เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – ตอนที่ 1495

ตอนที่ 1495

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1495 พักผ่อน

แปลโดย iPAT

ภายในค่ายกลวิญญาณอมตะ ฟางหยวนนั่งไขว้ขาปิดเปลือกตาอยู่อย่างเงียบๆ

ไห่ลั่วหลันและคนอื่นๆพร้อมด้วยถังฟางหมิงกำลังควบคุมค่ายกลวิญญาณนี้อยู่

ฟางหยวนคำนวณกำไรขาดทุนของเขา

‘ประโยชน์ที่ได้รับจากการสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันของเทพปีศาจปล้นสวรรค์มีมากมาย นอกจากผลลัพธ์ของการทดสอบท่าไม้ตายอมตะสลายเจตจำนงสวรรค์จะน่าพอใจ ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งการโจรกรรมของข้ายังพุ่งขึ้นสู่ระดับปรมาจารย์!’

‘แต่ข้าต้องจ่ายด้วยราคามหาศาลเช่นกัน จิตวิญญาณของข้าตกลงสู่ระดับเก้าล้านคน มันเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่’

‘ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันให้ความช่วยเหลือข้าได้ไม่มากนักในอาณาจักรแห่งความฝันนี้’

จากการสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันในครั้งนี้ ฟางหยวนตระหนักถึงจุดหนึ่ง

เขาอาจมีท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝัน แต่วิธีนี้ไม่มีประสิทธิภาพมากนัก

‘ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันถูกใช้งานเพียงไม่กี่ครั้ง ดังนั้นค่าใช้จ่ายด้านพลังงานอมตะของข้าจึงค่อนข้างน้อย แต่ข้าต้องใช้วิญญาณความเด็ดเดี่ยวจำนวนมาก’

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ฟางหยวนก็ค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นและใช้วิญญาณความเด็ดเดี่ยวทันที

‘วิญญาณความเด็ดเดี่ยวจำนวนมาก!’ ดวงตาของถังฟางหมิงเบิกกว้างขึ้นด้วยความอิจฉาและปรารถนา

เขาเคยสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันของเทพปีศาจปล้นสวรรค์มาหลายครั้งแล้ว เขาเข้าใจถึงประโยชน์ของวิญญาณความเด็ดเดี่ยวเป็นอย่างดี แต่เขาแทบไม่สามารถซื้อหามันมาได้เพราะอุปทานในตลาดต่ำกว่าอุปสงค์มาก แต่ตอนนี้เขากำลังมองฟางหยวนใช้วิญญาณความเด็ดเดี่ยวจำนวนมากราวกับการกินขนม

‘เห้อ…หลังจากทั้งหมดเขาเป็นคนขายวิญญาณความเด็ดเดี่ยวแต่เพียงผู้เดียว’ ถังฟางหมิงลอบคร่ำครวญ

ในเวลาเดียวกันเขาก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของอาณาจักรแห่งความฝัน

อาณาจักรแห่งความฝันของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ใหญ่โตราวกับภูเขา แต่ตอนนี้บางส่วนของมันได้หายไปแล้ว

นี่เป็นผลมาจากความสำเร็จของฟางหยวน

ถังฟางหมิงถอนหายใจ

เขาสำรวจและค้นคว้าอาณาจักรแห่งความฝันของเทพปีศาจปล้นสวรรค์มานับพันครั้ง แต่ความสำเร็จทั้งหมดของเขายังไม่สามารถเปรียบเทียบกับเศษเสี้ยวของการสำรวจเพียงครั้งเดียวของฟางหยวน

ถังฟางหมิงเป็นผู้บุกเบิกการสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันของตระกูลถัง เขาสามารถสร้างวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งความฝันและมีความสำเร็จมากมาย แต่เขากลับไม่สามารถเปรียบเทียบกับฟางหยวนได้แม้แต่น้อย

ถังฟางหมิงรู้สึกละอายใจ แต่นอกเหนือจากนั้นเขารู้สึกชื่นชมฟางหยวนเป็นอย่างมาก

หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ฟางหยวนก็เปิดเปลือกตาขึ้น

ดวงตาของเขาส่องประกายแหลมคม

ด้วยการใช้วิญญาณความเด็ดเดี่ยวโดยไม่สนใจค่าใช้จ่าย รากฐานจิตวิญญาณของฟางหยวนก็เพิ่มขึ้นถึงระดับสิบล้านอีกครั้ง

อย่างไรก็ตามเขากลับรู้สึกว่าจิตวิญญาณของเขาบริสุทธิ์มากกว่าก่อนหน้า

‘ดูเหมือนการกัดกร่อนของอาณาจักรแห่งความฝันนี้จะช่วยขัดเกลาจิตวิญญาณของข้า แต่หากตรวจสอบอย่างละเอียด ประสิทธิภาพของมันยังด้อยกว่าหุบเขาเหล่าโปอยู่มาก’

ภูเขาตงฮันและหุบเขาเหล่าโปเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการบ่มเพาะจิตวิญญาณที่ถูกประกาศโดยเทพปีศาจจิตวิญญาณ พวกมันไม่ใช่ทรัพยากรที่สิ่งใดจะสามารถทดแทน

สิ่งสำคัญที่สุดคือฟางหยวนนำหุบเขาเหล่าโปมาด้วย!

ก่อนออกเดินทาง เขาได้พิจารณาทุกแง่มุมอย่างรอบคอบแล้ว ด้วยธรรมชาติที่ระวังตัวของเขา เขาจะไม่เตรียมตัวมาอย่างเพียงพอได้อย่างไร?

‘สำหรับภูเขาตงฮัน มีสวรรค์สีเหลืองที่สามารถส่งผ่านวิญญาณความเด็ดเดี่ยวมาให้ข้า จะนำมันมาด้วยหรือไม่ก็ไม่ต่างกัน’

ในความเป็นจริงไม่ใช่ว่าฟางหยวนไม่ต้องการนำภูเขาตงฮันมาด้วย

แต่มันมีความต้องการปราณสวรรค์พิภพสูงมาก

ในปัจจุบันมิติช่องว่างของเขามีแม่น้ำหวนคืน หุบเขาเหล่าโป และเมืองจิ๋วอยู่แล้ว ด้วยสิ่งเหล่านี้ เขาต้องวางมิติช่องว่างลงเพื่อดูดซับปราณสวรรค์พิภพทุกสามวัน

หากไม่เติมปราณสวรรค์พิภพตามกำหนดเวลา มิติช่องว่างของเขาจะสูญเสียรากฐาน ในกรณีเลวร้ายที่สุดมันอาจพังทลายลง

‘ความยากลำบากในการสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันของเทพปีศาจปล้นสวรรค์สูงเกินไป ฉากแรกก็น่าหนักใจมากแล้ว ฉากที่สองย่อมยากลำบากมากขึ้น’ ด้วยความเข้าใจนี้ฟางหยวนจึงตัดสินใจเพิ่มรากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของเขาขึ้นอีกระดับหนึ่งก่อนจะสำรวจต่อไป

ดังนั้นในช่วงเวลาต่อมาเขาจึงจดจ่ออยู่กับการบ่มเพาะจิตวิญญาณอย่างเงียบๆ

ด้วยการใช้วิญญาณความเด็ดเดี่ยวอย่างต่อเนื่อง รากฐานบนเส้นทางจิตวิญญาณของเขาจึงพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ขณะที่ฟางหยวนกำลังบ่มเพาะจิตวิญญาณเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันฉากที่สอง ในทะเลตะวันออก ฉิงเย่จื่อเฉิงได้เข้าพบผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลฉิงเย่เพื่อขอความช่วยเหลือ

“จื่อเฉิง ดูเหมือนเจ้าจะมีความตั้งใจอันแน่วแน่ต่อฉินไป่อี้” ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งมองทายาทผู้นี้และถอนหายใจ

“ถูกต้อง ข้าตัดสินใจแล้ว หวังว่าผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งจะช่วยข้า!” ฉิงเย่จื่อเฉิงกล่าวอย่างหนักแน่น

แต่ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งกลับส่ายศีรษะเบาๆ “มันยังไม่ถึงเวลาที่ข้าจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ยิ่งกว่านั้นความจริงยังไม่ปรากฏ แม้ข้าจะเคลื่อนไหว ข้าก็ไม่สามารถช่วยเจ้าได้มากนัก”

ฉิงเย่จื่อเฉิงรู้สึกประหลาดใจ ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลฉิงเย่ผู้นี้เป็นผู้อมตะระดับแปดแต่เขากลับบอกว่าไม่สามารถช่วยได้มากนัก นี่หมายความว่าอย่างไร?

แต่ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งกลับกล่าวบางสิ่งที่ทำให้เขาเข้าใจทันที

“ผู้เยาว์ขอบคุณผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งสำหรับคำแนะนำ ตอนนี้ข้าจะไปขอความช่วยเหลือ” ฉิงเย่จื่อเฉิงกล่าวอย่างมีความสุข

“ไปเถอะ” ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งหัวเราะเบาๆและโบกมือ

ฉิงเย่จื่อเฉิงบินออกจากฐานทัพใหญ่ของตระกูลฉิงเย่และเดินทางไปยังอาณาเขตของตระกูลหนานกง

ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลฉิงเย่บอกเขาว่าฉิงไป่อี้และโหยว่ชานยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ยังไม่ชัดเจน สถานการณ์ที่พวกนางเผชิญยังไม่แน่ชัด ดังนั้นสิ่งที่เขาควรทำคือไปขอความช่วยเหลือจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาเพื่อค้นหาความจริง เมื่อรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับหญิงทั้งสอง พวกเขาจึงจะสามารถตามหาผู้กระทำผิดและแก้แค้น

ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเรื่องนี้ไม่ใช่ผู้ใดนอกจากหนึ่งในสามผู้เชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งปัญญาที่ยอดเยี่ยมที่สุดของทะเลตะวันออก ผู้อมตะฮัวอัน ที่ซ่อนตัวอยู่ในตระกูลหนานกง คนผู้นี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโหยว่ชาน หากโหยว่ชานมีปัญหา เขาต้องยื่นมือเข้าช่วยอย่างแน่นอน

ฉิงเย่จื่อเฉิงรู้สึกว่าการวิเคราะห์ของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งถูกต้อง ดังนั้นเขาจึงเร่งไปขอความช่วยเหลือจากฮัวอันทันที

แต่ระหว่างทางเขาพบกับผู้อมตะระดับหกของตระกูลหนานกง

ผู้อมตะผู้นี้นำข้อความมาจากฮัวอัน “นายน้อยจื่อเฉิง นายท่านฮัวอันอนุมานแล้วว่าท่านต้องการพบนายท่านของข้า ดังนั้นนายท่านของข้าจึงส่งข้าออกมาต้อนรับท่าน ตอนนี้นายท่านกำลังรออยู่ข้างหน้า”

ฉิงเย่จื่อเฉิงดีใจมาก เขาต้องถอนหายใจด้วยความชื่นชมในความสามารถของฮัวอัน

ไม่นานทั้งสองก็ได้พบกัน

ฮัวอันกล่าว “ข้าจะกล่าวตามตรงกับท่าน ไม่นานมานี้เทพธิดาโหยว่ชานมาขอความช่วยเหลือจากข้า แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถช่วยนางได้”

ฮัวอันและฉิงเย่จื่อเฉิงแลกเปลี่ยนข้อมูลกันและผู้ต้องสงสัยคนแรกขที่พวกเขานึกถึงก็คือฟางหยวน

เพราะการตายของโหยว่ชานจะทำให้ฟางหยวนได้รับผลประโยชน์ในธุรกิจปลามังกร

น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ได้รับคำแนะนำจากวังสวรรค์และรู้เพียงว่าผู้อมตะลึกลับที่ขายปลามังกรอยู่ในสวรรค์สีเหลืองน่าสงสัยและมีแรงจูงใจมากที่สุด แต่พวกเขาไม่รู้ว่าคนผู้นี้คือฟางหยวน

“ข้าอนุมานอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ข้าเกรงว่าสถานการณ์ของโหยว่ชานและฉินไป่อี้จะไม่สามารถมองในแง่ดี” ฮัวอันกล่าวด้วยสีหน้าหนักใจ “คราวนี้ข้าจะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งปัญญาอีกสองคน เราจะรวมมือกันอนุมานตัวผู้ร้าย”

ฉิงเย่จื่อเฉิงส่ายศีรษะ

“ไม่ ข้าเชื่อว่าเทพธิดาทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ พวกนางยังไม่ตาย! ท่านฮัวอัน โปรดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เทพธิดาทั้งสองเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด แล้วผู้ใดจะสังหารพวกนางได้อย่างง่ายดาย?”

ฮัวอันเข้าใจความรู้สึกของฉิงเย่จื่อเฉิงและพยักหน้าปลอบใจ “คำกล่าวของท่านก็มีเหตุผล”

จากนั้นเขาก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ข้ามีแผน เราอาจกระจายข่าวเกี่ยวกับการเสียชีวิตของเทพธิดาทั้งสองออกไป หากพวกนางยังมีชีวิตอยู่ พวกนางจะรู้ว่าพวกเรากำลังตามหาพวกนางและต้องการช่วยเหลือ หากพวกนางกำลังถูกไล่ล่า เมื่อข่าวลือแพร่สะพัดออกไป ผู้ร้ายจะสับสนและจะหันความสนใจมาที่พวกเรา”

“แผนเยี่ยม!” ฉิงเย่จื่อเฉิงปรบมือชื่นชม

ครึ่งเดือนผ่านไป

จิตวิญญาณของฟางหยวนพุ่งขึ้นถึงระดับเก้าสิบล้านคน มันห่างจากระดับหนึ่งร้อยล้านคนเพียงเล็กน้อย

ในช่วงเวลานี้เขาไม่ได้ฝึกฝนท่าไม้ตายอมตะใดๆแต่ใช้เวลาทั้งหมดกับการบ่มเพาะจิตวิญญาณ

แม้เขาจะใช้วิญญาณความเด็ดเดี่ยวอย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์ทางการเงินของเขากลับดีขึ้นเรื่อยๆ

เหตุผลเป็นเพราะธุรกิจปลามังกร

ฟางหยวนฆ่าโหยว่ชานและฉินไป่อี้ กระทั่งวังสวรรค์ก็ไม่สามารถหยุดความก้าวหน้าของเขา

ในสวรรค์สีเหลือง ฟางหยวนกลายเป็นผู้ขายอันดับหนึ่งในธุรกิจปลามังกรและไม่มีผู้ใดสามารถแข่งขัน

ดังนั้นธุรกิจปลามังกรของเขาจึงคึกคักมากโดยเฉพาะปลามังกรเงินที่กระตุ้นยอดขายได้อย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้ราคาของมันเพิ่มขึ้นในระดับที่น่าตกใจ

‘สิ่งที่น่าสังเกตคือข่าวการเสียชีวิตของโหยว่ชานและฉินไป่อี้ได้แพร่กระจายออกไปในทะเลตะวันออก ดูเหมือนบางคนกำลังวางแผนจากเงามืด’

‘ลืมมันไปซะ สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คืออาณาจักรแห่งความฝันของเทพปีศาจปล้นสวรรค์’

ด้วยจิตวิญญาณของมนุษย์เก้าสิบล้านคน ฟางหยวนมั่นใจมาก หลังจากพักผ่อนอีกหนึ่งวัน เขาก็เข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝันอีกครั้งเพื่อสำรวจฉากต่อไปของมัน

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท