เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – ตอนที่ 1497

ตอนที่ 1497

แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1497 ชัยชนะที่เจ็บปวด

แปลโดย iPAT

“น่ารังเกียจ! น่ารังเกียจเกินไป! เขาลอบโจมตีจริงๆ!”

“ชายผู้นี้ไร้ยางอายเกินไป เขาช่างน่ารังเกียจนัก!”

“พิจารณาตามความแข็งแกร่ง เห็นได้ชัดว่าเขาอ่อนแอกว่า”

ผู้คนรอบข้างเริ่มประณามเทพปีศาจปล้นสวรรค์วัยเยาว์

“เจ้า เจ้า เจ้า!” คู่ต่อสู้ของเด็กหนุ่มคืบคลานขึ้นมาจากพื้น เขาพูดติดอ่างด้วยความโกรธและชี้นิ้วออกไป “เจ้าคนไร้ยางอาย! หาก…หากมีความกล้า…ก็…มาสู้กันใหม่!”

อย่างไรก็ตามสายตาของเขายังพร่ามัวจากผลกระทบของท่าไม้ตายดวงตาสีเทาและเขาไม่รู้ว่าฟางหยวนอยู่ที่ใด ดังนั้นเขาจึงชี้นิ้วไปผิดทิศทาง นั่นทำให้เกิดเป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างน่าขัน

ฟางหยวนเย้ยหยัน “ชนะก็คือชนะ เหตุใดต้องต่อสู้ใหม่?”

หลังจากนั้นฟางหยวนก็ไม่สามารถกล่าวสิ่งใดได้อีกเพราะเขากลายเป็นผู้สังเกตการณ์และสูญเสียการควบคุมร่างกายอีกครั้ง

อาณาจักรแห่งความฝันยังดำเนินต่อไป

เด็กหนุ่มมองฝูงชนที่กำลังโห่ร้องด้วยร่างกายสั่นเทา

เขาค่อยๆยกมือขึ้นด้วยความตกใจ

‘เหตุใด? เหตุใดข้าถึงใช้ท่าไม้ตายดวงตาสีเทา?’

‘เห็นได้ชัดว่าข้าต้องการต่อสู้อย่างยุติธรรมและโยนเขาลงจากสนามประลอง แต่เหตุใดข้าถึงเลือกวิธีลอบโจมตี?’

เด็กหนุ่มเกลียดชังการกระทำเช่นการลอบโจมตี นี่ทำให้เขารู้สึกละอายใจมาก

เหตุใดเขาถึงลอบโจมตี?

เขาชอบการต่อสู้ที่ตรงไปตรงมาและไม่เคยใช้อุบายร้ายกาจมาก่อน

เขาไม่ชอบหรือกล่าวให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือเขาดูแคลนการกระทำเช่นนี้

แต่เหตุใดเขาถึงทำเช่นนั้น!?

เสียงหัวเราะที่บ้าคลั่งของชาเซี่ยวดังขึ้นในใจของเขา “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า สนุกมาก น่าสนุกเกินไปแล้ว หลานชายที่ดี เจ้าคล้ายท่านปู่ผู้นี้มาก เจ้าไม่เคยฝึกฝนท่าไม้ตายดวงสีเทา แต่เจ้ากลับสามารถใช้มันได้อย่างสมบูรณ์ เจ้าลอบโจมตีได้ในเวลาที่เหมาะสมและคว้าชัยชนะมาได้ทันที ดีมาก ดีมาก”

ชาเซี่ยวยกย่องซ้ำแล้วซ้ำอีก

เด็กหนุ่มตกตะลึง

ถูกต้อง เขาไม่เคยฝึกฝนท่าไม้ตายดวงตาสีเทา แต่เหตุใดเขาถึงสามารถใช้งานมัน? แล้วยังชำนาญมาก!

“นี่มันเรื่องไร้สาระใด!?” เด็กหนุ่มคำรามอยู่ในใจ

“ฮ่าฮ่าฮ่า หลานชายที่ดีของข้า ให้ปู่บอกเหตุผลให้เจ้าฟัง ในความเป็นจริงเจ้าเป็นคนแบบนี้ ธรรมชาติของเจ้าเป็นเช่นนี้ อย่าฝืนตนเอง ปล่อยธรรมชาติที่แท้จริงของเจ้าออกมา” ชาเซี่ยวหัวเราะเสียงดังแต่มันกลับเป็นการซ้ำเติมบาดแผลในใจของเด็กหนุ่ม

เด็กหนุ่มตกใจมาก แต่ในไม่ช้าดวงตาของเขาก็ส่องประกายขึ้น “ไม่ นี่ไม่ใช่การกระทำของข้า เป็นเจ้าใช่หรือไม่? เจ้าควบคุมร่างกายของข้า!”

“ฮ่าฮ่า แม้ข้าจะทำได้ แตข้าไม่ได้ทำ นี่เป็นทางเลือกของเจ้า เจ้าย่อมเข้าใจดี”

“ไม่ ต้องเป็นเจ้าอย่างแน่นอน! ข้าจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร!?” เด็กหนุ่มยังไม่ยอมรับ

“เด็กโง่!” ชาเซี่ยวดุ

ภายนอกใบหน้าของเด็กหนุ่มดูมุ่งมั่นแน่วแน่แต่ในใจเขากำลังทะเลาะกับชายชรา

อย่างไรก็ตามในมุมมองของผู้ชมพฤติกรรมของเขาดูเย่อหยิ่งและดูไม่สนใจคำวิพากษ์วิจารณ์ของพวกเขาแม้แต่น้อย ดังนั้นเสียงโห่ร้องจึงยิ่งดุเดือดมากขึ้น

สำหรับฟางหยวน หัวใจของเขารู้สึกสั่นไหว

เขาเป็นผู้ควบคุมร่างกายขณะต่อสู้แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับส่งอิทธิพลต่อเหตุการณ์ต่อไปของอาณาจักรแห่งความฝัน

นี่เป็นสถานการณ์ที่ฟางหยวนไม่เคยพบมาก่อนขณะสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันอื่น

ในอาณาจักรแห่งความฝันอื่นๆ แม้เขาจะส่งอิทธิพลต่อเหตุการณ์บ้างแต่โดยรวมแล้วเรื่องราวในอาณาจักรแห่งความฝันเหล่านั้นก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไป

ผลลัพธ์ของอาณาจักรแห่งความฝันถูกกำหนดไว้แล้ว มันมีกฎเกณฑ์ในการผ่านด่านที่ชัดเจน

‘แต่อาณาจักรแห่งความฝันของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ทำให้ข้ารู้สึกเหมือนกำลังใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง! มันไม่ธรรมดา!’

อาณาจักรแห่งความฝันประเภทนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากประสบการณ์ชีวิตของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ แต่หลังจากการเข้าร่วมของฟางหยวน อาณาจักรแห่งความฝันกลับเปลี่ยนแปลงไป หากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สะสมมากขึ้น ผลลัพธ์สุดท้ายของมันจะแตกต่างจากเดิมหรือไม่?

ฟางหยวนตระหนักถึงเรื่องนี้และรู้สึกว่าต้องระมัดระวังให้มากขึ้น

ในไม่ช้าก็ถึงคราวที่เขาต้องต่อสู้อีกครั้ง

“เจ้าดูไม่เหมือนคนเลวทราม แต่รอบก่อนเหตุใดเจ้าถึงใช้วิธีสกปรกกับลูกพี่ลูกน้องของข้า” คู่ต่อสู้รอบนี้ของเด็กหนุ่มเป็นผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความกล้าหาญ

เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว เขาไม่ต้องการอธิบายแต่เขายังกล่าว “เป็นความเข้าใจผิด”

“ฮ่าฮ่า เข้าใจผิดงั้นหรือ?”

“เจ้าลอบโจมตีแต่กลับไม่ยอมรับงั้นหรือ?”

“มีคนเห็นเหตุการณ์มากมายแต่ชายผู้นี้ยังกล้าปฏิเสธ!”

ผู้ชมตะโกนด้วยความโกรธ

เด็กสาวขมวดคิ้ว “ข้าไม่สนว่ามันเป็นความเข้าใจผิดหรือไม่ ข้าจะล้างแค้นให้ลูกพี่ลูกน้องของข้า ดังนั้นไม่เพียงข้าจะเอาชนะเจ้า แต่ข้าจะทำให้แน่ใจว่าเจ้าจะพบกับความทุกข์ทรมาน!”

เด็กสาวพุ่งออกมา

“รอก่อน!” เด็กหนุ่มยื่นมือออกไป “ข้ายังมีเรื่องที่ต้องการกล่าว ฟังข้าก่อน!”

“เอาล่ะ พูดมา ข้าจะทำให้เจ้ายอมรับความพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์!” เด็กสาวหยุดเท้าและกล่าว

แต่ในจังหวะนี้ดวงตาของเด็กหนุ่มกลับส่องประกายน่ากลัว เขายกมือขึ้น

ท่าไม้ตายดวงตาสีเทา!

เด็กสาวไม่ทันระวังตัว นางถูกโจมตีโดยตรง

“บัดซบ! เขาทำมันอีกครั้ง!”

“ชายผู้นี้ใช้วิธีสกปรกอีกแล้ว!”

“ระวัง รีบป้องกันตัว!”

เด็กหนุ่มเข้าประชิดตัวเด็กสาวอย่างรวดเร็ว เขายกขาขวาขึ้นและต้องการเตะเด็กสาวออกไป

แต่เด็กสาวมีประสบการณ์การต่อสู้ แม้นางจะมองไม่เห็นแต่นางยังสามารถใช้หูฟังเสียงลมเพื่อระบุตำแหน่ง

‘ข้ามองไม่เห็นเลย หากการต่อสู้ยืดเยื้อ มันจะไม่เป็นผลดี ข้าต้องจบการต่อสู้อย่างรวดเร็วที่สุด’ เด็กสาวตัดสินใจอย่างชาญฉลาด

นางไม่ถอยแต่ส่งหมัดออกไป

“ฟิ้ว!”

เสียงลมดังขึ้น มันเป็นการโจมตีที่รุนแรง เห็นได้ชัดว่ามันเกี่ยวข้องกับวิญญาณ

หากเด็กหนุ่มส่งลูกเตะออกไปก่อนหน้านี้ เขาจะไม่สามารถหลบเลี่ยงการโจมตีและจะได้รับบาดเจ็บสาหัส

แต่ในขณะนี้เด็กหนุ่มไม่ใช่ตัวของเขาเองแต่ถูกควบคุมโดยฟางหยวน

ความคิดของฟางหยวนน่ากลัวมาก เขาอาจดูเหมือนกำลังจะเตะเด็กสาว แต่แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงการหลอกลวง

ด้านหนึ่งเขากำลังสำรวจเด็กสาว แม้นางจะมองไม่เห็น แต่ยังมีวิธีการตรวจสอบมากมายอยู่บนโลกใบนี้

ในทางกลับกันฟางหยวนกำลังใช้ประโยชน์จากผู้ชม

เสียงตะโกนและการแจ้งเตือนของผู้คนเหล่านั้นทำให้เด็กสาวเข้าใจผิด

สายตาของนางพร่ามัว ในการต่อสู้ที่ดุเดือด นางไม่มีเวลาคิดมาก นั่นทำให้นางรู้สึกว่าการแจ้งเตือนของผู้คนรอบข้างถูกต้องโดยสามัญสำนึก

มนุษย์มักคล้อยตามความคิดของคนส่วนมาก เมื่อผู้คนเชื่อว่าบางสิ่งถูกต้อง เด็กสาวก็จะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริงเช่นกัน

เป็นไปตามความคาดหมายของฟางหยวน เด็กสาวเริ่มชกและทำเรื่องผิดพลาด

ฟางหยวนเย้ยหยัน เขาดึงขาขาวกลับอย่างใจเย็นและหลบการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างง่ายดาย จากนั้นเขาก็คว้าแขนของเด็กสาวและดึงนางไปด้านข้าง

เด็กสาวต้องการชนะในทันทีและใช้กำลังมากเกินไปขณะที่ฟางหยวนใช้สิ่งนี้เพื่อตอบโต้

ฟางหยวนฉวยโอกาสนี้กระแทกหน้าท้องส่วนล่างของเด็กสาวอย่างรุนแรงด้วยเข่าของเขา

“ตุบ!”

ด้วยเสียงอันแผ่วเบา เด็กสาวได้รับบาดเจ็บ ดวงตาที่ปิดสนิทของนางเปิดขึ้นด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าที่งดงามของนางกลายเป็นแดงก่ำขณะที่เส้นเลือดสีน้ำเงินโป่งพองขึ้นบนหน้าผากของนาง

นางรู้สึกราวกับลำไส้ใหญ่และอวัยวะภายในของนางพันกัน ความเจ็บปวดแทบทำให้นางหยุดหายใจ

แต่ก่อนที่นางจะได้สัมผัสกับความเจ็บปวดนี้อีกครั้ง ฟางหยวนกลับใช้ฝ่ามือสับลงบนลำคอของนาง

เด็กสาวหมดสติทันที

นางล้มลงกับพื้นและไม่เคลื่อนไหว

ฟางหยวนชนะ!

ผู้ชมที่อยู่รอบๆเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่เสียงโห่ร้องจะปะทุขึ้น

“น่ารังเกียจ น่ารังเกียจเกินไป!”

“ชัยชนะเช่นนี้ช่างน่ารังเกียจนัก!”

“ไร้ยางอายนัก! น่าเสียดายที่คู่ต่อสู้ของเขาไร้เดียงสาเกินไป เห็นได้ชัดว่านางแข็งแกร่งกว่า แต่นางกลับตกหลุมพรางของเขา!”

ผู้ชมทั้งโกรธและดูแคลนเด็กหนุ่ม

“ข้าทำสิ่งใดลงไป ข้าทำเช่นนี้อีกแล้วงั้นหรือ?” เด็กหนุมตกตะลึงอีกครั้งขณะที่ฟางหยวนกลับไปเป็นผู้สังเกตการณ์อีกหน

“ฮ่าฮ่าฮ่า นั่นคือเจ้า เจ้าทำทุกสิ่งด้วยตัวเจ้าเอง” ชาเซี่ยวหัวเราะเสียงดัง “ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดเลย เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่? การต่อสู้ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เจ้าเลือกด้วยตัวเจ้าเอง”

“ไม่ ไม่จริง ข้าจะเป็น…คนเลวเช่นนั้นได้อย่างไร?” เด็กหนุ่มรู้สึกเจ็บปวดขณะที่หางตาของเขากระตุกเล็กน้อย

“เจ้าเป็นคนขี้ขลาดจริงๆ แต่ท่านปู่ชอบ! เจ้าแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ชัยชนะของเจ้าสะอาดหมดจด ความไร้ยางอายและความน่ารังเกียจของเจ้าเหมือนข้าในวัยเยาว์” ชาเซี่ยวหัวเราะด้วยความพึงพอใจ

“เกิดเรื่องบ้าใดขึ้น?” เด็กหนุ่มอยากจะร้องไห้ ความรุ่งโรจน์และเกียรติยศทั้งหมดที่เขาสะสมมาในชีวิตก่อนหน้าได้รับผลกระทบอย่างมาก

“ครั้งหนึ่งข้าเคยได้ยินว่ามีบางคนมีพรสวรรค์ในการต่อสู้ตั้งแต่กำเนิด เมื่อพวกเขาเข้าสู่สถานการณ์คับขัน พวกเขามักจะแสดงสัญชาตญาณที่เฉียบแหลมออกมาโดยไม่รู้ตัว สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขาค้นพบตัวตนที่ซ่อนอยู่และทำให้พวกเขาก้าวเข้าสู่ความรุ่งโรจน์” ชาเซี่ยวกล่าว

เด็กหนุ่ม “…..”

เด็กหนุ่มยังชนะต่อไปในการแข่งขันย่อย

ทุกการต่อสู้ของเด็กหนุ่ม ฟางหยวนจะเข้าแทนที่และควบคุมการต่อสู้ทั้งหมด

แม้ฝ่ายตรงข้ามจะระมัดระวัง แต่ฟางหยวนคือผู้ใด? ประสบการณ์การต่อสู้ของเขาอาจกล่าวได้ว่ากว้างใหญ่ราวกับมหาสมุทร คู่ต่อสู้ตัวเล็กตัวน้อยเหล่านี้จะแข่งขันกับเขาได้อย่างไร?

ชัยชนะเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาของฟางหยวน

แต่สำหรับเด็กหนุ่ม มันเป็นการเดินทางที่เจ็บปวด

‘ลึกๆแล้วข้าเป็นคนเช่นนี้งั้นหรือ?’

‘ในชีวิตก่อนหน้า เพราะข้าได้รับการคุ้มครอง ข้าไม่เคยเผชิญหน้ากับแรงกดดันที่มากพอ ดังนั้นในโลกใบนี้และตอนนี้ที่ข้ากำลังต่อสู้ ธรรมชาติที่แท้จริงของข้าจึงปรากฏขึ้นงั้นหรือ?’

‘ข้าเป็นคนเช่นนั้น…ข้าทำให้ตระกูลของข้าต้องอับอาย ข้าเป็นความอับอายของท่านอาจาย์ และข้าทำให้ชื่อเสียงของครอบครัวเสื่อมเสีย!’

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท