เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – บทที่ 1541 ความรักของฟางหยวน

บทที่ 1541 ความรักของฟางหยวน

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1541 ความรักของฟางหยวน

แปลโดย iPAT

“ผู้บุกรุก ตาย!” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาตะโกนและใช้ยักษ์สวรรค์โจมตีศัตรู

เห็นยักษ์สวรรค์เข้ามาใกล้ กลุ่มผู้อมตะภาคกลางเร่งล่าถอยออกไปทุกทิศทาง

กระทั่งฟงจิวเก้อก็ยังล่าถอย

แต่เขาตั้งใจล่าถอยอย่างช้าๆ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าฟงจิวเก้อมีพลังการต่อสู้สูงที่สุดท่ามกลางกลุ่มผู้อมตะภาคกลาง เขาเป็นผู้นำในภารกิจนี้ ชัยชนะขึ้นอยู่กับเขา เขาจำเป็นต้องควบคุมสถานการณ์

“มันคือฟงจิวเก้อแห่งนิกายคฤหาสน์วิญญาณของภาคกลาง!” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาแสดงออกด้วยใบหน้าเคร่งขรึมเมื่อตระหนักถึงตัวตนของฟงจิวเก้อ

ศัตรูมีเจตนาร้าย จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยารู้สึกกดดันมาก

เมื่อฟงจิวเก้อปรากฏตัว นั่นหมายความว่าสิบนิกายโบราณของภาคกลางและวังสวรรค์เป็นศัตรูของแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา

วังสวรรค์เป็นกองกำลังอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษย์และยังเป็นถ้ำสวรรค์อันดับหนึ่งของโลกอีกด้วย

แล้วจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาจะไม่รู้สึกกดดันเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูเช่นนี้ได้อย่างไร?

“ผมที่ห้า!” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาตะโกน

ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนผมที่ห้าพยักหน้า “รับนี่!”

หลังกล่าวจบคำเขาก็กระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะทันที

ยักษ์สวรรค์อ้าปากและยิงลำแสงออกไป

ลำแสงพุ่งเข้าหาฟงจิวเก้อด้วยความเร็วสูง

“รวดเร็วนัก!” ฟงจิวเก้อตะลึงเล็กน้อยแต่เขายังสามารถเผยรอยยิ้ม

“ฟุบ!”

เขาหายตัวไปจากจุดนั้นก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอีกตำแหน่งหนึ่งในพริบตา

“เขาอยู่ด้านบน!” ภายในยักษ์สวรรค์ ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนสายตรวจสอบตะโกนเตือน

กลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนรู้สึกสับสน

“รับการโจมตีของข้า!” ฟงจิวเก้อหัวเราะเสียงดังและปลดปล่อยกลิ่นอายที่ทรงพลังออกมา

ท่าไม้ตายอมตะขยายเสียงสามเท่า!

ฟงจิวเก้อส่งหมัดกลอง ฝ่ามือระฆัง และดัชนีนกหวีดออกไป

นี่เป็นท่าไม้ตายจากมรดกที่แท้จริงสามเสียง หมัดกลอง ฝ่ามือระฆัง และดัชนีนกกวีด

ก่อนหน้านี้ฟงจิวเก้อสามารถใช้เพียงสองกระบวนท่า แต่หลังจากต่อสู้กับฟางหยวน ฟงจิวเก้อกลับไปภาคกลางและฝึกฝนอย่างหนัก สุดท้ายจึงสามารถใช้กระบวนท่าที่สามได้ในที่สุด

หลังจากเรียนรู้ทั้งสามกระบวนท่า ท่าไม้ตายนี้ก็รุนแรงขึ้นสามเท่า

หมัด ฝ่ามือ ดัชนี ฟงจิวเก้อใช้พลังงานอมตะเพียงเล็กน้อยแต่พลังอำนาจของมันกลับเพิ่มขึ้นทุกครั้ง

เขาสามารถโจมตีได้นับร้อยครั้งในระยะเวลาสั้นๆ

คลื่นเสียงส่งยักษ์สวรรค์ถอยห่างออกไปขณะที่ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนรู้สึกวิงเวียนศีรษะ

ยักษ์สวรรค์ส่งกำปั้นยักษ์ออกไป แต่ฟงจิวเก้อเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วและสามารถหลบเลี่ยงได้อย่างไม่มีปัญหา

“ดูเหมือนเราต้องใช้ท่าไม้ตายอมตะกับคนผู้นี้!” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาตะโกนด้วยการแสดงออกที่จริงจัง “ผมที่สาม! ผมที่สี่!”

ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนสองคนตอบสนองด้วยการใช้ท่าไม้ตายอมตะของพวกเขา

ผมที่สามสร้างเกราะไม้สีเขียวขึ้นบนร่างของยักษ์สวรรค์

ท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งเสียงของฟงจิวเก้อถูกเกราะไม้ดูดซับเอาไว้อย่างสมบูรณ์

ผมที่สี่สร้างปราณสีทองขึ้นเหนือศีรษะยักษ์สวรรค์ก่อนที่มันจะพุ่งเข้าโจมตีฟงจิวเก้อ

ฟงจิวเก้อตกอยู่ในอันตรายทันที

การโจมตีของเขาไม่ได้ผลอีกต่อไป ขณะเดียวกันปราณสีทองก็พัวพันอยู่รอบๆตัวเขา

ไม่ไกลนัก ผู้อมตะฟางหยุนฮัวจากภาคกลางคิด ‘ตามข้อมูล การล้มยักษ์สวรรค์ตัวนี้จะทำให้เราได้รับชัยชนะ เนื่องจากฟงจิวเก้อกำลังประสบปัญหา ดังนั้นข้าก็จะช่วยเขา’

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ฟางหยุนฮัวก็ตัดสินใจลงมือ แต่ในจังหวะนี้เขากลับได้ยินเสียงเตือน “พี่ฟาง หลบ!”

“อันใด!?” ในเวลาต่อมาฟางหยุนฮัวก็เห็นยักษ์สวรรค์อ้าปากและยิงลำแสงขนาดใหญ่ออกมา

ลำแสงสายนี้พุ่งเข้ามาหาฟางหยุนฮัวโดยตรงและบังคับให้เขาป้องกันตัว

แต่ยักษ์สวรรค์มีพลังการต่อสู้ระดับแปด แม้ฟางหยุนฮัวจะเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด แต่เขาไม่เหมือนฟงจิวเก้อหรือฟางหยวน วิธีป้องกันของเขาต้องใช้เวลาสามลมหายใจ

แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่ฟางหยุนฮัวจะเบี่ยงเบนลำแสงสีขาวขึ้นสู่ท้องฟ้า

เลือดไหลออกมาจากปากของฟางหยุนฮัว ใบหน้าของเขากลายเป็นซีดขาวขณะที่ดวงตาเผยให้เห็นถึงความตกใจ

‘ก่อนหน้านี้ข้าฟุ้งซ่านและต้องการใช้ท่าไม้ตาย นั่นทำให้ข้าเปิดช่องว่าง ขณะเดียวกันพวกเขาก็สามารถสัมผัสได้ทันที พวกเขามีวิธีตรวจสอบที่ยอดเยี่ยม!’

แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยามีรากฐานที่ลึกล้ำ แต่ส่วนใหญ่เกี่ยวกับเส้นทางแห่งการหลอมรวม จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาคนก่อนหน้าไม่สนใจสิ่งใดนอกจากการหลอมรวม

ดังนั้นวิธีการตรวจสอบนี้จึงมาจากมรดกที่แท้จริงของนิกายเงา

ฟางหยวนแลกเปลี่ยนมรดกที่แท้จริงกับจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาเพราะเขาต้องการมรดกของฝ่ายตรงข้ามแต่ในขณะเดียวกันเขาก็ต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับนิกายหลางหยาเช่นกัน

นิกายหลางหยามีผู้อมตะจำนวนมาก พวกเขาขาดเพียงท่าไม้ตายที่มีประโยชน์

และตอนนี้การกระทำของฟางหยวนก็ปรากฏผลลัพธ์ในที่สุด

หัวใจของฟงจิวก้อจมดิ่งลง

ท่าไม้ตายสายตรวจสอบนี้สามารถสัมผัสถึงจุดอ่อนของศัตรู มันมีประโยชน์มาก

ด้วยท่าไม้ตายดังกล่าว ผู้อมตะภาคกลางจะถูกคุกคามอย่างมาก

เนื่องจากคนเหล่านี้มาจากต่างนิกาย พวกเขาไม่เคยทำงานร่วมกันมาก่อน เมื่อพวกเขาต่อสู้ พวกเขาจะเผยจุดอ่อนออกมาและตกเป็นเป้าหมายของยักษ์สวรรค์ทันที

‘ยิ่งมีคนมากเท่าใดก็ยิ่งมีปัญหา ข้าต้องขัดขวางยักษ์สวรรค์’ ฟงจิวเก้อต่อสู้ตามความคิดของตนเอง

เขาเปลี่ยนกลยุทธ์โดยสั่งผู้อมตะคนอื่นๆว่า “แยกย้ายกันไปและสร้างค่ายกลวิญญาณอมตะเพื่อให้กำลังเสริมของพวกเราเข้ามา!”

“ช่างกล้าหาญนัก!” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาได้ยินคำกล่าวของฟงจิวเก้อและรู้สึกโกรธมาก

ฟงจิวเก้อเผยรอยยิ้มบาง

เขาจงใจกล่าว มันเป็นแผนการที่จะทำให้จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเผชิญหน้า

แม้ยักษ์สวรรค์จะมีพลังการต่อสู้ระดับแปด แต่มันก็มีเพียงหนึ่งเดียวขณะที่ผู้อมตะภาคกลางมีเจ็ดคน ยักษ์สวรรค์ไม่สามารถจัดการพวกเขาทั้งหมด แต่หากผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนถูกส่งออกมา พวกเขาจะตกลงสู่หลุมพรางของฟงจิวเก้อ

พลังการต่อสู้ของผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่พวกเขายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้อมตะภาคกลางในการต่อสู้แบบตัวต่อตัว

ดังนั้นจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาจึงอยู่ในจุดที่ยากลำบาก เขาไม่สามารถแยกกองกำลัง

ในขณะที่แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาอยู่ในการต่อสู้ที่ดุเดือด ห่างออกไปที่ภาคใต้ ในเขาวงกตโคลนทรายกลับเงียบสงบ

“ข้าอยู่ที่ใด?” ฟางหยวนเปิดเปลือกตาขึ้นและตระหนักว่าตนเองนอนอยู่บนเตียง

เขาต้องการลุกขึ้นแต่เขาพบว่าตนเองได้รับบาดเจ็บสาหัส

เขามีสีหน้างุนงงขณะพึมพำ “ข้าคือผู้ใด? ดูเหมือนข้าจะ…ลืมเรื่องสำคัญบางอย่างไป”

“โอ้ บุตรชายของข้า ในที่สุดเจ้าก็ตื่นแล้ว!” เป็นเพียงเวลานี้ที่เสียงของหญิงชราผู้หนึ่งดังขึ้น นางเข้ามาในห้องด้วยน้ำตาคลอเบ้าเมื่อเห็นฟางหยวนตื่นขึ้น

“ท่านคือ?” ฟางหยวนถาม

หญิงชราตกตะลึงก่อนจะร้องไห้ “บุตรชาย เจ้าถูกทุกบตีและเสียสติไปแล้วงั้นหรือ? ข้าคือแม่ของเจ้า เจ้าคือเฉินซาน ไม่กี่วันก่อนนายน้อยชูส่งผู้ใช้วิญญาณมานำตัวเจ้าไปทุบตีเพราะเขาไม่ต้องการให้เจ้ากับซิ่วเหนียงอยู่ด้วยกัน โอ้ บุตรชายของข้า ฟังคำแนะนำของแม่ แม้เจ้ากับซิ่วเหนียงจะสนิทสนมกัน แต่เราเป็นครอบครัวเล็กๆ แม้บรรพชนของเราจะเป็นผู้ใช้วิญญาณ พวกเราก็ตกต่ำลงแล้ว เจ้าไม่สามารถเอาชนะนายน้อยชูในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงซิ่วเหนียง ยอมแพ้ซะ เจ้าควรยอมแพ้!”

“ซิ่วเหนียง…” ฟางหยวนพึมพำ “นี่เป็นความจริง ข้าลืมเรื่องพวกนี้ไปได้อย่างไร?”

ไม่กี่วันต่อมา เขาค่อยๆเข้าใจตัวตนของตนเอง

เขาและซิ่วเหนียงหมั้นกันตั้งแต่แรกเกิด แต่บิดาของเขาเสียชีวิตไปแล้ว พวกเขาสูญเสียผู้ใช้วิญญาณเพียงคนในครอบครัว ดังนั้นสถานะของพวกเขาจึงตกต่ำลง เดิมทีพวกเขามีสถานะเท่าเทียมกับครอบครัวของซิ่วเหนียง แต่ตอนนี้พวกเขาด้อยกว่า ครอบครัวของซิ่วเหนียงต้องการนายน้อยชูเป็นบุตรเขยแทนฟางหยวนเพราะคนผู้นี้มาจากตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพล มีผู้ใช้วิญญาณหลายสิบคนในตระกูลชู หากรวมผู้ใช้วิญญาณภายนอก พวกเขามีผู้ใช้วิญญาณมากกว่าร้อยคน!

หลังจากนั้นซิ่วเหนียงได้มาพบฟางหยวน

“เฉินซาน อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ข้าคิดถึงเจ้าทั้งวันทั้งคืน แต่ท่านพ่อท่านแม่ของข้าไม่ให้ข้ามา ข้ามาที่นี่ได้เพียงวันนี้เพราะข้าโกหกว่าข้ากำลังบ่มเพาะ โอ้ ที่รักของข้า เฉินซานที่น่าสงสารของข้า…” ซิ่วเหนียงเห็นฟางหยวนนอนอยู่บนเตียงด้วยร่างกายที่อ่อนแอและเริ่มสะอื้นไห้

ฟางหยวนมองซิ่วเหนียงและรู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเคยเห็นนาง เขาประเมินนางอย่างใกล้ชิด ซิ่วเหนียงอายุยังน้อยและงดงาม ผิวของนางขาวบริสุทธ์ ผมของนางทิ้งตัวยาวลงมาราวกับน้ำตก นางสามชุดสีขาวและมีรูปร่างผอมบาง นางดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ด้วยน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตา นางดูมีเสน่ห์และงดงามอย่างไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเคียง

‘ไม่แปลกใจเลยที่นายน้อยชูชอบซิ่วเหนียง’ ฟางหยวนลอบถอนหายใจ

ซิ่วเหนียงโศกเศร้าขณะที่หญิงชราถอนหายใจและบอกเหตุผลกับนาง

ซิ่วเหนียงร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด นางจับมือฟางหยวนและพูดคุยเกี่ยวกับอดีตของทั้งสองเพราะกระตุ้นความทรงจำของฟางหยวน

นางกล่าวถึงฉากเหตุการณ์ในอดีต มันธรรมดาและดูไม่สำคัญ แต่สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความรักของพวกเขา

ความรักของฟางหยวนค่อยๆเบ่งบานขึ้น เขามองเข้าไปในดวงตาของซิ่วเหนียงและลูบไล้ใบหน้าที่อ่อนโยนของนาง เขากล่าวเบาๆ “ซิ่วเหนียง…”

“อืม” ซิ่วเหนียงเร่งจับมือของฟางหยวนที่วางไว้บนใบหน้าของนาง

นางมองเข้าไปในดวงตาของฟางหยวนและกล่าว “ที่รักของข้าเฉินซาน”

ด้านนอกเขาวงกตโคลนดิน ลั่วเว่ยหยินยิ้มและพูดกับตนเอง “ข้าคิดถูกแล้ว จะมีผู้ใดที่ไร้ความรู้สึก? ฟางหยวน คนผู้นี้ไม่ได้ไร้ความรู้สึก เขายังมีความรักและความเสน่หาอยู่ในตัว”

ลั่วเว่ยหยินมองไปรอบๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้อมตะเช่นไท่เมี่ยนเฉิน หรือผู้ใช้วิญญาณเช่นเฉินซินซื่อ ทุกคนปิดเปลือกตาและลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ

ท่ามกลางพวกเขา ดวงตาของเฉินซินซื่อสั่นไหวเล็กน้อย ใบหน้าของนางกลายเป็นสีดอกกุหลาบราวกับว่านางกำลังอยู่ในความฝันที่สวยงาม

ลั่วเว่ยหยินถอนหายใจ “โลกสะท้อนชีวิต เพื่อเปลี่ยนปีศาจตนนี้ พวกเจ้าทั้งหมดต้องลืมตัวตนของตนเองและใช้ชีวิตเป็นอีกคน นี่เป็นโอกาสที่ดี หากพวกเจ้ามีความเข้าใจที่เพียงพอ พวกเจ้าจะได้รับประโยชน์จากสิ่งนี้อย่างแน่นอน”

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท