เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity – บทที่ 1566 เผ่าเมิ้งค้นหาความจริง

บทที่ 1566 เผ่าเมิ้งค้นหาความจริง

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1566 เผ่าเมิ้งค้นหาความจริง

ผู้อมตะสองคนบินอยู่บนท้องฟ้า พวกเขามีรูปร่างสูงใหญ่ ทั้งสองคือผู้อมตะเผ่า เมิ่ง เมิ้งจื่อไจ๋ และเมิ้งเจา

เป็นดังที่ฟางหยวนคาดเดา ทันทีที่เขาปรากฏตัว เมิ้งตู๋ก็ส่งข้อความกลับไปที่เผ่าเมิ้งเรียบร้อยแล้ว

แต่เมื่อเมิ้งตู๋ใช้ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋ปิดผนึกพื้นที่ เขาก็ไม่สามารถส่งข้อความออกไปได้อีก

ด้วยข้อความสําคัญที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการบุกรุกทุ่งใบมีดร่วงโรย เผ่าเมิงจะไม่สนใจมันได้อย่างไร ดังนั้นพวกเขาจึงส่งผู้อมตะระดับเจ็ดเมิงจือใจและผู้อมตะระดับหกเมิ้งเจาออกมาทันที

“ท่านลุง ท่านคิดว่าผู้ใดกล้าบุกรุกเผ่าเม็งของเรา? ฮ่าฮ่า ข้าคิดว่าน่าจะเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษที่ไม่เคยติดต่อกับโลกภายนอก” เมิ้งเจากล่าวด้วยรอยยิ้ม

เมิ้งจื่อไจ๋เป็นคนแข็งกระด้างแต่ดวงตาของเขายังเผยให้เห็นถึงความผ่อนคลาย “การคาดเดาของเจ้ามีเหตุผล แต่เจ้าต้องวางแผนสําหรับกรณีที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้เสมอ ปัจจุบันถ้ําสวรรค์นิรันดรปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนและกําลังรวบรวมสมาชิกตระกูลฮวงจิน ปีศาจอมตะเซี่ยหูหายตัวไปจักรพรรดิสวรรค์ไปซูกลายเป็นฝ่ายธรรมะ ตอนนี้ฝ่ายธรรมะของภาคเหนือก้าวขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุด แต่แท้จริงแล้วยังมีบางคนที่ต่อต้านเรื่องนี้ คนผู้นี้ต้องเป็นคนบ้าหรือไม่ก็มีภูมิหลังบางอย่าง นั่นเป็นเหตุผลที่เผ่าส่งพวกเราออกมาเป็นกําลังเสริมเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด”

“ท่านลุงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว แต่…” เมิ้งเจาหยุดก่อนหัวเราะ “คนผู้นี้ช่างโชคร้ายนัก เขาเข้า มาในทุ่งใบมีดร่วงโรยที่มีท่านเติ้งตู้ปกป้องอยู่ ท่านเติ้งตู้บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งกระบี่และเป็นถึงปรมาจารย์เอกที่ยิ่งใหญ่ ท่านเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกท่ามกลางผู้อมตะระดับเจ็ดของเผ่า!”

“เขาอาจไม่ได้เป็นเพียงกิ่งปรมาจารย์เอกอีกต่อไป” เมิ้งจื่อไจ๋ถอนหายใจ

ดวงตาของเติ้งเจาส่องประกายขึ้น “ท่านลุงหมายความว่า…”

เมิ้งจื่อไจ๋ยิ้ม “เขาเป็นรุ่นพี่ที่ข้าชื่นชมมากที่สุดในชีวิต ไม่มีผู้ใดในเผ่าสามารถแข่งขันกับเขาบนเส้นทางแห่งกระบี่เขาฝึกฝนอยู่ในทุ่งใบมีดร่วงโรยมานานหลายปี ด้วยพรสวรรค์ของเขา เขาควรจะก้าวเข้าสู่ระดับปรมาจารย์เอกเรียบร้อยแล้ว”

“ปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งกระ!! สมกับเป็นท่านเมิ้งตู๋!” เมิ้งเจากล่าวด้วยความตื่นเต้น

“ฮ่าฮ่าฮ่า ถูกต้อง” เมิ้งจื่อไจ๋หัวเราะ เมิ้งตู๋เป็นคนที่เมิ้งจื่อไจ๋ยกย่องและเฝ้ามองมาต ลอดดังนั้นเมื่อเลิ้งตู้ส่งข้อความกลับไปที่เผ่า เมิ้งจื่อไจ๋จึงเสนอตัวออกมาเป็นกําลังเสริมให้กับเมิ้งตู๋ ในความเป็นจริงเขามั่นใจในตัวเมิ้งตู๋เป็นอย่างมาก เขาเพียงต้องการมาพบปะสหายเก่าและแนะนหลานชายของเขาเม็งเจาให้เมิ้งตู๋รู้จักเท่านั้น

เมิ้งเจาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเมิ้งจื่อไจ๋ขณะที่เมิ้งตู๋และเมิ้งจื่อไจ๋เป็นฝ่ายเดียวกัน นี่เป็นการรวมกลุ่มเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองภายในเผ่าเมิ้ง

เมิ้งเจารู้ถึงความสําคัญของการเดินทางครั้งนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก

“ทุ่งใบมีดร่วงโรยอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ อีกไม่นานเราจะได้พบพี่เติ้งแล้ว เห้อ…ข้าไม่ได้พบเขา มาสองสามปีแล้วหากเขากลายเป็นปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งกระบี่ มันจะช่วยฝ่ายของเราได้มาก” เมิ้งจื่อไจ๋คิดในใจ

แต่ในเวลานี้ร่างกายของเขากลับสั่นสะท้านขึ้นอย่างรุนแรง ใบหน้าของเขากลายเป็นซีดเผือด ขณะที่ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจสุดขีด

“ท่านลุง? เกิดสิ่งใดขึ้น?” เมิ้งเจาสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวและรู้สึกสงสัย เขาไม่เคยเห็นการแสดงออกเช่นนี้จากเมิ้งจื่อไจ๋มาก่อน

แต่เมิ้งเจายังเห็นการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของเมิ้งจื่อไจ๋มากขึ้น

เมิ้งจื้อไจลดความเร็วลงก่อนจะหยุดลอยอยู่กลางอากาศราวกับรูปปั้น

สีหน้าของเขาซีดขาว นัยต์ตาแดงก่ําขณะที่น้ําตาเริ่มไหลออกมา

หัวใจของเมิ้งเจาสั่นไหวมากขึ้น มีบางสิ่งเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่เขาไม่กล้าถามต่อ เขาทําได้เพียงหยุดรอและเผชิญหน้ากับลมหนาวเท่านั้น

เมิ้งจื่อไจ๋มันงงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่ท่าทางของเขาจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง เขาดูน่ากลัว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ

เมิ้งจื่อไจ๋คํารามเสียงดังราวกับเสียงฟ้าร้อง จากนั้นเขาก็พุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง

เมิ้งเจาเร่งติดตามไปหลังจากสะดุ้งตกใจ

แต่ความเร็วของเขาจะสามารถเปรียบเทียบกับผู้อมตะระดับเจ็ดได้อย่างไร?

ในไม่ช้าเขาก็ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

เมิ้งเจารู้สึกงุนงงมาก “เกิดสิ่งใดขึ้น?”

เขามีความรู้สึกไม่ดีอยู่ในใจ “เดี๋ยว! ทิศทางที่ท่านลุงมุ่งไปคือทุ่งใบมีดร่วงโรย ท่านเติ้งตู้อยู่ในสถานการณ์อันตรายงั้นหรือ?”

ร่างกายของเมิ้งเจาสั่นสะท้านขึ้นกับความคิดนี้

หากเป็นเช่นนั้นจริง ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นฝันร้ายสําหรับเขาและเป็นข่าวร้ายสําหรับเผ่าเมิ้งเช่นกัน

หากเมิ้งตู๋ที่มีพลังการต่อสู้ระดับเจ็ดบนจุดสูงสุดเสียชีวิต มันจะเป็นเรื่องร้ายแรงมาก

เมิ้งเจารีบไปที่ทุ่งใบมีดร่วงโรยด้วยพละกําลังทั้งหมด

“นี่…เกิดสิ่งใดขึ้น!?” เมิ้งเจาตกตะลึง ก่อนบรรลุถึงทุ่งใบมีดร่วงโรย เขาสัมผัสได้ถึงร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าที่พลุ่งพล่านอยู่ในอากาศ

ทุ่งใบมีดร่วงโรยถูกทําลายไปอย่างสมบูรณ์ มันเต็มไปด้วยหลุมและรอยแยก

ในไม่ช้าเกิ้งเจาก็เห็นเฉิงจื่อไจ้คุกเข่าอยู่บนพื้นราวกับรูปปั้น

เมิ้งเจาบินลงไปอย่างระมัดระวัง ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋ที่หนาแน่นแทงเข้าไปในชั้นผิวหนังทําให้เขารู้สึกเจ็บปวด

เขาเดินไปด้านข้างเมิ้งจื่อไจ๋และพบว่าอีกฝ่ายกําลังหลั่งน้ําตา

เมิ้งเจาเห็นเพียงเจิ้งจือใจแต่ไม่เห็นเมิ้งตู๋ การคาดเดาในใจของเขาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ นั่นทําให้เขาแสดงออกด้วยความหวาดกลัว

เมิ้งจือใจค่อยๆมองไปที่เมิ้งเจาและกล่าวด้วยน้ําเสียงแหบแห้ง

“พี่เมิ้งตู๋ เสียชีวิตในสนามรบ!”

ร่างกายของเมิ้งเจาสั่นสะท้านขึ้นอย่างรุนแรงแม้เขาจะคาดเดาไว้แล้วก็ตาม

เมิ้งตู๋เสียชีวิตในสนามรบจริงๆงั้นหรือ?

ด้วยพลังการต่อสู้ของเขา ผู้ใดจะสามารถฆ่าเขา?

เมิ้งเจาเปิดปากกล่าวด้วยความยากลําบาก “ท่านลุง ท่านเติ้งตู้แข็งแกร่งมาก เหตุใดเขาถึงถูกฆ่าอย่างง่ายดายเช่นนี้? บางทีเขาอาจยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาเพียงย้ายสถานที่ต่อสู้ไปที่อื่นเท่านั้น”

งชื่อไจกลับส่ายศีรษะ “ก่อนที่เราจะมาถึง เผ่าส่งข้อความมาบอกข้าว่าโคมไฟวิญญาณของเมิ้งตู๋้ดับลงแล้ว แต่ข้ายังมีความหวัง กระทั่งมาถึงที่นี่…”

เขากล่าวพร้อมกับน้ําตาที่ไหลนอง

บุรุษจะไม่หลั่งน้ําตาโดยง่าย เว้นเพียงจะเป็นเรื่องที่บีบคั้นหัวใจจริงๆเท่านั้น

เฉิงจื่อไจกล่าวต่อด้วยน้ําเสียงที่อ่อนแรง “ข้ารู้ว่าเขามีท่าไม้ตายอมตะที่เรียกว่าสละกระบี่ มันเป็นวิธีการระเบิดตัวเอง มันจะทําลายมิติช่องว่างของเขา วิญญาณอมตะ และทรัพยากรงหมดเพื่อปลดปล่อยพลังอํานาจที่น่าสะพรึงกลัวออกมา แต่นั่นก็หมายความว่าเขาต้องตายอย่าง แน่นอน”

“หากเป็นเช่นนั้น…” เมิ้งเจารีบกวาดตามองสนามรบและยิ่งรู้สึกตกใจมากขึ้น

เมิ้งตู๋ตายแล้ว!

ผู้อมตะที่ทรงพลังเสียชีวิตไปแล้วจริงๆ เขาถูกบังคับให้ระเบิดตัวเองในระยะเวลาเพียงสั้นๆ

ศัตรูเป็นผู้ใดกันแน่!?

เหตุการณ์และความทรงจําทุกประเภทปะทุขึ้นในใจของเมิ้งจื่อไจ๋

เขาไม่เคยคาดหวังถึงสถานการณ์ที่เมิ้งตู๋จะเสียชีวิต

เมิ้งจื่อไจ๋ร้องไห้อยู่ชั่วครู่ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ

ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นไร้ความรู้สึกขณะกล่าวกับเม็งเจา “เจ้าควรกลับไป เผ่าเมิ้งของเราจะไม่ยอมให้เมิ้งตู๋ตายอย่างไร้ความหมาย แต่ศัตรูผู้นี้แข็งแกร่งเกินไป เมิ้งตู้ส่งข้อความทันทีเมื่อศัตรูปรากฏตัวขณะที่พวกเราออกเดินทางมาอย่างรวดเร็วโดยไม่หยุดพักแต่ในระยะเวลา สั้นๆ เมิ้งตู๋กลับไม่สามารถป้องกันตนเองและถูกบังคับให้ระเบิดตัวเอง”

“ข้ารู้จักนิสัยของเขาเป็นอย่างดี เขาต้องการลากศัตรูไปพร้อมกับเขา แต่ดูจากรูปการณ์ ไม่มีร่องรอยการตายของศัตรูนี่หมายความว่าศัตรูแข็งแกร่งมาก กระทั่งการระเบิดตัวเองของเมิ้งตู๋ก็ไม่สามารถฆ่าเขา!”

“ข้าจะออกไล่ล่าศัตรู ข้าจะจับคนร้ายแม้ต้องแลกด้วยชีวิต! เรื่องนี้เกินความสามารถของเจ้า เจ้าควรกลับไปที่เผ่าและฝึกฝนต่อไป อย่าให้ข่าวนี้รั่วไหล

เมิ้งเจาพยักหน้าด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านลุงโปรดระวังตัวด้วย”

ความตายของเมิ้งตู๋ทําให้เผ่าเมิ้งสูญเสียผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถ นี่ไม่ใช่การสูญเสียเล็กน้อยสําหรับพวกเขา ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็มีปัญหากับศัตรูที่ทรงพลังขณะที่เป้าหมายของ ฝ่ายตรงข้ามยังไม่แน่ชัด เผ่าเมิ้งต้องปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเพื่อรักษาเสถียรภาพ

สําหรับเมิ้งเจา การบ่มเพาะของเขาต่ําเกินไป สถานะของเขาก็ไม่สูง สิ่งนี้เห็นได้จากวิธีที่เผ่าเมิงไม่ได้แจ้งข่าวการเสียชีวิตของเมิ้งตู๋ให้เขาทราบ

“อย่ากังวล ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองกําลังมาพร้อมกับคฤหาสน์วิญญาณอมตะ ลานสืบสวน” เมิ่งจื่อไจตบไหล่เมิ้งเจา

เมิ้งเจาพยักหน้าก่อนจะจากไป

ด้วยคฤหาสน์วิญญาณอมตะลานสืบสวน พวกเขาไม่ต้องกลัวแม้พวกเขาจะเผชิญหน้ากับผู้อมตะระดับแปด

เมิ้งเจาไม่ต้องรอนานก่อนที่เขาจะเห็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะลานสืบสวนปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

ต่อมาลานสืบสวนก็หยุดลง ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองของเผ่าเมิ้งเดินออกมาและพยักหน้าให้ เมิ้งจื่อไจ๋ด้วยการแสดงออกที่เคร่งขรึมก่อนจะเริ่มตรวจสอบสนามรบ

แต่ฟางหยวนจะทิ้งเบาะแสไว้งั้นหรือ?

หลังจากผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองของเผ่าเมิ้งเสร็จสิ้นการตรวจสอบ สีหน้าของเขากลายเป็นเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม

เมิ้งจื้อไจกล่าว “ศัตรูผู้นี้เก็บกวาดร่องรอยได้อย่างสมบูรณ์ ข้าไม่พบสิ่งใดเลย”

ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองของเผ่าเมิ้งพยักหน้า “อย่ากังวล เรามีลานสืบสวนอยู่ที่นี่!”

ลานสืบสวนเป็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่มีความสามารถพิเศษในการรวบรวมข้อมูล ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองของเผ่าเมิ้งกระตุ้นใช้งานท่าไม้ตายอมตะของมันทันที

พวกเขาพบเบาะแสบางอย่าง

“เขาไปทางนั้น ตามไป!” ผู้อมตะทั้งสองของเผ่าเมิ้งเข้าไปในคฤหาสน์วิญญาณอมตะ ลานสืบสวนและออกไล่ล่าฟางหยวนด้วยความโกรธและความเกลียดชัง

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity

มนุษย์มีความรอบรู้นับสิบหมื่นรูปแบบ ของวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังงานต้นกำเนิดแห่งสวรรค์พิภพ เมื่อเจดีย์แห่งทวยเทพไร้ซึ่งความยุติธรรม ปีศาจจึงถือกำเนิด วันเวลาผ่านไป แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชื่อของเขาถูกกล่าวขานหลังจากนักท่องเที่ยวแห่งกาลเวลาหวนฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง บนโลกที่แตกต่าง เขาเติบโตขึ้น บ่มเพาะพลังปีศาจ และกลายเป็นยมทูตผู้ใช้วิญญาณ วิญญาณกาลเวลา วิญญาณแสงจันทร์ วิญญาณอสนีสีทอง วิญญาณสุรา วิญญาณไหมดำ วิญญาณแห่งความหวัง….. ด้วยพลังอำนาจแห่งวิญญาณบาป เทพปีศาจจะครองภพและทำทุกสิ่งที่หัวใจของเขาปรารถนา!

เรื่องย่อ

พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด

นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี

‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ

ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา

ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง

แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์

นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ

วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ

นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา

‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’

จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ

หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่

นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา

จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง

เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้

วันนี้เป็นวันสำคัญ

จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง

“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”

ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ

จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น

ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง

ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา

แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่

“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง

“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน

จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง

หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”

“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”

“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”

ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ

หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”

“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ

หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก

“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ

“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”

“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”

“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ

ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”

“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”

หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”

“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”

“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”

“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”

“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ

คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน

“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”

“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ

หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย

ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ

นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง

ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง

แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น

…..

ภาคเหนือ เผ่าชู

ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ

“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น

วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋

ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย

แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่

อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ

หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า

การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก

ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง

แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ

สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น

“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท