เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – บทที่ 1507 มรดกตระกูลชิง

บทที่ 1507 มรดกตระกูลชิง

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1507 มรดกตระกูลชิง

แปลโดย iPAT

“โอ้ มีเรื่องเช่นนั้นงั้นหรือ? ดูเหมือนเขาจะได้รับมาโดยบังเอิญ แต่ข้ากล่าวไปแล้วว่าจะปล่อยเขาไป พวกเจ้าต้องการให้ข้ากลับคำพูดงั้นหรือ?” การแสดงออกของฟางหยวนเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะที่เขามองไปยังฟางหยุนและฟางเล้งด้วยสายตาเย็นชา

ฟางหยุนและฟางเล้งมองหน้ากัน ทั้งสองพยายามหลบสายตาของฟางหยวน

ในเวลาเดียวกันฟางหยุนก็อุทานอยู่ในใจ ‘ผู้มีพระคุณทรงพลังมาก มันไม่ง่ายที่จะโต้แย้งเขา’

ในทางกลับกันฟางเล้งสามารถสงบจิตใจ ‘ดี คนผู้นี้ให้ความสำคัญกับคำพูดของตนเอง แม้จะมีสิ่งล่อใจเช่นวิญญาณอมตะระดับแปด แต่เขายังยืนยันคำกล่าวของตนเอง กล่าวได้ว่าเขามีความหยิ่งยโส แต่นี่ก็ทำให้พวกเราทั้งสองคนมีโอกาสรอดชีวิต’

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ฟางเล้งก็พยายามลุกขึ้น “ข้าคือฟางเล้ง และนี่คือน้องชายของข้า ฟางหยุน เราขอขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยพวกเราเอาไว้”

“อืม” ฟางหยวนพยักหน้าเบาๆก่อนจะยื่นมือออกมา

แรงดึงดูดที่ไร้รูปลักษณ์ดึงฟางเล้งและฟางหยุนเข้าไปหาฟางหยวน

หัวใจของฟางเล้งเต้นแรงแต่เขายังสามารถรักษาความสงบ ด้านฟางหยุน เขากรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ

แต่ไม่นานทั้งสองก็พบว่าฟางหยวนได้ปลดโซ่ตรวนวิญญาณให้กับพวกเขาแล้ว นั่นทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจขึ้น

สำหรับฟางหยวน วิธีการของผีเฒ่าไป่จุนไม่ถือเป็นสิ่งใด

โซ่ตรวนที่ผนึกฟางหยุนและฟางเล้งเอาไว้ไม่แม้แต่จะเป็นท่าไม้ตายอมตะ ฟางหยวนสามารถทำลายมันได้อย่างง่ายดาย

ฟางเล้งและฟางหยุนที่ได้รับอิสระกล่าวขอบคุณฟางหยวนอีกครั้ง แต่หัวใจของพวกเขายังสั่นสะท้าน พวกเขาคิด ‘คนผู้นี้ช่างเผด็จการนัก แม้เขาจะช่วยพวกเรา แต่เขาไม่เคยถามความคิดเห็นของพวกเราและดำเนินการทันที’

พวกเขาไม่สามารถจินตนาการว่าฟางหยวนทำสิ่งเหล่านี้โดยเจตนาและเขาก็ประสบความสำเร็จในการสร้างภาพลักษณ์ที่หยิ่งยโสให้กับตนเอง

“พวกเจ้าสามารถเรียกข้าว่าซวนปู้จิน” ฟางหยวนกล่าวแนะนำตัว

แต่ประโยคต่อมา ฟางหยวนกลับขับไล่คนทั้งสองไป “ข้าบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งปัญญาเป็นหลักและรับสืบทอดมรดกของเจิ้งจิงเฉิน นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าช่วยพวกเจ้าทั้งสอง เอาล่ะ พวกเจ้าไปได้แล้ว”

“อา…” ฟางหยุนมึนงง

“ผู้เยาว์จะจดจำความเมตตาของผู้อาวุโสเอาไว้และจะรายงานเรื่องนี้ต่อผู้อาวุโสของตระกูล ผู้อาวุโสอาศัยอยู่ในทะเลทรายผีเขียวแห่งนี้ใช่หรือไม่?” ฟางเล้งป้องหมัดถามด้วยความเคารพ

“ข้าได้รับประโยชน์จากอสูรวิญญาณเหล่านี้ ข้าไม่ได้ช่วยพวกเจ้าเพื่อผลประโยชน์ ไปซะ” ฟางหยวนโบกมืออย่างเย็นชา สายตาของเขาเผยให้เห็นร่องรอยของความไม่สามารถอดทน

ฟางเล้งและฟางหยุนไม่กล้ารบกวนเขาอีก ทั้งสองโค้งคำนับก่อนจะบินจากไป

‘ข้าไม่ได้คาดหวังว่าผีเฒ่าไป่จุนจะมีวิญญาณอมตะระดับแปด แล้วผู้อมตะตระกูลฟางทั้งสองรู้ได้อย่างไรว่าผีเฒ่าไป่จุนมีวิญญาณอมตะดังกล่าว ผีเฒ่าไป่จุนใช้มันต่อหน้าพวกเขางั้นหรือ?’ ฟางหยวนสงสัย

ผีเฒ่าไป่จุนเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดแต่เขาใช้วิญญาณอมตะระดับแปด อาจกล่าวได้ว่าวิญญาณอมตะดวงนี้มีเงื่อนไขพิเศษในการใช้งานเช่นเดียวกับวิญญาณทัศนคติ

นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ฟางหยวนถูกล่อลวง

‘แต่…’

‘ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนจัดการผีเฒ่าไป่จุน’

ฟางหยวนรู้ตำแหน่งที่อยู่ของผีเฒ่าไป่จุน

ด้วยธรรมชาติที่ระมัดระวังของฟางหยวน เขาลอบใช้วิธีติดตามตัวผีเฒ่าไป่จุนระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้านี้แล้ว แม้ฟางหยวนจะปล่อยผีเฒ่าไป่จุนไป แต่เขารู้การเคลื่อนไหวของฝ่ายหลัง

ในอดีตฟางหยวนไม่มีวิธีการดังกล่าว แต่เมื่อเร็วๆนี้เขาได้รับวิธีการมากมายจากการฝึกฝนอย่างหนัก

“ท่านพี่ ท่านคิดว่าผู้มีพระคุณจะรู้หรือไม่ว่าผีเฒ่าไป่จุนมีวิญญาณอมตะระดับแปด เขาเร่งช่วยพวกเราเพราะต้องการไล่ล่าผีเฒ่าไป่จุนหรือไม่?” ขณะบินอยู่บนท้องฟ้า ฟางหยุนเปิดปากถาม

ฟางเล้งคิดก่อนจะส่ายศีรษะ “ด้วยความเข้าใจของข้าที่มีต่อผู้อาวุโสซวนปู้จิน มันไม่ควรเป็นเช่นนั้น”

ฟางหยุนไม่สามารถกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ได้ “จากคำกล่าวของท่าน ดูเหมือนท่านจะรู้จักผู้อาวุโสเป็นอย่างดี ไม่ใช่ว่าท่านก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับข้างั้นหรือ? พวกเราพึ่งพบผู้อาวุโสเป็นครั้งแรกก่อนจะถูกไล่ออกมา”

ฟางเล้งชำเลืองมองฟางหยุน “วิญญาณอมตะระดับแปดเป็นเรื่องใหญ่ แต่ผู้อาวุโสผู้นี้มีความภาคภูมิใจในตัวเองสูง เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด นอกจากนั้นเราบอกเขาเกี่ยวกับการคงอยู่ของวิญญาณอมตะระดับแปด หากผู้อาวุโสต้องการจับผีเฒ่าไป่จุนจริงๆ เขาจะไม่ถามพวกเราว่าวิญญาณอมตะระดับแปดดวงนี้คือสิ่งใดและมีความสามารถใดงั้นหรือ?”

ฟางหยุนตบหน้าผากของตนเอง “การวิเคราะห์ของท่านสมเหตุสมผล ดูเหมือนผู้อาวุโสจะไม่มีความคิดที่จะไล่ล่าผีเฒ่าไป่จุน เห้อ…ผีเฒ่าไป่จุนทรมานพวกเราอย่างหนัก ข้าหวังว่าผู้อาวุโสจะช่วยจับเขาแทนพวกเรา”

ฟางเล้งส่ายศีรษะ “วิญญาณอมตะระดับแปดป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณสามารถออกคำสั่งอสูรวิญญาณ หากผู้อาวุโสนำกองทัพอสูรวิญญาณเข้าสู่การต่อสู้ เขาจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เราควรกลับตระกูลก่อนและให้ผู้อาวุโสคนอื่นๆเป็นผู้ตัดสินใจ”

ทะเลทรายผีเขียวอยู่ใกล้อาณาเขตของตระกูลฟาง หลังจากบินมาได้ชั่วครู่ ฟางหยุนกับฟางเล้งก็มาถึงค่ายกลวิญญาณอมตะ

ด้วยค่ายกลวิญญาณอมตะนี้ มันสามารถนำพวกเขาไปยังฐานทัพใหญ่ของตระกูลได้โดยตรง

ฟางหยุนและฟางเล้งแยกทางกันหลังจากนั้น

ฟางเล้งไปรายงานตัวกับผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งขณะที่ฟางหยุนไปรายงานเรื่องนี้กับผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สอง

โดยพื้นฐานแล้วกิจการต่างๆของตระกูลฟางจะถูกตัดสินใจโดยผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งและผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สอง

หลังจากได้ยินเรื่องนี้ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสองก็รีบเปิดประชุมเพื่อหารือเรื่องดังกล่ว

ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองถาม “ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง ท่านรู้จักเจิ้งจิงเฉินหรือไม่?”

ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งพยักหน้าเล็กน้อย “คนผู้นี้เป็นผู้บ่มเพาะสันโดษในตำนาน เขามีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีกับตระกูลฟางของเรา ในช่วงปีแรกๆของการบ่มเพาะ เขาได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากตระกูลฟางของเรา เขากระทั่งเป็นชู้กับบรรพชนของตระกูล แต่น่าเสียดายที่บรรพชนของเราเสียชีวิตในการต่อสู้ขณะที่เจิ้งจิงเฉินไม่ได้เข้าร่วมกับตระกูลของเรา”

ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองเข้าใจทันที

แม้กองกำลังใหญ่จะให้ความสำคัญกับครอบครัวและสายเลือด แต่พวกเขามักจะรับสายเลือดใหม่เข้ามาเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขาพบเมล็ดพันธุ์ชั้นยอด กองกำลังใหญ่เหล่านี้จะสนับสนุนเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นด้วยทรัพยากร

หากคนเหล่านั้นกลายเป็นผู้อมตะ กองกำลังนั้นๆจะรับพวกเขาเข้าเป็นสมาชิก

โดยปกติแล้วสถานการณ์ดังกล่าวหาได้ค่อนข้างยาก

ประการแรก พวกเขาจะให้การสนับสนุนอย่างไม่เป็นทางการในช่วงแรก เนื่องจากความน่าจะเป็นที่มนุษย์จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมีน้อยมาก

ประการต่อมา แม้พวกเขาจะกลายเป็นผู้อมตะ พวกเขาก็อาจไม่เต็มใจที่จะเข้าร่วมกับกองกำลังนั้นๆ

อย่างไรก็ตามกระทั่งพวกเขาจะไม่เข้าร่วม แต่น้ำใจในอดีตก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดี

หากสามารถดึงผู้บ่มเพาะสันโดษให้มาอยู่ฝ่ายเดียวกัน การลงทุนครั้งเก่าก่อนก็ยังถือว่าคุ้มค่า

เจิ้งจินเฉินเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเรื่องนี้ หากไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุ เขาคงเข้าเป็นสมาชิกของตระกูลฟางไปแล้ว

แน่นอนว่าเขาต้องแต่งงานเข้าตระกูล

หลังจากนั้นบุตรหลานของเขาจะใช้แซ่ฟาง

“เรื่องของเจิ้งจินเฉินถูกปกปิดเอาไว้ หลายคนไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของเขา ซวนปู้จินผู้นี้อาจจะไม่ได้โกหก” ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งกล่าว

ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองขมวดคิ้วเล็กน้อย “ยังไม่สามารถระบุก่อนจะได้รับการยืนยัน นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่เขาจะร่วมมือกับผีเฒ่าไป่จุน”

สายตาของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งเผยให้เห็นถึงความหนักใจ “หากเป็นเช่นนั้น ซวนปู้จินอาจร่วมมือกับผีเฒ่าไป่จุนเพื่อเข้าใกล้ตระกูลฟางและรับมรดกของตระกูลชิง”

แน่นอนว่าฟางหยวนมีแผนการของตน เขาจงใจแสดงความปรารถนาดีและช่วยชีวิตผู้อมตะตระกูลฟางทั้งสอง

แต่ในการประชุมของผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลฟาง พวกเขากลับคิดไปไกลถึงมรดกของตระกูลชิง

ตระกูลชิงเคยเป็นมหาอำนาจแต่พวกเขาถูกกำจัดไปนานแล้ว

คนที่ทำลายล้างตระกูลชิงไม่ใช่ผู้ใดนอกจากเทพปีศาจจิตวิญญาณ

ก่อนที่เทพปีศาจจิตวิญญาณจะกลายเป็นผู้อมตะระดับเก้า เขาต่อสู้กับตระกูลชิงเพียงลำพังหลังจากเกิดความขัดแย้ง

หากตระกูลชิงรู้ว่าเทพปีศาจจิตวิญญาณจะกลายเป็นผู้อมตะระดับเก้าในอนาคต พวกเขาคงไม่กล้าต่อต้านคนผู้นี้ น่าเสียดายที่ตระกูลชิงดูแคลนเทพปีศาจจิตวิญญาณเนื่องจากความเหนือกว่าในด้านของจำนวนคนและทรัพยากร

เทพปีศาจจิตวิญญาณเติบโตขึ้นทีละขั้น ยิ่งเขาต่อสู้ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ในที่สุดเขาก็มาถึงฐานทัพใหญ่ของตระกูลชิงและต่อสู้อย่างดุเดือด เขากวาดล้างสมาชิกทั้งหมดของตระกูลชิง ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าจำนวนมหาศาลถูกทิ้งไว้ในสนามรบและทำให้มันกลายเป็นทะเลทรายผีเขียวในปัจจุบัน

แม้ตระกูลชิงจะถูกทำลายล้าง แต่มีข่าวลือว่าก่อนที่ผู้อาวุโสสุงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลชิงจะเสียชีวิต เขาได้ผนึกทรัพยากรทั้งหมดของตระกูลเอาไว้ที่ทะเลทรายผีเขียว

มีเงื่อนไขเพียงข้อเดียวในการรับสืบทอดมรดกนี้ นั่นคือผู้รับสืบทอดต้องแก้แค้นให้กับตระกูลชิงโดยการสังหารเทพปีศาจจิตวิญญาณ หากเทพปีศาจจิตวิญญาณตายแล้ว เป้าหมายของการแก้แค้นจะถูกย้ายไปที่ครอบครัว สหาย หรือศิษย์ของเทพปีศาจจิตวิญญาณ

น่าเสียดายที่เทพปีศาจจิตวิญญาณกลายเป็นผู้อมตะระดับเก้า คนทั้งโลกไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาขณะที่มรดกของตระกูลชิงกลายเป็นเรื่องตลก

ตระกูลฟางเป็นกองกำลังใหญ่ที่อยู่ใกล้ทะเลทรายผีเขียวมากที่สุด พวกเขามีข้อมูลมากกว่ากองกำลังอื่น หลังจากตระกูลชิงถูกทำลายล้าง บรรพบุรุษของตระกูลฟางก็เริ่มค้นหาเบาะแสเกี่ยวกับมรดกของตระกูลชิงอย่างจริงจัง

หลังจากทุ่มเทความพยายามมานานหลายชั่วอายุคน เบาะแสที่กระจัดกระจายก็ถูกปะติดปะต่อเข้าด้วยกันและทำให้มันมีค่ามากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อมาถึงรุ่นปัจจุบันพวกเขาก็ได้รับเบาะแสที่สมบูรณ์มาแล้ว ขณะเดียวกันพวกเขาก็เริ่มตรวจสอบทะเลทรายผีเขียวอย่างลับๆ

ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งถอนหายใจ “เราไม่มีกำลังพอที่จะยึดครองทะเลทรายผีเขียว ยังไม่ต้องกล่าวถึงการกำจัดอสูรวิญญาณ ตระกูลของเรามีผู้อมตะน้อยเกินไป หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ เราย่อมไม่ปล่อยให้ฟางเล้งและฟางหยุนออกไปเสี่ยงอันตราย แต่ผู้ใดที่จะคิดว่าพวกเขาจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับผีเฒ่าไป่จุนและซวนปู้จิน”

“ข้าเคยได้ยินเรื่องของผีเฒ่าไป่จุนมาก่อน แต่ผู้ใดจะคิดว่าเขาจะครอบครองวิญญาณอมตะระดับแปดป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณ! และการปรากฏตัวของซวนปู้จินก็ฉับพลันเกินไป ต้นกำเนิดของเขายังคลุมเครือ เขามีวิธีการที่ทรงพลัง ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรแต่สองสิ่งนี้จะเป็นอุปสรรคต่อพวกเราในการค้นหามรดกของตระกูลชิง”

ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองพยักหน้า

ตระกูลฟางมีทรัพยากรและอาณาเขตกว้างใหญ่ ผู้อมตะของพวกเขาต้องออกไปปกป้องแหล่งทรัพยากร แต่มรดกของตระกูลชิงก็ดึงดูดใจมากเกินไปโดยเฉพาะเบาะแสที่กล่าวถึงคฤหาสน์วิญญาณอมตะวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างขึ้นโดยเทพอมตะบัวสวรรค์ซึ่งถูกทิ้งไว้ในทะเลทรายตะวันตก คุณค่าของมันสูงมาก

ตระกูลฟางมีชื่อเสียงในด้านคฤหาสน์วิญญาณ ดังนั้นวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์จึงมีความสำคัญสำหรับพวกเขา นี่เป็นความปรารถนาที่ตระกูลฟางส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นตลอดระยะเวลาอันยาวนาน

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท