เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1507 มรดกตระกูลชิง
แปลโดย iPAT
“โอ้ มีเรื่องเช่นนั้นงั้นหรือ? ดูเหมือนเขาจะได้รับมาโดยบังเอิญ แต่ข้ากล่าวไปแล้วว่าจะปล่อยเขาไป พวกเจ้าต้องการให้ข้ากลับคำพูดงั้นหรือ?” การแสดงออกของฟางหยวนเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะที่เขามองไปยังฟางหยุนและฟางเล้งด้วยสายตาเย็นชา
ฟางหยุนและฟางเล้งมองหน้ากัน ทั้งสองพยายามหลบสายตาของฟางหยวน
ในเวลาเดียวกันฟางหยุนก็อุทานอยู่ในใจ ‘ผู้มีพระคุณทรงพลังมาก มันไม่ง่ายที่จะโต้แย้งเขา’
ในทางกลับกันฟางเล้งสามารถสงบจิตใจ ‘ดี คนผู้นี้ให้ความสำคัญกับคำพูดของตนเอง แม้จะมีสิ่งล่อใจเช่นวิญญาณอมตะระดับแปด แต่เขายังยืนยันคำกล่าวของตนเอง กล่าวได้ว่าเขามีความหยิ่งยโส แต่นี่ก็ทำให้พวกเราทั้งสองคนมีโอกาสรอดชีวิต’
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ฟางเล้งก็พยายามลุกขึ้น “ข้าคือฟางเล้ง และนี่คือน้องชายของข้า ฟางหยุน เราขอขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยพวกเราเอาไว้”
“อืม” ฟางหยวนพยักหน้าเบาๆก่อนจะยื่นมือออกมา
แรงดึงดูดที่ไร้รูปลักษณ์ดึงฟางเล้งและฟางหยุนเข้าไปหาฟางหยวน
หัวใจของฟางเล้งเต้นแรงแต่เขายังสามารถรักษาความสงบ ด้านฟางหยุน เขากรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ
แต่ไม่นานทั้งสองก็พบว่าฟางหยวนได้ปลดโซ่ตรวนวิญญาณให้กับพวกเขาแล้ว นั่นทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจขึ้น
สำหรับฟางหยวน วิธีการของผีเฒ่าไป่จุนไม่ถือเป็นสิ่งใด
โซ่ตรวนที่ผนึกฟางหยุนและฟางเล้งเอาไว้ไม่แม้แต่จะเป็นท่าไม้ตายอมตะ ฟางหยวนสามารถทำลายมันได้อย่างง่ายดาย
ฟางเล้งและฟางหยุนที่ได้รับอิสระกล่าวขอบคุณฟางหยวนอีกครั้ง แต่หัวใจของพวกเขายังสั่นสะท้าน พวกเขาคิด ‘คนผู้นี้ช่างเผด็จการนัก แม้เขาจะช่วยพวกเรา แต่เขาไม่เคยถามความคิดเห็นของพวกเราและดำเนินการทันที’
พวกเขาไม่สามารถจินตนาการว่าฟางหยวนทำสิ่งเหล่านี้โดยเจตนาและเขาก็ประสบความสำเร็จในการสร้างภาพลักษณ์ที่หยิ่งยโสให้กับตนเอง
“พวกเจ้าสามารถเรียกข้าว่าซวนปู้จิน” ฟางหยวนกล่าวแนะนำตัว
แต่ประโยคต่อมา ฟางหยวนกลับขับไล่คนทั้งสองไป “ข้าบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งปัญญาเป็นหลักและรับสืบทอดมรดกของเจิ้งจิงเฉิน นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าช่วยพวกเจ้าทั้งสอง เอาล่ะ พวกเจ้าไปได้แล้ว”
“อา…” ฟางหยุนมึนงง
“ผู้เยาว์จะจดจำความเมตตาของผู้อาวุโสเอาไว้และจะรายงานเรื่องนี้ต่อผู้อาวุโสของตระกูล ผู้อาวุโสอาศัยอยู่ในทะเลทรายผีเขียวแห่งนี้ใช่หรือไม่?” ฟางเล้งป้องหมัดถามด้วยความเคารพ
“ข้าได้รับประโยชน์จากอสูรวิญญาณเหล่านี้ ข้าไม่ได้ช่วยพวกเจ้าเพื่อผลประโยชน์ ไปซะ” ฟางหยวนโบกมืออย่างเย็นชา สายตาของเขาเผยให้เห็นร่องรอยของความไม่สามารถอดทน
ฟางเล้งและฟางหยุนไม่กล้ารบกวนเขาอีก ทั้งสองโค้งคำนับก่อนจะบินจากไป
‘ข้าไม่ได้คาดหวังว่าผีเฒ่าไป่จุนจะมีวิญญาณอมตะระดับแปด แล้วผู้อมตะตระกูลฟางทั้งสองรู้ได้อย่างไรว่าผีเฒ่าไป่จุนมีวิญญาณอมตะดังกล่าว ผีเฒ่าไป่จุนใช้มันต่อหน้าพวกเขางั้นหรือ?’ ฟางหยวนสงสัย
ผีเฒ่าไป่จุนเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดแต่เขาใช้วิญญาณอมตะระดับแปด อาจกล่าวได้ว่าวิญญาณอมตะดวงนี้มีเงื่อนไขพิเศษในการใช้งานเช่นเดียวกับวิญญาณทัศนคติ
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ฟางหยวนถูกล่อลวง
‘แต่…’
‘ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนจัดการผีเฒ่าไป่จุน’
ฟางหยวนรู้ตำแหน่งที่อยู่ของผีเฒ่าไป่จุน
ด้วยธรรมชาติที่ระมัดระวังของฟางหยวน เขาลอบใช้วิธีติดตามตัวผีเฒ่าไป่จุนระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้านี้แล้ว แม้ฟางหยวนจะปล่อยผีเฒ่าไป่จุนไป แต่เขารู้การเคลื่อนไหวของฝ่ายหลัง
ในอดีตฟางหยวนไม่มีวิธีการดังกล่าว แต่เมื่อเร็วๆนี้เขาได้รับวิธีการมากมายจากการฝึกฝนอย่างหนัก
“ท่านพี่ ท่านคิดว่าผู้มีพระคุณจะรู้หรือไม่ว่าผีเฒ่าไป่จุนมีวิญญาณอมตะระดับแปด เขาเร่งช่วยพวกเราเพราะต้องการไล่ล่าผีเฒ่าไป่จุนหรือไม่?” ขณะบินอยู่บนท้องฟ้า ฟางหยุนเปิดปากถาม
ฟางเล้งคิดก่อนจะส่ายศีรษะ “ด้วยความเข้าใจของข้าที่มีต่อผู้อาวุโสซวนปู้จิน มันไม่ควรเป็นเช่นนั้น”
ฟางหยุนไม่สามารถกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ได้ “จากคำกล่าวของท่าน ดูเหมือนท่านจะรู้จักผู้อาวุโสเป็นอย่างดี ไม่ใช่ว่าท่านก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับข้างั้นหรือ? พวกเราพึ่งพบผู้อาวุโสเป็นครั้งแรกก่อนจะถูกไล่ออกมา”
ฟางเล้งชำเลืองมองฟางหยุน “วิญญาณอมตะระดับแปดเป็นเรื่องใหญ่ แต่ผู้อาวุโสผู้นี้มีความภาคภูมิใจในตัวเองสูง เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด นอกจากนั้นเราบอกเขาเกี่ยวกับการคงอยู่ของวิญญาณอมตะระดับแปด หากผู้อาวุโสต้องการจับผีเฒ่าไป่จุนจริงๆ เขาจะไม่ถามพวกเราว่าวิญญาณอมตะระดับแปดดวงนี้คือสิ่งใดและมีความสามารถใดงั้นหรือ?”
ฟางหยุนตบหน้าผากของตนเอง “การวิเคราะห์ของท่านสมเหตุสมผล ดูเหมือนผู้อาวุโสจะไม่มีความคิดที่จะไล่ล่าผีเฒ่าไป่จุน เห้อ…ผีเฒ่าไป่จุนทรมานพวกเราอย่างหนัก ข้าหวังว่าผู้อาวุโสจะช่วยจับเขาแทนพวกเรา”
ฟางเล้งส่ายศีรษะ “วิญญาณอมตะระดับแปดป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณสามารถออกคำสั่งอสูรวิญญาณ หากผู้อาวุโสนำกองทัพอสูรวิญญาณเข้าสู่การต่อสู้ เขาจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เราควรกลับตระกูลก่อนและให้ผู้อาวุโสคนอื่นๆเป็นผู้ตัดสินใจ”
ทะเลทรายผีเขียวอยู่ใกล้อาณาเขตของตระกูลฟาง หลังจากบินมาได้ชั่วครู่ ฟางหยุนกับฟางเล้งก็มาถึงค่ายกลวิญญาณอมตะ
ด้วยค่ายกลวิญญาณอมตะนี้ มันสามารถนำพวกเขาไปยังฐานทัพใหญ่ของตระกูลได้โดยตรง
ฟางหยุนและฟางเล้งแยกทางกันหลังจากนั้น
ฟางเล้งไปรายงานตัวกับผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งขณะที่ฟางหยุนไปรายงานเรื่องนี้กับผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สอง
โดยพื้นฐานแล้วกิจการต่างๆของตระกูลฟางจะถูกตัดสินใจโดยผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งและผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สอง
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสองก็รีบเปิดประชุมเพื่อหารือเรื่องดังกล่ว
ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองถาม “ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง ท่านรู้จักเจิ้งจิงเฉินหรือไม่?”
ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งพยักหน้าเล็กน้อย “คนผู้นี้เป็นผู้บ่มเพาะสันโดษในตำนาน เขามีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีกับตระกูลฟางของเรา ในช่วงปีแรกๆของการบ่มเพาะ เขาได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากตระกูลฟางของเรา เขากระทั่งเป็นชู้กับบรรพชนของตระกูล แต่น่าเสียดายที่บรรพชนของเราเสียชีวิตในการต่อสู้ขณะที่เจิ้งจิงเฉินไม่ได้เข้าร่วมกับตระกูลของเรา”
ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองเข้าใจทันที
แม้กองกำลังใหญ่จะให้ความสำคัญกับครอบครัวและสายเลือด แต่พวกเขามักจะรับสายเลือดใหม่เข้ามาเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขาพบเมล็ดพันธุ์ชั้นยอด กองกำลังใหญ่เหล่านี้จะสนับสนุนเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นด้วยทรัพยากร
หากคนเหล่านั้นกลายเป็นผู้อมตะ กองกำลังนั้นๆจะรับพวกเขาเข้าเป็นสมาชิก
โดยปกติแล้วสถานการณ์ดังกล่าวหาได้ค่อนข้างยาก
ประการแรก พวกเขาจะให้การสนับสนุนอย่างไม่เป็นทางการในช่วงแรก เนื่องจากความน่าจะเป็นที่มนุษย์จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมีน้อยมาก
ประการต่อมา แม้พวกเขาจะกลายเป็นผู้อมตะ พวกเขาก็อาจไม่เต็มใจที่จะเข้าร่วมกับกองกำลังนั้นๆ
อย่างไรก็ตามกระทั่งพวกเขาจะไม่เข้าร่วม แต่น้ำใจในอดีตก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
หากสามารถดึงผู้บ่มเพาะสันโดษให้มาอยู่ฝ่ายเดียวกัน การลงทุนครั้งเก่าก่อนก็ยังถือว่าคุ้มค่า
เจิ้งจินเฉินเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเรื่องนี้ หากไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุ เขาคงเข้าเป็นสมาชิกของตระกูลฟางไปแล้ว
แน่นอนว่าเขาต้องแต่งงานเข้าตระกูล
หลังจากนั้นบุตรหลานของเขาจะใช้แซ่ฟาง
“เรื่องของเจิ้งจินเฉินถูกปกปิดเอาไว้ หลายคนไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของเขา ซวนปู้จินผู้นี้อาจจะไม่ได้โกหก” ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งกล่าว
ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองขมวดคิ้วเล็กน้อย “ยังไม่สามารถระบุก่อนจะได้รับการยืนยัน นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่เขาจะร่วมมือกับผีเฒ่าไป่จุน”
สายตาของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งเผยให้เห็นถึงความหนักใจ “หากเป็นเช่นนั้น ซวนปู้จินอาจร่วมมือกับผีเฒ่าไป่จุนเพื่อเข้าใกล้ตระกูลฟางและรับมรดกของตระกูลชิง”
แน่นอนว่าฟางหยวนมีแผนการของตน เขาจงใจแสดงความปรารถนาดีและช่วยชีวิตผู้อมตะตระกูลฟางทั้งสอง
แต่ในการประชุมของผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลฟาง พวกเขากลับคิดไปไกลถึงมรดกของตระกูลชิง
ตระกูลชิงเคยเป็นมหาอำนาจแต่พวกเขาถูกกำจัดไปนานแล้ว
คนที่ทำลายล้างตระกูลชิงไม่ใช่ผู้ใดนอกจากเทพปีศาจจิตวิญญาณ
ก่อนที่เทพปีศาจจิตวิญญาณจะกลายเป็นผู้อมตะระดับเก้า เขาต่อสู้กับตระกูลชิงเพียงลำพังหลังจากเกิดความขัดแย้ง
หากตระกูลชิงรู้ว่าเทพปีศาจจิตวิญญาณจะกลายเป็นผู้อมตะระดับเก้าในอนาคต พวกเขาคงไม่กล้าต่อต้านคนผู้นี้ น่าเสียดายที่ตระกูลชิงดูแคลนเทพปีศาจจิตวิญญาณเนื่องจากความเหนือกว่าในด้านของจำนวนคนและทรัพยากร
เทพปีศาจจิตวิญญาณเติบโตขึ้นทีละขั้น ยิ่งเขาต่อสู้ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ในที่สุดเขาก็มาถึงฐานทัพใหญ่ของตระกูลชิงและต่อสู้อย่างดุเดือด เขากวาดล้างสมาชิกทั้งหมดของตระกูลชิง ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าจำนวนมหาศาลถูกทิ้งไว้ในสนามรบและทำให้มันกลายเป็นทะเลทรายผีเขียวในปัจจุบัน
แม้ตระกูลชิงจะถูกทำลายล้าง แต่มีข่าวลือว่าก่อนที่ผู้อาวุโสสุงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลชิงจะเสียชีวิต เขาได้ผนึกทรัพยากรทั้งหมดของตระกูลเอาไว้ที่ทะเลทรายผีเขียว
มีเงื่อนไขเพียงข้อเดียวในการรับสืบทอดมรดกนี้ นั่นคือผู้รับสืบทอดต้องแก้แค้นให้กับตระกูลชิงโดยการสังหารเทพปีศาจจิตวิญญาณ หากเทพปีศาจจิตวิญญาณตายแล้ว เป้าหมายของการแก้แค้นจะถูกย้ายไปที่ครอบครัว สหาย หรือศิษย์ของเทพปีศาจจิตวิญญาณ
น่าเสียดายที่เทพปีศาจจิตวิญญาณกลายเป็นผู้อมตะระดับเก้า คนทั้งโลกไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาขณะที่มรดกของตระกูลชิงกลายเป็นเรื่องตลก
ตระกูลฟางเป็นกองกำลังใหญ่ที่อยู่ใกล้ทะเลทรายผีเขียวมากที่สุด พวกเขามีข้อมูลมากกว่ากองกำลังอื่น หลังจากตระกูลชิงถูกทำลายล้าง บรรพบุรุษของตระกูลฟางก็เริ่มค้นหาเบาะแสเกี่ยวกับมรดกของตระกูลชิงอย่างจริงจัง
หลังจากทุ่มเทความพยายามมานานหลายชั่วอายุคน เบาะแสที่กระจัดกระจายก็ถูกปะติดปะต่อเข้าด้วยกันและทำให้มันมีค่ามากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อมาถึงรุ่นปัจจุบันพวกเขาก็ได้รับเบาะแสที่สมบูรณ์มาแล้ว ขณะเดียวกันพวกเขาก็เริ่มตรวจสอบทะเลทรายผีเขียวอย่างลับๆ
ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งถอนหายใจ “เราไม่มีกำลังพอที่จะยึดครองทะเลทรายผีเขียว ยังไม่ต้องกล่าวถึงการกำจัดอสูรวิญญาณ ตระกูลของเรามีผู้อมตะน้อยเกินไป หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ เราย่อมไม่ปล่อยให้ฟางเล้งและฟางหยุนออกไปเสี่ยงอันตราย แต่ผู้ใดที่จะคิดว่าพวกเขาจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับผีเฒ่าไป่จุนและซวนปู้จิน”
“ข้าเคยได้ยินเรื่องของผีเฒ่าไป่จุนมาก่อน แต่ผู้ใดจะคิดว่าเขาจะครอบครองวิญญาณอมตะระดับแปดป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณ! และการปรากฏตัวของซวนปู้จินก็ฉับพลันเกินไป ต้นกำเนิดของเขายังคลุมเครือ เขามีวิธีการที่ทรงพลัง ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรแต่สองสิ่งนี้จะเป็นอุปสรรคต่อพวกเราในการค้นหามรดกของตระกูลชิง”
ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองพยักหน้า
ตระกูลฟางมีทรัพยากรและอาณาเขตกว้างใหญ่ ผู้อมตะของพวกเขาต้องออกไปปกป้องแหล่งทรัพยากร แต่มรดกของตระกูลชิงก็ดึงดูดใจมากเกินไปโดยเฉพาะเบาะแสที่กล่าวถึงคฤหาสน์วิญญาณอมตะวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างขึ้นโดยเทพอมตะบัวสวรรค์ซึ่งถูกทิ้งไว้ในทะเลทรายตะวันตก คุณค่าของมันสูงมาก
ตระกูลฟางมีชื่อเสียงในด้านคฤหาสน์วิญญาณ ดังนั้นวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์จึงมีความสำคัญสำหรับพวกเขา นี่เป็นความปรารถนาที่ตระกูลฟางส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นตลอดระยะเวลาอันยาวนาน