เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – ตอนที่ 1389

ตอนที่ 1389

“ฮ่าฮ่าฮ่า” วูหยงหัวเราะเสียงดัง

เสียงหัวเราะของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ

เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธฟงจิวเก้อที่ต้องการช่วยฟางหยวน

“ดี”

“ดี”

“พวกเจ้าทั้งคู่เป็นเพียงผู้อมตะระดับเจ็ดแต่มีพลังการต่อสู้ระดับแปด”

“ให้ข้าได้เห็นความแข็งแกร่งของพวกเจ้า!”

ความภาคภูมิใจและความมั่นใจในฐานะผู้อมตะระดับแปดทำให้เจตนาสังหารในหัวใจของวูหยงปะทุขึ้น

เขามั่นใจในชัยชนะ

หนึ่งต่อสอง?

วูหยงเป็นผู้อมตะระดับแปดขณะที่คู่ต่อสู้ของเขาเป็นเพียงผู้อมตะระดับเจ็ด

มีความแตกต่างระหว่างระดับเจ็ดและระดับแปด

โดยยังไม่ต้องกล่าวถึงคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับแปดบ้านไม้ไผ่สายลม!

วูหยงคิดไม่ออกว่าเขาจะแพ้ได้อย่างไร

การต่อสู้เริ่มขึ้นอีกครั้ง บรรยากาศกลายเป็นตึงเครียด

ฟงจิวเก้อค่อยๆเคลื่อนที่เข้าไปหาวูหยงขณะเดียวกันก็กล่าวกับฟางหยวน “เจ้าเคยช่วยชีวิตข้า ตอนนี้ข้ากำลังจะช่วยชีวิตเจ้า บุญคุณได้รับการชำระแล้ว เจ้าควรจากไป แต่เจ้าจะสามารถหลบหนีไปจากที่นี่ได้หรือไม่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวของเจ้าเอง”

ฟางหยวนรู้สึกประหลาดใจ

พิจารณาถ้อยคำเหล่านี้ ชัดเจนว่าฟงจิวเก้อจะไม่ร่วมมือกับฟางหยวนแต่จะต่อสู้กับวูหยงเพียงลำพัง

“ตกลง” ฟางหยวนล่าถอยทันที

เขาจะทิ้งโอกาสนี้ได้อย่างไร?

เมื่อเห็นฟงจิวเก้อต้องการต่อสู้เพียงลำพัง ช่วยไม่ได้ที่วูหยงจะรู้สึกชื่นชมและกล่าว “เอาล่ะ ให้ข้าเห็นพลังอำนาจของอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงของภาคกลาง”

จากนั้นเขาก็เก็บบ้านไม้ไผ่สายลมกลับเข้าไปในมิติช่องว่าง

คฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับแปดเป็นไพ่ตายของเขา

มันถูกสร้างขึ้นจากวิญญาณอมตะระดับแปดหลายดวง โดยธรรมชาติแล้วมันต้องพึ่งพาพลังงานอมตะจำนวนมหาศาล วูหยงใช้งานมันมาเป็นเวลานานในการไล่ล่าฟางหยวน

ดังนั้นตอนนี้วูหยงจึงตัดสินใจเก็บมันไว้ชั่วคราว

นี่เหมือนกับการเก็บดาบศักดิ์สิทธิ์ไว้ในฝัก ศัตรูจะไม่มีวันรู้ว่าเมื่อใดที่วูหยงจะชักดาบเล่มนี้ออกมา ความไม่รู้จะสร้างแรงกดดันและความหวาดกลัวให้กับฝ่ายตรงข้าม

ในเวลาเดียวกันสิ่งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจและความภาคภูมิใจในตนเองของวูหยง

เขาต้องการต่อสู้กับฟงจิวเก้ออย่างยุติธรรม

ทั้งสองพร้อมต่อสู้!

สายลมกรรโชกแรงรอบตัววูหยงก่อนจะหยุดลงอย่างกะทันหัน

ฟงจิวเก้อและฟางหยวนเฝ้ามองอย่างตั้งใจ

นี่เป็นสัญญาณของการกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะของวูหยง

ก่อนหน้านี้กลิ่นอายที่ทรงพลังถูกเก็บซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด ไม่ว่าฟงจิวเก้อหรือฟางหยวน ทั้งคู่ไม่สามารถสัมผัสถึงสิ่งใด

ฟงจิวเก้อเร่งถอยกลับและสร้างระยะห่างออกจากวูหยง

เขาจะกล้าอวดดีกับผู้อมตะระดับแปดได้อย่างไร?

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับท่าไม้ตายอมตะที่ไม่รู้จักอย่างสิ้นเชิง การเผชิญหน้ากับมันอย่างประมาทเป็นเพียงการรนหาที่ตายเท่านั้น

สายลมอ่อนพัดมาอย่างไม่รู้จบสิ้นก่อนจะควบรวมเป็นร่างขนาดใหญ่

มันมีรูปลักษณ์เหมือนมนุษย์แต่สูงเท่าช้าง ร่างกายของมันเป็นสีน้ำเงินเข้ม มีเขี้ยวอันแหลมคมยื่นออกมาจากปาก แขนคู่มหึมาของมันยาวลงไปถึงเท้า ดวงตาของมันดำสนิท

ท่าไม้ตายอมตะนับรบสายลมอ่อน!

วูหยงสร้างนักรบสายลมอ่อนหกร่างพร้อมกัน

นักรบสายลมอ่อนคำรามเสียงดังด้วยเสียงแหลมสูง

พวกมันแบ่งออกเป็นสองกลุ่มๆละสามคน กลุ่มแรกโจมตีฟงจิวเก้อ กลุ่มที่สองไล่ล่าฟางหยวน

ฟงจิวเก้อต้องต่อสู้กับวูหยงขณะที่วูหยงต้องการจัดการทั้งฟงจิวเก้อและฟางหยวน

ดวงตาของฟงจิวเก้อส่องประกายขึ้นเมื่อเห็นท่าไม้ตายของวูหยง เขาไม่ถอยแต่ปลดปล่อยการโจมตีระยะไกลออกจากฝ่ามือ

“ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง”

เสียงดังจากฝ่ามือของฟงจิวเก้อ

คลื่นเสียงแผ่กระจายออกไปและสัมผัสนักรบสายลมอ่อนทั้งหก

นักรบสายลมอ่อนที่น่าเกรงขามก่อนหน้านี้ถูกหยุดการเคลื่อนไหวอย่างสมบูรณ์

รูม่านตาของฟางหยวนและวูหยงหดเล็กลงเมื่อเห็นสิ่งนี้

ทั้งคู่ตะลึง!

ฟงจิวเก้อเป็นเพียงผู้อมตะระดับเจ็ดแต่ท่าไม้ตายอมตะของเขากลับไม่ด้อยกว่าวูหยง

ไม่ว่าจะเป็นฟางหยวนหรือวูหยง ทั้งคู่สามารถมองเห็นร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งเสียงจำนวนมหาศาลบนร่างของฟงจิวเก้อ

มันกระทั่งสามารถเทียบเคียงกับวูหยง!

คนผู้นี้ฝึกฝนมาถึงระดับนี้ได้อย่างไร?

ฟางหยวนประหลาดใจมากขณะที่เขาสังเกตการต่อสู้จากระยะไกล

เหตุผลที่ฟางหยวนสามารถต่อสู้กับผู้อมตะระดับแปดเป็นเพราะเกราะหวนคืน แต่ฟงจิวเก้อสามารถต่อสู้กับผู้อมตะระดับแปดเพราะรากฐานที่ลึกซึ้งของเขา

หากเปรียบเทียบ ฟางหยวนยังด้อยกว่าฟงจิวเก้ออยู่มาก

‘เขาฝึกฝนมาอย่างไร? รากฐานระดับนี้ไม่แปลกใจเลยที่เขาสามารถเอาชนะสิบนิกายโบราณและมีความมั่นใจที่จะต่อสู้กับวูหยง!’

‘มันเป็นรากฐานที่แท้จริงหรือเป็นวิธีการชั่วคราวที่คงอยู่ได้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ?’

ฟางหยวนไตร่ตรอง

โดยธรรมชาติแล้วความสนใจหลักของฟางหยวนยังอยู่ที่ท่าไม้ตายเขตแดนอตะของวูหยง นอกจากนั้นเขายังต้องวิเคราะห์และอนุมานเกี่ยวกับกรงอากาศ

ในเวลาเดียวกันสมาชิกนิกายเงาที่อยู่ในมิติช่องว่างของฟางหยวนก็กำลังพยายามอย่างเต็มที่

เมื่อเห็นนักรบสายลมอ่อนกลายเป็นไร้ประโยชน์ วูหยงจึงกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอื่น

เขาใช้แส้สายลมฟาดไปที่ฟงจิวเก้อโดยตรง

แส้สายลมถูกฟาดออกไปอย่างต่อเนื่องและสร้างเสียงระเบิดที่คมชัดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง

ฟงจิวเก้อใช้มือซ้ายจัดการนักรบสายลมอ่อนและใช้หมัดขวาต่อต้านแส้สายลม

ฝ่ามือข้างซ้ายของฟงจิวเก้อส่งคลื่นอัดอากาศพร้อมกับเสียงระฆังออกไปโจมตีนักรบสายลม

หมัดขวาของเขาส่งเสียงกลองสงครามขณะปะทะแส้สายลม

“เคร้ง เคร้ง เคร้ง…”

“ปัง ปัง ปัง…”

ฟงจิวเก้อสามารถต่อสู้กับวูหยงได้อย่างเท่าเทียม

กระทั่งฟางหยวนยังรู้สึกมึนงง

เหตุผลหลักก็คือร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าของฟงจิวเก้อที่ไม่ด้อยกว่าผู้อมตะระดับแปดเช่นวูหยง

สิ่งนี้ต่อต้านสามัญสำนึกของโลกผู้อมตะอย่างสมบูรณ์

ความแตกต่างระหว่างระดับเจ็ดและระดับแปดก็คือร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋า

โดยเฉลี่ยแล้วภัยพิบัติพิภพจะมอบร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าให้แก่ผู้อมตะประมาณสองร้อยห้าสิบร่องรอย

ภัยพิบัติสวรรค์เจ็ดร้อยห้าสิบร่องรอย

ภัยพิบัติใหญ่เจ็ดพันสองร้อยห้าสิบร่องรอย

และหมื่นภัยพิบัติแปดหมื่นหกพันเจ็ดร้อยห้าสิบร่องรอย

ความแตกต่างระหว่างระดับเจ็ดกับระดับแปดมหาศาลมาก ขณะที่ความแตกต่างระหว่างระดับแปดกับระดับเก้าราวกับสวรรค์และพิภพ

นี่คือเหตุผลที่ผู้อมตะระดับเก้าสามารถบดขยี้ผู้อมตะระดับแปดและผู้อมตะระดับแปดสามารถจัดการผู้อมตะระดับเจ็ดได้อย่างง่ายดาย

เมื่อผู้อมตะก้าวเข้าสู่ระดับใหม่ ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ทุกคนรู้ตรรกะนี้

ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้อมตะระดับเจ็ดจะมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าเท่ากับผู้อมตะระดับแปด มิฉะนั้นโลกใบนี้คงมีผู้อมตะระดับเจ็ดที่สามารถต่อสู้กับผู้อมตะระดับแปดอยู่มากมาย

อย่างไรก็ตามฟงจิวเก้อกลับเป็นข้อยกเว้น เขาสามารถทำลายขีดจำกัดนี้ได้จริงๆ

‘หากมันเป็นพลังอำนาจที่เพิ่มขึ้นชั่วคราว มันจะเป็นเรื่องง่ายที่สามารถยอมรับ แต่หากมันเป็นร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าของเขาจริงๆ มันจะน่ากลัวเกินไป’ ฟางหยวนคิดกับตนเอง

วูหยงไม่โกรธที่ฟงจิวเก้อสามารถต่อสู้กับเขาได้อย่างเท่าเทียม

“ดี”

“สมกับเป็นฟงจิวเก้อ”

“เช่นนั้นลองท่าไม้ตายนี้”

วูหยงชี้นิ้วไปที่ฟงจิวเก้อ

หนอนตัวน้อยถูกยิงออกจากปลายนิ้วและกลายเป็นมังกรวายุร่างกายใหญ่โตอย่างรวดเร็ว

ท่าไม้ตายอมตะดัชนีมังกรวายุ!

รูม่านตาของฟงจิวเก้อหดเล็กลง เขาเร่งล่าถอย

มังกรวายุทรงพลังมาก ฟงจิวเก้อไม่สามารถเผชิญหน้ากับมันได้โดยตรง

นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เพราะท่าไม้ตายอมตะดัชนีมังกรวายุของวูหยงมีวิญญาณอมตะระดับแปดเป็นแกนกลาง

ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าของฟงจิวเก้ออาจเท่าเทียมกับวูหยงแต่เขาไม่มีวิญญาณอมตะระดับแปด

ฟงจิวเก้อไม่สามารถรับมือท่าไม้ตายอมตะระดับแปดด้วยท่าไม้ตายอมตะระดับเจ็ดของเขา

เขาถอยกลับแต่ยังส่งหมัดและฝ่ามือออกมาอย่างไม่รู้จบสิ้น หลังจากใช้ท่าไม้ตายอมตะระดับเจ็ดซ้ำๆ ในที่สุดมังกรวายุก็อ่อนแอลง

แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฟงจิวเก้อต้องใช้พลังงานอมตะระดับเจ็ดจำนวนมหาศาล

ในทางกลับกันวูหยงใช้จ่ายพลังงานอมตะระดับแปดไปเพียงเล็กน้อย

ฟงจิวเก้อด้อยกว่าวูหยงในแง่นี้

นอกจากร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋า ผู้อมตะระดับแปดยังเหนือกว่าผู้อมตะระดับเจ็ดในแง่มุมอื่นเช่นคุณภาพของพลังงานอมตะหรือวิญญาณอมตะ

เพียงมังกรวายุ วูหยงก็สามารถพลิกสถานการณ์ได้ทันที

‘ท่าไม้ตายนี้อันตรายมาก ข้าไม่สามารถปล่อยให้มันเข้ามาใกล้’ ฟงจิวเก้อมีสัญชาตญาณที่ไม่ธรรมดา

วูหยงซ่อนท่าไม้ตายอีกท่าเอาไว้ มันคือดาบวายุคลั่ง

เมื่อท่าไม้ตายนี้ทำงาน มังกรวายุจะระเบิดตัวเองและปลดปล่อยดาบวายุจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา มันเคยแสดงพลังอำนาจออกมาแล้วที่ค่ายกลวิญญาณแม่น้ำโลหิตสีม่วง

สัญชาตญาณของฟงจิวเก้อทำให้เขาสามารถหลีกเลี่ยงอันตราย

เขาถอยกลับและทำให้มังกรวายุอ่อนแอลงด้วยการโจมตีระยะไกล

สิ่งนี้ทำให้วูหยงสูญเสียโอกาสและความพยายาม

อย่างไรก็ตามมังกรวายุรวดเร็วมาก มันยังสามารถกดดันฟงจิวเก้อ

‘นี่ค่อนข้างน่ารำคาญ’ คิ้วของฟงจิวเก้อเริ่มขมวด

ตอนนี้เขาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

หากวูหยงกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะต่อไป สถานการณ์ของฟงจิวเก้อจะยิ่งเลวร้ายลง

อย่างไรก็ตามในเวลานี้ร่างหนึ่งกลับพุ่งเข้าสู่สนามรบ

“บึม!”

มังกรวายุปะทะร่างของฟางหยวนโดยตรง

มันถูกสะท้อนกลับไปโดยเกราะหวนคืน

วูหยงที่กำลังเตรียมท่าไม้ตายใหม่ขมวดคิ้วทันที

“นี่คือเกราะหวนคืนงั้นหรือ? น่าทึ่ง!” เห็นพลังอำนาจของเกราะหวนคืน ฟงจิวเก้อต้องประเมินฟางหยวนใหม่อีกครั้ง

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท