มตรวจสอบมัน

ดวงตาของเขาส่องประกายซ้ำแล้วซ้ำอีกกับวิธีแก้ปัญหาของจื่อซาน

“เป็นเช่นนี้!” ฟางหยวนลูบคาง นี่เป็นแนวคิดใหม่ทั้งหมด มันทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง

“ตามแนวคิดนี้ คำตอบนี้ยังไม่เหมาะสมกับค่ายกลวิญญาณที่ข้าต้องการ ข้าต้องปรับเปลี่ยนเล็กน้อยในบางจุด”

ฟางหยวนครุ่นคิด

เขาไม่ได้มอบค่ายกลวิญญาณที่สมบูรณ์แบบให้จื่อซานแต่นำออกมาเพียงบางส่วนเท่านั้น

คำตอบของจื่อซานไม่มีข้อผิดพลาดแต่มันยังไม่สามารถหลอมรวมกับค่ายกลวิญญาณทั้งหมด

อย่างไรก็ตามด้วยระดับความสำเร็จของฟางหยวนในปัจจุบัน เขาสามารถปรับเปลี่ยนบางอย่าง

จื่อซานเป็นปรมาจารย์และฟางหยวนเป็นกึ่งปรมาจารย์ ไม่มีความแตกต่างมากนักระหว่างสองระดับนี้

ฟางหยวนได้รับกำไรมหาศาลจากคำตอบสำหรับปัญหาที่ทำให้เขาหนักใจ

“สมแล้วที่เป็นตระกูลจื่อของภาคใต้” เขาพึมพำและชื่นชมความสามารถของจื่อซาน

เมื่อสามารถแก้ปัญหานี้ ฟางหยวนก็สามารถดำเนินการพัฒนาค่ายกลวิญญาณของเขาต่อไป

เขาเริ่มอนุมานอีกครั้ง

หลายวันผ่านไปเช่นนี้

จื่อซานกังวลมาก

หลังจากเขาส่งมอบคำตอบ เขาก็รอการตอบกลับจากฟางหยวนมาตลอด แต่หลังจากหลายวันเขาก็ยังไม่ได้รับการตอบกลับใดๆ นี่ทำให้เขาไม่สามารถดื่มและกินได้อย่างมีความสุข

“วูอี้ไห่กำลังทำสิ่งใดอยู่?” จื่อซานพึมพำ

“จื่อซาน เกิดสิ่งใดขึ้น?” ในงานเลี้ยง ผู้อมตะตระกูลลั่วถามด้วยความสงสัย

จื่อซานรู้สึกตัวในที่สุด

เขาเคยปฏิเสธคำเชิญร่วมงานเลี้ยงของตระกูลลั่วมาก่อนหน้านี้ แต่หลังจากแก้ปัญหาให้ฟางหยวน เขาก็ต้องมาร่วมงานเลี้ยงอีกครั้ง

เขาต้องเข้าร่วม มิฉะนั้นมันจะทำให้ตระกูลลั่วขุ่นเคือง

ผู้อมตะจื่อกุ้ยที่นั่งอยู่ด้านข้างเร่งไกล่เกลี่ย “ยกโทษให้เขาด้วย จื่อซานมักเป็นเช่นนี้ จิตใจของเขามักล่องลอยออกไป บางครั้งเขาก็ลืมกินอาหารเมื่อคิดถึงปัญหาบนเส้นทางแห่งค่ายกล เขาจะหยุดนิ่งอย่างกะทันหันและมันสามารถเกิดขึ้นได้แม้แต่ในขณะที่เขากำลังเดินอยู่”

จื่อกุ้ยเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดและเป็นผู้นำของตระกูลจื่อในค่ายกลวิญญาณแห่งนี้

ผู้อมตะตระกูลลั่วหัวเราะเสียงดัง “ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับพฤติกรรมของจื่อซานมาก่อน เขาเป็นอัจฉริยะบนเส้นทางแห่งค่ายกล เห้อ…หากตระกูลลั่วของข้าสามารถผลิตอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์เพียงยี่สิบหรือสามสิบส่วนของจื่อซาน ข้าจะพอใจมาก”

ในเวลาเดียวกัน คิ้วของฟางหยวนกำลังขมวดแน่น

เขาพบปัญหาอื่น

“ดูเหมือนการพัฒนาค่ายกลวิญญาณนี้จะเกินขีดความสามารถของข้าไปแล้ว”

ฟางหยวนพบปัญหาใหม่และยิ่งยากกว่าก่อนหน้า

“ในกรณีนี้ข้าจะส่งมันให้จื่อซาน” ฟางหยวนยิ้ม

“มาแล้ว มาแล้ว!” เมื่อจื่อซานกลับไปถึงที่พักของเขา เขาก็ได้รับวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลจากฟางหยวน

ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“คิดว่าข้าง่ายงั้นหรือ!?”

จื่อซานหัวเราะเย้ยหยันและแสดงออกราวกับผู้ชนะ

อย่างไรก็ตามหลังจากสติของเขากลับคืนมา เนื้อหาในจดหมายกลับทำให้ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความโกรธ

“วูอี้ไห่ เจ้ากล่าวเรื่องไร้สาระใด!?”

“เขาช่างไร้ยางอายนัก!”

จื่อซานสาปแช่ง

ในจดหมายฟางหยวนไม่ได้กล่าวถึงจดหมายท้าทายฉบับก่อนหน้าแม้แต่น้อย แต่เขายอมรับว่าจื่อซานมีความสามารถบางอย่าง โดยธรรมชาติแล้วจื่อซานอาจโชคดีได้เช่นกัน

“หากเจ้าสามารถแก้ปัญหานี้ได้ ข้าจะยอมรับว่าเจ้ามีคุณสมบัติที่จะไล่ตามเทพธิดาซื่อหลิว” นี่คือสิ่งที่เขียวไว้ในจดหมาย

เมื่อชื่อของเฉียวซื่อหลิวถูกกล่าวถึง จื่อซานก็ไม่สามารถอดทนต่อมันได้

“คุณสมบัติของข้าต้องให้เจ้าตัดสินงั้นหรือ?”

“วูอี้ไห่ ข้าประเมินเจ้าสูงเกินไปจริงๆ เจ้าคนไร้ยางอาย!”

จื่อซานรู้สึกเหมือนยืนอยู่ต่อหน้าฟางหยวนและกำลังเย้ยหยันเขาอยู่

“เขากล่าวว่าเคยไปเที่ยวจุดชมวิวกับซื่อหลิว กระทั่งข้าก็ไม่เคยไปแม้แต่ครั้งเดียว เจ้าคนบัดซบผู้นี้!” จื่อซานกัดฟันด้วยความขุ่นเคือง

เขาเกือบจะบดขยี้วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

แต่เขาคิดและต่อต้านแรงกระตุ้นนี้

“หากข้าทำลายวิญญาณดวงนี้ มันจะทำให้วูอี้ไห่สมความปรารถนา”

“ฮืม เขาสร้างปัญหาให้ข้าไม่ได้ ตอนนี้เขากลัวข้ามาก ดังนั้นเขาจึงจงใจกล่าวเช่นนี้”

“ถูกต้อง ข้าจะไม่ทำสิ่งที่เขาต้องการเห็น!”

“ข้าปล่อยให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ ข้าต้องชนะต่อไปและทำให้เขายอมรับความพ่ายแพ้ของเขา ข้าต้องทำให้เขาตระหนักถึงความแข็งแกร่งของข้าอย่างเต็มที่!”

“แน่นอนเพื่อป้องกันความไร้ยางอายอีกครั้ง ข้าต้องทำให้มันกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนรับรู้ ยิ่งมีคนรู้มากเท่าใดก็ยิ่งดี!”

จื่อซานเรียนรู้จากความผิดพลาดของเขา

เดิมทีที่มาของข้อพิพาทนี้เกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่ง จื่อซานรู้สึกว่ามันน่าอายเล็กน้อย แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจมันอีกต่อไป เขาเพียงต้องการกำหราบฟางหยวนให้ราบคาบเท่านั้น

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท