เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – ตอนที่ 1480

ตอนที่ 1480

แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน

ฟางหยวนพักเพียงชั่วครู่ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง

พละกำลังของเขาฟื้นคืนแล้ว จิตใจของเขาปลอดโปร่ง สถานการณ์ของเขาดีขึ้นอย่างมาก

ผมที่หกถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นฟางหยวนกลับเข้าประจำที่

ทั้งสองแลกเปลี่ยนบทบาทกันได้อย่างสมบูรณ์ นี่เป็นเพราะพวกเขาผ่านการฝึกฝนมาแล้วหลายครั้ง

ตอนนี้ร่างผีดิบอมตะของฟางหยวนดูราวกับไม้ศักดิ์สิทธิ์ลายเมฆสีทองร่างมนุษย์ เมื่อถึงจุดนี้ ฟางหยวนก็ดำเนินการขั้นตอนต่อไป

เขานำเม่นทะเลตัวใหญ่ออกมา

เม่นตัวนี้มีขนาดใหญ่โตเท่ากับบ้าน หนามแหลมของมันราวกับทำมาจากโลหะสีม่วงทองที่ส่องประกายระยิบระยับ

นี่คือเม่นดาราสีม่วง ทรัพยากรอมตะที่หายาก

ภายใต้พลังอำนาจของค่ายกลวิญญาณ เม่นดาราสีม่วงค่อยๆหดตัวลง

แต่ทันใดนั้นแสงดาวกลับระเบิดออกไปรอบๆ

ค่ายกลวิญญาณเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรง ฟางหยวนพยายามควบคุมมันอย่างเต็มความสามารถ แต่มันยังแทบไร้ประโยชน์

“โอ้ ไม่!” ผมที่หกกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจก่อนตะโกน “อสรพิษแดง!”

ด้วยความตั้งใจของผมที่หก รอยสักรูปอสรพิษสีแดงที่อยู่บนหน้าอกของเขาค่อยๆเลื้อยขึ้นไปที่ลำคอ

เวลานี้ความแข็งแกร่งของผมที่หกพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก แม้แต่ฟางหยวนก็ยังตกใจ

ผมที่หกพุ่งเข้าไปหาฟางหยวนและช่วยควบคุมค่ายกลวิญญาณ

ด้วยความช่วยเหลือจากผมที่หก แสงดาวที่กระจัดกระจายเริ่มรวมตัวกันอีกครั้ง

“วิกฤตผ่านไปแล้ว” ไม่นานผมที่หกก็ปล่อยลมหายใจออกมา ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพที่เหนื่อยล้ามาก

“ท่านผู้นำ มันขึ้นอยู่กับท่านแล้ว” หลังกล่าวจบคำ ผมที่หกก็หมดสติลงทันที

ฟางหยวนเงียบ เขามองรอยสักรูปอสรพิษสีแดงที่อยู่บนลำคอของผมที่หกก่อนจะกลับไปให้ความสนใจค่ายกลวิญญาณอีกครั้ง

ผมที่หกทำให้วิกฤตของการหลอมรวมวิญญาณได้รับการแก้ไข ฟางหยวนสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป

เขานำวัสดุในการหลอมรวมออกมาอีกครั้ง

มันเป็นหินที่มีลวดลายรูปใบหน้ามนุษย์อยู่บนพื้นผิว มีทั้งใบหน้าของผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก และคนแก่ พวกเขามีการแสดงที่แตกต่างกัน บางคนร้องไห้ บางคนหัวเราะ บางคนกรีดร้อง และบางคนแสดงสีหน้าเคร่งเครียด

หินใบหน้ามนุษย์!

นี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด

ฟางหยวนทุ่มเทสมาธิทั้งหมดกับการปรับแต่งหินใบหน้ามนุษย์

เพียงไม่นานหินก็สลายไปแต่ใบหน้าของมนุษย์กลายเป็นภาพเงาบินเข้าสู่ร่างผีดิบอมตะ

ทะเลวิญญาณของร่างผีดิบอมตะที่เต็มไปด้วยรอยแตกร้าวเกิดการเปลี่ยนแปลง

รอยแตกร้าวถูกเติมเต็มด้วยหินสีม่วงทองและมีหนานแหลมยื่นออกมาเหมือนเม่นดาราสีม่วง

ใบหน้ามนุษย์บินเข้าไปในร่างของวิญญาณกาลเวลาก่อนจะบินกลับออกมาอีกครั้ง

หลังจากชั่วครู่พวกมันก็ค่อยๆละลายเหมือนหิมะที่ถูกแผดเผาโดยแสงแดด พวกมันจางหายไปในความว่างเปล่าเหลือเพียงด้ายแสงเส้นเล็กๆทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง

ด้ายแสงเหล่านี้ก็คือเจตจำนงสวรรค์

ทุกครั้งที่ใบหน้ามนุษย์บินผ่านวิญญาณกาลเวลา มันจะดึงเจตจำนงสวรรค์ออกมา

เจตจำนงสวรรค์เหล่านี้สูญสลายไปด้วยพลังอำนาจของค่ายกลวิญญาณบนเส้นทางแห่งการหลอมรวม

วิญญาณกาลเวลาสั่นสะท้านขึ้น แต่มันยังปลอดภัยและไม่ปรากฎรอยแตกร้าวใดๆ

ฟางหยวนทุ่มเทความพยายามทั้งหมดเพื่อคิดค้นค่ายกลวิญญาณนี้ มันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันอันตราย

หลังจากผ่านไปหลายสิบรอบ แม้ฟางหยวนจะสามารถควบคุมใบหน้ามนุษย์ แต่สุดท้ายพวกมันก็หยุดดึงเจตจำนงสวรรค์ออกมา

อย่างไรก็ตามฟางหยวนยังสัมผัสได้ว่าในส่วนลึกที่สุดของวิญญาณกาลเวลายังมีเจตจำนงสวรรค์เหลืออยู่เล็กน้อย

เจตจำนงสวรรค์ดังกล่าวแทบไร้นัยสำคัญแต่ฟางหยวนไม่กล้าปล่อยมันไว้

‘เจตจำนงสวรรค์ช่างน่ารำคาญนัก ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องกำจัดมัน’ ฟางหยวนถอนหายใจก่อนจะกระตุ้นใช้ค่ายกลวิญญาณจนถึงขีดสุด

หนานแหลมคล้ายเม่นดาราสีม่วงบนกำแพงหินเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับพวกมันกำลังโกรธจัด พวกมันแทงเข้าไปในร่างของจั๊กจั่นไม้กาลเวลาจากทุกทิศทาง

วิญญาณกาลเวลาไม่ได้ถูกทำลายแต่มันกลายเป็นกลุ่มก้อนของเหลวสีเขียวขณะที่หนานแหลมเหล่านั้นเริ่มดูดซับของเหลวสีเขียวเข้าไปทั้งหมด

เจตจำนงสวรรค์ที่เหลืออยู่ปรากฏขึ้นในตำแหน่งเดิมของวิญญาณกาลเวลา

ฟางหยวนใช้โอกาสนี้ทำลายมันอย่างรวดเร็ว

จากนั้นของเหลวสีเขียวก็ถูกขับออกมาจากหนามแหลมและรวมตัวกันตรงกลาง

ในขั้นตอนนี้ฟางหยวนรู้สึกกดดันมาก ค่ายกลวิญญาณทำงานอย่างเต็มที่ ลูกพลัมแดงอมตะจำนวนมากถูกใช้ไปในกระบวนการนี้

ของเหลวสีเขียวค่อยๆเปลี่ยนรูปร่างกลับไปเป็นจั๊กจั่นไม้กาลเวลาอีกครั้ง

มันปลอดภัย! สิ่งเดียวที่แตกต่างจากก่อนหน้าคือไม่มีเจตจำนงสวรรค์เหลืออยู่ในร่างของมันอีกต่อไป!

เดิมทีนิกายเงาวางแผนที่จะเลื่อนระดับวิญญาณกาลเวลาผ่านการหลอมรวมก่อนจะหลอมรวมย้อนกลับเพื่อกำจัดเจตจำนงสวรรค์ แต่หลังจากถูกฟางหยวนดัดแปลง มันกลายเป็นการหลอมรวมคู่ขนาน

การหลอมรวมคู่ขนานมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงกว่าการหลอมรวมปกติ

แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังเต็มไปด้วยความยากลำบาก ในการหลอมรวมครั้งนี้หากผมที่หกไม่สามารถกอบกู้วิกฤตได้อย่างทันท่วงที มันอาจล้มเหลวไปแล้ว

วิญญาณกาลเวลาลอยอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆในทะเลวิญญาณขณะที่ฟางหยวนรู้สึกมีความสุขมาก
ในที่สุดฟางหยวนก็สามารถควบคุมวิญญาณกาลเวลาได้อย่างสมบูรณ์

“แค่ก แค่ก”

เป็นเพียงเวลานี้ที่เสียงแตกร้าวดังขึ้น

รอยแตกร้าวไม่ได้ปรากฏขึ้นบนร่างของวิญญาณกาลเวลาแต่มันเกิดขึ้นบนหินสีม่วงและหนามแหลม

ฟางหยวนเฝ้ามองและไม่ได้หยุดเหตุการณ์นี้

หินและหนามแตกออกพร้อมกับกำแพงคริสตัลของทะเลวิญญาณ

ทะเลวิญญาณของฟางหยวนถูกกดดันมาตลอดโดยวิญญาณกาลเวลา ตอนนี้มันถึงขีดจำกัดแล้ว

‘ในกรณีนี้ข้าก็ต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติอีกครั้ง’ ฟางหยวนหัวเราะขณะที่ดวงวิญญาณดวงหนึ่งปรากฏขึ้นด้านข้างค่ายกลวิญญาณ

หลังจากนั้นดวงวิญญาณดวงนี้ก็พุ่งเข้าไปในร่างผีดิบอมตะ

ร่างผีดิบอมตะเปิดเปลือกตาขึ้นและพยักหน้าให้ฟางหยวน

ความจริงก็คือมันเป็นดวงวิญญาณแยกของฟางหยวนที่เข้าครอบครองร่างผีดิบอมตะ

ท่าไม้ตายแยกวิญญาณ!

ฟางหยวนยิ้มและใช้ท่าไม้ตายอมตะกับร่างผีดิบอมตะ

ท่าไม้ตายอมตะความแข็งแกร่งเปลี่ยนชีวิตและความตาย!

นี่เป็นท่าไม้ตายที่เขาสร้างขึ้นนานแล้ว มันถูกดัดแปลงมาจากท่าไม้ตายอมตะเพลิงนิพพานของนางมารผลาญสวรรค์ มันช่วยให้ร่างผีดิบอมตะกลับคืนสู่ร่างมนุษย์ที่มีชีวิตอีกครั้ง

แน่นอนว่าด้วยการดัดแปลงของฟางหยวน ท่าไม้ตายอมตะความแข็งแกร่งเปลี่ยนชีวิตและความตายจึงเหนือกว่าท่าไม้ตายอมตะเพลิงนิพพาน
ฟางหยวนโยนวิญญาณอายุยืนสองดวงให้ร่างผีดิบอมตะที่กลับมามีชีวิต

ร่างเดิมของฟางหยวนใช้งานมันทันที

ร่างกายนี้อาบแสงแห่งปัญญามานานเกินไปขณะอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์เมืองหลวงของภาคเหนือ อายุขัยของมันใกล้หมดลงแล้ว

ด้วยการใช้วิญญาณอายุยืน ร่างเดิมของฟางหยวนจะไม่ตายทันทีเมื่อมันฟื้นคืนชีพขึ้นมา
ทะเลวิญญาณของเขาแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ปราณสวรรค์พิภพเริ่มสร้างความปั่นป่วนขึ้นในมิติช่องว่างจักรพรรดิ

ฟางหยวนไม่ต้องการให้ร่างเดิมของเขาเผชิญหน้ากับภัยพิบัติในมิติช่องว่างจักรพรรดิ ดังนั้นเขาจึงเปิดประตูมิติและส่งร่างเดิมของเขาออกไป

ร่างหลักของฟางหยวนตามออกมาเช่นกัน
ที่นี่เป็นสถานที่นิรนามแห่งหนึ่งของภาคเหนือ ฟางหยวนเลือกมันหลังจากตรวจสอบอย่างรอบคอบ ไม่มีผู้ใดอยู่ที่นี่ มันปลอดภัยมาก

ภัยพิบัติของการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะน่ากลัวมากสำหรับผู้ใช้วิญญาณทั่วไป
แต่ต่อหน้าฟางหยวน มันเป็นเหมือนขนมหวานสำหรับเขา
ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมปราณสวรรค์ ปราณพิภพ หรือปราณมนุษย์ รวมถึงการโจมตีของภัยพิบัติ ฟางหยวนล้วนคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างดี
สวรรค์กำลังโกรธจัด!

ฟางหยวนสามารถกำจัดเจตจำนงสวรรค์ในร่างวิญญาณกาลเวลา นี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
ด้วยเหตุนี้สวรรค์จึงส่งภัยพิบัติที่รุนแรงที่สุดเท่าที่มันจะทำได้ลงมา
แต่แน่นอนว่ามันไร้ประโยชน์ต่อหน้าฟางหยวน
ฟางหยวนสามารถกำจัดภัยพิบัติสวรรค์พิภพได้ในการโจมตีเพียงไม่กี่ครั้ง หลังจากนั้นร่างเดิมของเขาก็ก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ

คราวก่อนเป็นเส้นทางความแข็งแกร่ง แต่ครั้งนี้เป็นเส้นทางแห่งกาลเวลา

มิติช่องว่างบนเส้นทางแห่งกาลเวลาของเขาเป็นมิติช่องว่างระดับสูง มันเต็มไปด้วยทรัพยากรบนเส้นทางแห่งกาลเวลา

เมฆสีดำกระจายหายไป ท้องฟ้ากลับมาแจ่มใส แสงแดดสาดส่องลงมา

ฟางหยวนกับร่างเดิมของเขาลอยอยู่กลางอากาศและมองดูทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่อย่างเงียบๆ

ความขมขื่นและความยากลำบากที่ต้องเผชิญมาตลอดระยะเวลาห้าร้อยปีของชีวิตก่อนหน้า การต่อสู้กับเจตจำนงสวรรค์หลังจากกำเนิดใหม่ การดิ้นรนเอาชีวิตรอด ความเหนื่อยล้าจากการพยายามรักษาภูเขาตงฮัน การให้อาหารวิญญาณอมตะ การพัฒนามิติช่องว่าง การดัดแปลงท่าไม้ตาย และอื่นๆอีกมากมาย
ความยากลำบากทั้งหมดกลายเป็นรอยยิ้มเล็กๆที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของฟางหยวนทั้งสองคน
อดีตเป็นเหมือนหมอกควัน ความยากลำบากและความเจ็บปวดทั้งหมดของเขาถูกเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบางบนใบหน้า

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท